ตุลาคม 2007

“อุดมการณ์” ไม่ใช่คำที่พูดกันพล่อยๆ

โดย ศ.สุมน อมรวิวัฒน์
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 27 ตุลาคม 2550

ในช่วงเวลาที่มีความแปรผันและความสับสนวุ่นวายทางการเมือง ขณะนี้ เราได้เห็นความพยายามของคนหลายจำพวก ทั้งที่เป็นผู้บริหารระดับสูง นักวิชาการระดับเซียน นักการเมืองรุ่นเก่าแก่ นักการเมืองรุ่นใหม่ กลุ่มการเมืองหัวก้าวหน้า กลุ่มปกป้องรักษาประชาธิปไตย ผู้คนสารพัดกลุ่มต่างก็พากันตั้งพรรคตั้งประชาคม รวบรวมไพร่พลเป็นกลุ่มใหญ่ ยึดโยงกันไว้ด้วยความสัมพันธ์ทางเครือญาติ ทางความสำนึกในบุญคุณ ทางอำนาจเงิน และที่กล้าพูดออกมาก็คือ ทุกคนมาอยู่ร่วมกันเพราะร่วมอุดมการณ์เดียวกัน

น่าประหลาดใจ ที่ได้เห็นคนหมู่หนึ่งมารวมตัวกันเพราะอุดมการณ์ตรงกัน แค่เพียง ๓ วัน ๗ วัน ก็ไม่สามารถร่วมอุดมการณ์กันได้เสียแล้ว กลุ่มคนที่เคยยึดมั่นในอุดมการณ์ประชาธิปไตยจนกล้าต่อสู้แบบเอาชีวิตเข้าแลก บัดนี้ เขาก็ยังมีชีวิตอยู่และร่วมหัวจมท้ายกับคนที่ยกย่องเผด็จการ

ผู้เขียนไม่อยากให้บทความจิตวิวัฒน์ไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองมากนัก ความประสงค์ที่แท้จริงก็คือการค้นหาคำตอบว่า อุดมการณ์คืออะไรในแง่ของชีวิตและการอยู่ร่วมกันเป็นสังคม

พิจารณาจากพระโอวาทปาฏิโมกข์ซึ่งมองในด้านหนึ่งจัดได้ว่าเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา

พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงธรรมในวันมาฆบูชา แก่พระสงฆ์สาวก ๑,๒๕๐ รูปที่มาเฝ้าพระองค์พร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย พระโอวาทปาฏิโมกข์ถึงพร้อมสมบูรณ์ด้วยอุดมการณ์ หลักการคำสอน และวิธีการเผยแผ่พระพุทธศาสนาซึ่งเน้นในพระธรรมวินัย

พระคาถาบทแรกใน ๓ บทของพระโอวาทปาฏิโมกข์ เป็นอุดมการณ์สูงสุดของชีวิต ว่าด้วยขันติ (ความอดทน) และนิพพาน

นิพพานไม่ใช่การเสพสุขบนสวรรค์ และผู้ที่จะเข้าถึงอุดมการณ์อันเป็นจุดหมายสูงสุด ก็สามารถบรรลุได้ในชาตินี้ ไม่จำเป็นต้องตายก่อนจึงจะไปสู่นิพพาน

พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) อธิบายไว้ในหนังสือพุทธธรรม สรุปได้ว่า นิพพานเป็นจุดหมายสูงสุดในชาตินี้ที่ทุกคนเข้าถึงได้ ไม่จำกัดชนชั้นหญิงชาย เป็นภาวะที่มนุษย์สามารถประจักษ์แจ้งได้ ถ้าเพียรพยายาม ทำตัวให้พร้อมพอ ก็ไม่ต้องรอถึงชาติหน้า ชาวพุทธที่ต้องการบรรลุอุดมการณ์ของพระพุทธศาสนา จึงต้องละเว้นความชั่ว ทำความดีให้ถึงพร้อม และฝึกพัฒนาจิตให้ผ่องใส จนเกิดภาวะทางปัญญา (คือวิชชา) ภาวะทางจิตที่หลุดพ้น เป็นอิสระ (วิมุตติ) และภาวะทางความประพฤติในการดำเนินชีวิต (กรุณา) ที่เป็นไปเพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่นให้พ้นทุกข์

ผู้เขียนเชื่อว่า การบำเพ็ญเพียรดับกิเลสให้ลดลงจนดับไม่เหลือนั้น เกิดผลที่ดับแล้วสว่าง เป็นความกระจ่างแจ้งที่จิตใจ ปลอดโปร่ง ใสสะอาด มีความสุขสงบประณีตอยู่ภายในตน

อุดมการณ์ไม่ใช่จุดหมายที่เกิดขึ้นและบรรลุถึงได้โดยง่าย ไม่มีใครที่ประกาศอุดมการณ์ขึ้นมาจากการประดิษฐ์ถ้อยคำอันเลิศหรู แล้วเคลือบแฝงด้วยการโฆษณาชวนเชื่อ ใช้อามิสหลอกล่อให้ผู้คนเป็นเหยื่อได้ชั่วครั้งชั่วคราว

ในระดับบุคคล อุดมการณ์เริ่มต้นด้วยความคิดความเชื่อในหลักการเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เป็นความคิดที่มีแบบแผน เป็นระบบ ซึ่งเกิดจากแรงจูงใจ หรือสิ่งเร้า ทั้งที่เป็นภาพบวกและภาพลบ

อุดมการณ์เริ่มต้นจากฐานความรู้และความคิด เกิดความตระหนักในความเสื่อมและความเสี่ยงของชีวิต ความตระหนักในคุณค่าและศักดิ์ศรีของเพื่อนมนุษย์ ความตระหนักและศรัทธาต่อการสร้างสันติสุขต่อส่วนรวม ความปรารถนาที่จะช่วยเหลือเพื่อนร่วมทุกข์ทั้งมวล

จากความตระหนักนั้น บุคคลได้ใช้ปัญญาตริตรองอย่างลึกซึ้ง เกิดความตั้งใจ เกิดจิตสำนึกที่จะทำงานอย่างพากเพียร อดทนในวิถีทางที่เป็นสัมมาปฏิบัติ เพื่อให้ความคิดความเชื่อที่ถูกต้องนั้นสำเร็จดังประสงค์ กล้าต่อสู้อย่างเข้มแข็งแม้จะถูกต่อต้าน ขัดแย้ง ก็ไม่ยอมท้อถอย

บนเส้นทางแห่งการสร้างสมอุดมการณ์ย่อมมีผู้มองเห็นคุณค่าของการทำงานอย่างสร้างสรรค์ จึงเกิดกลุ่มคนที่คิดดี มีสัมมาทิฏฐิตรงกัน เกิดเป็นอุดมการณ์ของสังคมที่เป็นปณิธานร่วมกัน ทุกคนมีจิตอาสา เสียสละ มุ่งทำงานเพื่อส่วนรวม เสริมพลังกัน ช่วยเหลือประคับประคองกัน เพื่อก้าวไปสู่จุดหมายสูงสุดอย่างเดียวกัน

กลุ่มคนร่วมอุดมการณ์ที่แท้จริง จึงมีจิตสำนึกร่วม พร้อมที่จะเป็นผู้ให้ เป็นผู้อาสาทำงานเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม ของสังคม ของมาตุภูมิ

กลุ่มคนที่มารวมกันโดยมุ่งหมายเพื่อจะเอา กอบโกยมาเป็นของตัว เพื่อประโยชน์ส่วนตัว กลุ่มคนนั้นมีอุดมการณ์จอมปลอม

เส้นทางไปสู่อุดมการณ์นั้นยาวไกล ต้องพากเพียรทำงานร่วมกันเป็นเวลายาวนาน อุดมการณ์จึงมิใช่เป็นเพียงความหวังหรือความใฝ่ฝัน แต่เป็นความคิดที่ใคร่ครวญแล้ว จิตใจตั้งมั่นแล้ว ทุกคนรวมใจกันเป็นหนึ่งเดียวแล้ว มุ่งหน้าทำงานร่วมกันไปจนกว่าจะบรรลุจุดหมาย

แม้ว่ารายการอะคาเดมี แฟนเทเชีย จะจบไปแล้วถึง ๔ ฤดูกาล แต่แฟนคลับทั้งหลายคงจะจำเนื้อเพลงที่ AF ทั้งหลายร้องร่วมกันมานานถึง ๔ ปีได้ สร้อยเพลงนั้นได้บอกถึงความใฝ่ฝันของคนหนุ่มสาวนับพันนับหมื่นว่าชีวิตของเขาต้องการอะไร

จะไปเป็นดาวโดดเด่นบนฟากฟ้า
จะไปไขว่คว้าเอามาเหมือนใจฝัน
จะไปให้ถึงปลายทางในวันนั้น
จะเป็นคนดังที่เด่นในแสงไฟ

ผู้เขียนเชื่อว่า ความใฝ่ฝันดังกล่าวไม่ใช่อุดมการณ์ หากแต่เป็นจุดหมายใกล้ๆ ในชั่วระยะเวลาหนึ่ง มิช้ามินานก็จะเปลี่ยนแปลงไป เพราะความเด่นความดังเป็นเพียงภาพมายา เงินทองที่ท่วมท้นมา ถ้าใช้อย่างขาดสติก็จะสูญหายไป ทั้งนี้เพราะขาดภาวะของวิชชา ภาวะทางจิตอิสระ และภาวะทางการุณยธรรม ดังกล่าวแล้วข้างต้น

พุทธทาสภิกขุได้เขียน “มรดกที่ขอฝากไว้” กล่าวถึงปณิธาน ๓ ประการ ควรแก่ผู้ที่เป็นพุทธทาสทุกคนถือเป็นหน้าที่เพื่อประโยชน์แก่โลก คือ
๑. พยายามทำตนให้เข้าถึงหัวใจแห่งศาสนาของตน
๒. พยายามช่วยกันถอนตัวออกจากอำนาจของวัตถุนิยม
๓. พยายามทำความเข้าใจระหว่างศาสนา

ในมรดกข้อสุดท้าย ท่านพุทธทาสภิกขุได้ประกาศอุดมการณ์ว่า “...ธรรมิกสังคมนิยมเป็นหัวใจของพุทธธรรม หรือของศาสนาทุกศาสนาอย่างที่ไม่มีใครมอง. ลัทธินี้มุ่งประโยชน์ร่วมกัน ทั้งของฝ่ายนายทุนและของฝ่ายกรรมกร, และของสิ่งที่มีชีวิตทุกชนิด กระทั่งสัตว์เดรัจฉาน และแม้แต่ต้นไม้ต้นไร่ โดยถือเอาหลักแห่งการเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน เป็นหลักพื้นฐาน...”

พระพรหมมังคลาจารย์ (ท่านปัญญานันทภิกขุ) มีอุดมการณ์ส่วนตัวของท่าน และได้ประกาศสั่งสอนพุทธบริษัทตลอดมาว่า “...งานคือชีวิต ชีวิตคืองาน ทำงานให้สนุก มีความสุขอยู่กับงาน ชีวิตคืองานบันดาลสุข ทำเพื่อให้ ไม่ใช่ทำเพื่อเอา...”

พระคุณเจ้าได้ทำงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา และมีพุทธบริษัทจำนวนมากปฏิบัติธรรมตามอุดมการณ์ของท่าน

ยังมีฆราวาสจำนวนมากที่ประกาศอุดมการณ์ของชีวิตและการงาน มีผู้ศรัทธาจงรักภักดีเข้าร่วมอุดมการณ์เต็มแผ่นดิน ซึ่งผู้เขียนจะไม่ยกตัวอย่างในบทความนี้ เชื่อว่าผู้อ่านจะสามารถระบุนามได้ นับแต่เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน จนถึงประชาชนชาวบ้านในทุกท้องถิ่นของประเทศไทย

อุดมการณ์จึงมิได้เกิดขึ้นเฉพาะทางการเมืองการปกครองเท่านั้น อุดมการณ์ในชีวิตทั้งที่เป็นของแต่ละบุคคล และกลุ่มมวลชน เป็นอุดมการณ์ร่วม ซึ่งทำให้สังคมมีความเป็นปึกแผ่น มั่นคง สงบสุข เสมอภาค มีความสำคัญยิ่งกว่า

คนมีอุดมการณ์ในชีวิตไม่จำเป็นต้องเรืองอำนาจ เขาอาจเป็นคนเล็กๆ แต่มีจิตใจยิ่งใหญ่ ทำงานไปเงียบๆ เกิดผลงานต่อส่วนรวมยิ่งใหญ่ไพศาล

ผู้เขียนกล้ายืนยันความคิดนี้ เพราะมีพยานที่ประจักษ์ชัดจากหนุ่มสาวที่เคยเป็นศิษย์

เมื่อเขาเหล่านั้นยังเยาว์ เขาเป็นขบถหัวรุนแรงที่รังเกียจการใช้อำนาจเผด็จการ เมื่อเข้ามหาวิทยาลัย ทั้งชายหญิงก็ร่วมกันอาสาทำงานตามอุดมการณ์ของเขา ต้องเจ็บปวดพ่ายแพ้ในเหตุการณ์เดือนตุลาคม หนุ่มสาวกลุ่มนี้กลับเข้ามาเรียนต่อจนจบ หลังจากนั้นก็ทำงานอย่างเข้มแข็งเพื่อความอยู่รอดของสังคมไทยตลอดมา จนบัดนี้เขาเป็นผู้ใหญ่และเป็นผู้นำในวงการเล็กๆ

อุดมการณ์ของหนุ่มสาวเหล่านี้ เกิดขึ้น ก่อสานเป็นรูปธรรม ยังคงอยู่เป็นงานต่อเนื่องและสร้างสรรค์แบบอย่างแก่เยาวชนรุ่นต่อไป ผู้เขียนรักและประทับใจอย่างยิ่ง และเป็นแรงบันดาลใจอย่างหนึ่งที่ทำให้ต้องเขียนเรื่องนี้

คนกร้านโลกทั้งหลายที่กำลังแย่งชิงอำนาจกันอยู่ทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นพวกแอบวางแผนอยู่เบื้องหลัง และออกหน้าประกาศอุดมการณ์ชั่วคราวกันอย่างเอาเป็นเอาตาย โปรดตรวจสอบตนเองว่ามีจิตสำนึกเพื่อบ้านเมืองจริงหรือไม่

โปรดอย่าอ้างอุดมการณ์บนฐานอำนาจและเงินตรากันเลย

อุดมการณ์ไม่ใช่คำที่พูดกันพล่อยๆ

การเปลี่ยนผ่านทางการเมืองที่ยิ่งใหญ่:
มาช่วยกันสร้างจิตสำนึกใหม่ ด้วยการทำให้การเมืองไทยใสสะอาด

โดย จุมพล พูลภัทรชีวิน
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 13 ตุลาคม 2550

ภายหลังจากรู้ผลการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ เราก็ได้เห็นปฏิกิริยาของนักการเมือง และกลุ่มการเมือง ที่นักวิชาการหลายท่านเรียกว่านักเลือกตั้งและกลุ่มผลประโยชน์แสดงออกอย่างคึกคักในรูปแบบและลักษณะที่หลากหลาย มีทั้งเด่นชัด แอบแฝง สงบนิ่ง และสงวนทีท่า มีทั้งทิ่มแทงท้ารบ ชวนรวมกลุ่ม และกวนให้วุ่น มีทั้งแบ่งค่าย แยกค่าย ตั้งค่าย และรวมคอก (ค่ายเล็กที่เหนียวแน่นในความสัมพันธ์ มารวมแต่ตัว แต่ไม่ร่วมจิตวิญญาณ ในคอกใหม่ที่ใหญ่ขึ้นแต่หลวมความสัมพันธ์ คลึงกันไว้ด้วยผลประโยชน์และอำนาจการต่อรอง)

ปฏิกิริยาที่ปรากฏ ไม่ว่าจะแสดงออกมาในรูปของการกระทำ หรือคำพูด ความคิดหรือความเห็น ส่อแสดงให้เห็นการแฝงเร้นอยู่กับความพยายามที่จะเอาตัวรอด รักษาและแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว ส่วนกลุ่ม สะท้อนให้เห็นจิตสำนึกทางการเมืองแบบเก่าที่เอาแต่ประโยชน์ส่วนกลุ่ม ส่วนตัว โยนความชั่วให้ผู้อื่น เป็นจิตสำนึกเก่าที่ไม่ได้รับการขัดเกลาให้เกิดจิตสำนึกใหม่ ที่เต็มที่และเต็มใจ ทำการเมืองไทยให้ใสสะอาด ทำการเมืองเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนและประเทศชาติโดยรวมอย่างแท้จริง

มายากลการเมืองที่ผู้ประกอบอาชีพเป็นนักการเมืองบางคนแสดงออกมา จึงเป็นเพียงภาพลวงตา

คำพูดและพฤติกรรมของนักการเมืองเหล่านั้นจึงเป็นเพียงการแสดงละครตบตาประชาชนและนักการเมืองอาชีพด้วยกัน บางคนแสดงเอง กำกับเอง แต่บางคนและบางกลุ่มแสดงตามบทที่มีผู้กำกับการแสดงอยู่เบื้องหลัง

จึงไม่แปลกที่บางคนบอกว่า พฤติกรรมของนักการเมืองจำนวนหนึ่งไม่ว่าจะเป็นความคิด คำพูด หรือการกระทำ เห็นแล้ว “ขำกลิ้ง ลิงกับหมา”

แต่สำหรับผู้เขียนนอกจากจะไม่ขำกลิ้งแล้ว ยังขำไม่ออก

ถ้าดูเฉพาะความวุ่นวายและการดิ้นรนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของนักการเมืองเหล่านั้น เปรียบเทียบกับความวุ่นวายและการดิ้นรนเพื่อให้บรรลุภารกิจของลิงกับหมาใน “ขำกลิ้ง ลิงกับหมา” ก็พอจะเห็นภาพและเห็นด้วยได้ แต่ถ้าดูสาระและบรรยากาศแล้วเป็นคนละเรื่อง เพราะพฤติกรรมนักการเมืองที่ชิงไหวชิงพริบ วิ่งจับขั้ว ทั้งที่ยังหาหัวไม่ได้ ดูแล้วขำไม่ออก ไม่มีความน่ารักเหมือนหมากับลิงในทีวี ที่แม้จะต่างพันธุ์ แต่พยายามช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ด้วยความบริสุทธิ์ใจ เป็นพวก (พรรค) เดียวกันจริงๆ ไม่ต้องคอยช่วงชิงความได้เปรียบ เพื่อแย่งหรือแสวงหาผลประโยชน์ และที่สำคัญไม่ต้องคอยระแวงว่าจะถูกทิ้ง หรือถูกแทงข้างหลัง

ปรากฏการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นทั้งหมดในภาพรวม สะท้อนให้เห็นสภาพการเมือง และคุณภาพของนักการเมืองของประเทศไทยว่าเป็นอย่างไร และมีคุณภาพระดับไหน

สภาพการเมืองของไทยตอนนี้ นอกจากจะขาดความสมานฉันท์ ความรักความเอื้ออาทรต่อกันเหมือนลิงกับหมาแล้ว ยังเต็มไปด้วยการแข่งขัน ชิงไหวชิงพริบกัน ทำให้ขาดความบันเทิงทางอารมณ์และทำร้ายจิตใจอีกด้วย เพราะยิ่งดูยิ่งรู้สึกหดหู่ สู้ดูลิงกับหมาใน “ขำกลิ้ง ลิงกับหมา” ไม่ได้ น่ารัก น่าลุ้น และมีสาระกว่าเยอะ

หรือนักการเมืองที่ด้อยคุณภาพเหล่านั้นลืมคิดเพราะขาดสติ หรือไม่เคยคิดเพราะขาดปัญญาว่า พฤติกรรมการแสดงออกของตนอาจเป็นตัวแบบที่ไม่ดีต่อความเป็นประชาธิปไตย ต่อคนในชาติ โดยเฉพาะต่อเยาวชนไทย

ยิ่งใกล้กำหนดวันเลือกตั้งเข้ามามากเท่าใด การแข่งขันช่วงชิง คะแนนเสียง ก็ยิ่งทวีความเข้มข้นและรุนแรงเพิ่มมากขึ้น

การใส่ร้ายป้ายสีทั้งทางตรงและทางอ้อม เพื่อให้คู่แข่งเพลี่ยงพล้ำ บอบช้ำก็เพิ่มขึ้น

เพื่อช่วยกันสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองใหม่ คนไทยทุกคนที่มีสิทธิ์ต้องออกไปใช้สิทธิ์ เพื่อสร้างความสงบสุขมั่นคงให้เกิดขึ้นในสังคมไทย

ทำไมต้องมีความรุนแรง บอบช้ำ เพื่อให้ได้มาซึ่งความเป็นประชาธิปไตยและความเป็นธรรมในสังคม

ความเป็นประชาธิปไตยควรจะได้มาจากวิถีประชาธิปไตยที่บริสุทธิ์ยุติธรรม ไม่ใช่ “ไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ ก็เอาด้วยคาถา ไม่ได้ด้วยเจรจาก็ใช้บาทากระทืบ แต่พอได้คืบจะเอาศอก ปลิ้นปล้อนกลับกลอกตลอดเวลา...”

ความเป็นธรรมในสังคม ก็น่าจะเกิดจากความมีคุณธรรมของคนในสังคม เกิดจากการช่วยกันสร้างความเป็นธรรม ไม่ใช่ความรุนแรง

ทำไมความสามัคคี ความปรองดอง ความสมานฉันท์ จึงไม่เริ่มต้นด้วยความเป็นกัลยาณมิตร คิดดี พูดดี ทำดีต่อกัน

ทำไมโซ่ข้อกลาง ทางสายกลางจึงไม่ดำเนินตามแนวทางมรรคมีองค์แปด (มัชฌิมาปฏิปทา)

ทำไมไม่มาช่วยกันสร้างจิตสำนึกใหม่ทางการเมือง ด้วยการช่วยกันคิด ช่วยกันพูด ช่วยกันทำการเมืองไทยให้ใสสะอาดเพื่อประเทศชาติและประโยชน์สุขของประชาชนโดยรวมอย่างแท้จริง

มาชวนและช่วยกันก้าวข้ามประโยชน์ส่วนตัว ประโยชน์ส่วนกลุ่ม เพื่อประโยชน์สุขส่วนรวมที่ใหญ่กว่าคือประเทศชาติและประชาชนทุกหมู่เหล่าในแผ่นดิน แผ่นดินอันเป็นที่เกิด ที่เติบโต ที่อยู่อาศัย เพื่อจะได้มีที่ตายอย่างสงบสุข สมสถานะและศักดิ์ศรีความเป็นคนของแผ่นดิน

นักการเมืองไทย พรรคการเมืองไทย ต้องมีจิตสำนึกทางการเมืองใหม่ ต้องมีจิตใหญ่ มีใจให้ประเทศชาติ ด้วยการช่วยกันทำการเมืองไทยให้ใสสะอาด

นักการเมืองไทย พรรคการเมืองไทยต้องไม่ซื้อเสียง ไม่โกงกิน จะได้ไม่สิ้นชาติ ไม่สิ้นความเป็นคนไทย

ตื่นเถิดนักการเมืองไทย อย่ามัว หลับใหล ลุ่มหลง
มีสติ ใช้ปัญญา กล้าชูธง ต้องมั่นคง คุณธรรม การทำดี


คนไทย ต้องมีจิตสำนึกทางการเมืองใหม่ ต้องมีจิตใหญ่ มีใจให้ประเทศชาติ ด้วยการช่วยกันทำการเมืองไทยให้ใสสะอาด มีความกล้าหาญทางจริยธรรม ออกไปใช้สิทธิ์เลือกสรรคนดี มีคุณธรรม มีความรู้ความสามารถเข้าไปทำงานเพื่อชาติ เพื่อประชาชน

คนดีต้องไม่ให้เสียง เพียงเพื่อตอบแทนบุญคุณ เพราะประโยชน์สุขของประเทศชาติยิ่งใหญ่กว่าการทดแทนบุญคุณส่วนตัว

คนดีต้องไม่ยอมมอบเสียง เพียงเพราะมีความรักใคร่หรือความสัมพันธ์ส่วนตัว เพราะเรื่องประชาธิปไตยใหญ่กว่าเรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัว

เรื่องของประเทศชาติ ยิ่งยิ่งใหญ่กว่า สำคัญกว่า และศักดิ์สิทธิ์กว่าการตอบแทนบุญคุณ และความความสัมพันธ์ส่วนตัว

คนไทยต้องไม่ขายเสียง ต้องไปใช้สิทธิ์ ต้องดูแล รักษา และพัฒนาชาติ ด้วยคุณธรรมและปัญญา

ตื่นเถิด ปวงชน คนไทย อย่ามัว หลับใหล ลุ่มหลง
มีสติ ใช้ปัญญา กล้าชูธง ต้องมั่นคง คุณธรรม การทำดี


ออกมาช่วยกันรณรงค์ ช่วยกันพัฒนาชาติ ช่วยกันทำให้การเมืองไทยใสสะอาด และเมื่อถึงเวลาไปลงคะแนนเสียง ช่วยกันออกไปเลือกคนดี มีจิตวิวัฒน์เข้าไปพัฒนาชาติ ไม่เลือกคนจิตวิบัติเข้าไปทำลายชาติ

คนดีไม่ขายเสียง...คนดีไม่ให้เสียง...คนดีไม่มอบเสียง

โลกร้อน – ใช่ว่าไม่เคยมี แต่ครั้งนี้อันตราย

โดย ศ.นพ.ประสาน ต่างใจ
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 6 ตุลาคม 2550

ผู้เขียนเป็นแพทย์ จึงต้องเรียนวิทยาศาสตร์มาบ้าง โดยเฉพาะวิทยาศาสตร์การแพทย์พื้นฐาน แต่เนื่องจากไปเรียนต่อทางด้านพยาธิวิทยาที่อเมริกา จึงต้องเรียนวิทยาศาสตร์กายภาพมากเป็นพิเศษ เพราะวิชาพยาธิวิทยาไม่ได้เรียนด้านการรักษา – นอกจากวิทยาศาสตร์การแพทย์พื้นฐาน - แพทย์ที่ทำหน้าที่รักษาคนป่วยจะต้องอาศัยการฝึกฝนหาประสบการณ์ด้วยตัวเอง ทั้งยังต้องอาศัยทักษะและศิลปะว่าด้วยจิตวิทยาพร้อมๆ กันไปด้วย ในขณะที่พยาธิวิทยาจะเรียนหนักไปทางการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ว่าด้วยสภาวะผิดปกติ และความเป็นมาของโรค โดยเน้นที่การวินิจฉัยสุดท้ายของเซลล์เนื้อเยื่อและระบบอวัยวะด้วยการผ่าศพผู้ตายจากโรคต่างๆ

ที่พูดมายาวก็เพื่อให้สาธารณชนโดยเฉพาะนักวิทยาศาสตร์สายตรงรู้ว่า พยาธิแพทย์ก็เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่เน้นการวิจัยเป็นพื้นฐานเช่นเดียวกับนักวิทยาศาสตร์สายตรงทั้งหลายทั้งปวง ดังนั้นเรื่องของโลกร้อนจึงเป็นเรื่องที่นักวิทยาศาสตร์ทุกคนสามารถแสดงความเห็นเชิงวิทยาศาสตร์ได้ ประเด็นก็คือ ผู้เขียนที่ติดตามเขียนเรื่องของโลกร้อนมานานกว่า ๑๕ ปี ค่อนข้างมีความเห็นที่ตรงไปตรงมาผิดไปจากนักวิทยาศาสตร์อื่นๆ บ้าง

เมื่อวาน หลานๆ มาเยี่ยมเพราะไม่ค่อยสบาย โดยเริ่มที่เป็นไข้หวัดใหญ่ธรรมดาๆ เพียงแต่ว่ามันเป็นนานเกินกว่า ๕๐ วันเพราะไม่ได้พักผ่อนจริงๆ เลย หลานชายคนหนึ่งที่มีอายุเพิ่งจะ ๑๙ ปี กำลังเรียนวิทยาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยมหิดลและเรียนค่อนข้างดีมากๆ บ่ายวันนั้นแดดจ้าและร้อนมากทั้งยังไม่ค่อยหายดี เราจึงมีเวลาคุยกันไม่นานนัก อย่างไรก็ตาม แม้ว่าช่วงเวลาจะสั้นแต่เราก็ได้พูดกันถึงสภาวะโลกร้อน ซึ่งเชื่อว่านักเรียนที่เรียนสาขาวิทยาศาสตร์สายตรงในมหาวิทยาลัยทุกคนต้องสนใจเป็นพิเศษมากกว่านักวิชาการปัญญาชนคนทั่วไป เพราะต้องหาสาเหตุที่ทำให้โลกร้อนจนผิดปกติว่าเกิดจากอะไรอื่นได้บ้าง นอกจากความมักง่ายเอาแต่ได้ของมนุษย์ตามที่พูดๆ กัน อีกประการหนึ่งเพราะว่าสำหรับเด็กในวัยนี้ ในไม่ช้าไม่นาน ทุกคนจะต้องได้รับผลกระทบจากผลพวงของสภาวะโลกร้อนในรูปแบบต่างๆ ด้วยตัวเองทั้งนั้น

ดาวเคราะห์โลกที่เกิดตามมาหลังจากมีดวงอาทิตย์ได้ไม่นานเมื่อประมาณ ๔,๖๐๐ ล้านปีก่อน โดยเริ่มต้นมีวิวัฒนาการของชีวิตขึ้นมาเมื่อราวๆ ๓,๘๐๐ ล้านปีก่อน ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์คลาสสิคที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยก่อนปี ๑๙๘๐ - ๑๙๘๕ แทบทั้งหมดหรือทั้งหมดก็ว่าได้ ล้วนเรียนมาว่าชีวิตมีขึ้นมาในโลกได้โดยความบังเอิญ เพราะสิ่งแวดล้อมบนผิวโลกมีความเหมาะสมที่เอื้ออำนวยให้สิ่งมีชีวิตสามารถมีวิวัฒนาการขึ้นมาได้ โดยทุกวันนี้ นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากจะยอมรับในทฤษฏีอสุจิสากล (Panspermia Theory) ที่ว่า มีสารอินทรีย์แห่งชีวิต เช่น กรดอะมิโน หรือกระทั่งโมเลกุลของไวรัส ตกลงมาจากฟากฟ้าด้วยการอาศัยมากับอุกกาบาต นั่นทำให้เรานึกถึงเรื่องของอาภัสราพรหมซึ่งมีแสงในตัวเองที่จุติลงมากินง้วนดินบนโลก ใน อัคคัญสูตร ของพุทธศาสนาเรา และหากเป็นเช่นนั้นจริง มันก็จะไม่มีเรื่องของความบังเอิญอีก แต่น่าจะเป็นไปได้ว่าการสรรค์สร้างวิวัฒนาการทั้งหมดของโลกและจักรวาลเป็นไปตามรูปแบบของพิมพ์เขียว ดังที่ พอล เดวีส์ ไมเคิล โปแลงยี เซอร์ เฟรด ฮอยด์ และใครต่อใครคิด รวมทั้งผู้เขียนที่ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์สายตรงด้วย

สำหรับบ้านเรานั้น ตอนนี้ใครๆ ก็รู้ว่าโลกร้อนขึ้นมาก และเกิดจากฝีมือของเราเอง เพราะความก้าวหน้าทางอุตสาหกรรม ที่เพียงสิบปีกว่าก่อน พวกนักวิทยาศาสตร์สายสังคมโดยเฉพาะนักเศรษฐศาสตร์และนักการเมืองส่วนมากพยายามปฏิเสธคอเป็นเอ็นว่า ไม่เกี่ยวกับการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างแน่นอน โลกมันร้อนหรือเย็นเป็นน้ำแข็งของมันเอง คนไม่เกี่ยว แต่วันนี้คงไม่มีใครดันทุรังไม่เชื่ออีก เมื่อนักวิทยาศาสตร์กว่า ๒,๕๐๐ คนของไอพีซีซี (The Intergovernmental Panel on Climate Change: IPCC) ก็สรุปเช่นนั้นอย่างเป็นเอกภาพ เมื่อโลกร้อนขึ้นกว่าเก่ามาก แถมแดดก็ร้อนไปตามอายุของดวงอาทิตย์ที่แก่ตัวลงทุกๆ วัน ผิวของน้ำในทะเลในมหาสมุทรก็จะร้อนตามไปด้วย และจะระเหยเป็นเมฆที่ก่อฝนก่อพายุรุนแรงจนทำให้น้ำท่วมฉับพลันและดินโคลนถล่มที่โน่นที่นี่บ่อยๆ ตอนนี้และวันนี้ ไม่ว่าใครในโลกไม่เฉพาะที่บ้านเราก็ประสบกับสภาวะโลกร้อนจากภาวะเรือนกระจก ที่มีสาเหตุมาจากการพัฒนาสู่ความเจริญก้าวหน้าบนพื้นฐานของเงินกับระบบเศรษฐกิจเสรี ใครก็ตามที่หน้าดำคร่ำเครียดอยู่กับความโลภและความโลภตลอดเวลา ไม่มีทางที่จะมองเห็น เพราะมัวแต่หวังลมๆ แล้งๆ ว่าทุกอย่างจะกลับมาเหมือนเดิม ก็ขอบอกที่นี่และวันนี้ว่า หากเราไม่เลิกแสวงหาเงินและระบบเศรษฐกิจการตลาดเสรีทั่วโลกอย่างค่อยเป็นค่อยไปให้หมดภายในสองหรือสามปีนี้ ระหว่างนี้ ไม่ว่าเราจะสามารถหาพลังงานทดแทนอย่างไร หรือปลูกป่าอีกปีละกี่ล้านไร่ – ซึ่งเราควรและต้องทำมาตั้งแต่เมื่อ ๒๐ ก่อน อย่างน้อยก็ควรพิจารณาสิ่งที่ผู้เขียนได้พูดได้เขียนแม้ที่คอลัมน์นี้มานานกว่า ๑๕ ปี - มาถึงวันนี้ อะไรๆ ก็สายเกินไปจนสุดจะช่วย แม้แต่จะผ่อนหนักเป็นเบาอย่างไรได้ ดังที่ ปีเตอร์ รัสเซลล์ นักฟิสิกส์จากเคมบริดจ์กล่าวว่า มันเป็นกรรมร่วมของโลกและเผ่าพันธุ์ที่ต้องผ่านบทเรียนอันสุดเจ็บปวดในครั้งนี้ ที่เราส่วนน้อยนิดผู้สามารถอยู่รอดจากมหันตภัยธรรมชาติที่ต้องเกิดกับเราทั้งโลกในไม่ช้านี้ จะต้องนำไปสะท้อนอย่างล้ำลึกและต่อเนื่องที่ภายใน และหนทางนี้เท่านั้นที่จะช่วยได้

หากเราย้อนกลับไปมองเรื่องของฟิสิกส์ปฐพีวิทยาของโลกกายภาพในอดีต โลกเราเคยปรากฏมีสภาวะโลกร้อนที่คล้ายคลึงกับสภาพที่เราคาดว่าจะเกิดขึ้นอีกในวันนี้พรุ่งนี้มาแล้วหลายครั้ง และทุกครั้ง สำหรับผู้เขียน ล้วนมีความหมายที่อาจใช้อธิบายจักรวาลที่มีแผนการสร้างสรรค์ไว้ล่วงหน้า สภาวะโลกร้อนครั้งหลังสุดที่เหมือนๆ กับคราวนี้ เกิดขึ้นเมื่อช่วงรอยต่อระหว่างปลายยุคพาลีโอซีน (Paleocene) กับอีโอซีน (Eocene) – เมื่อราวๆ ๕๕ ล้านปีมาแล้ว ช่วงเวลาที่ต้นตระกูลสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเริ่มปรากฏขึ้นมาในโลกเป็นครั้งแรก จากการที่อยู่ๆ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนถึง ๐.๓ – ๓.๐ ล้านล้านตัน (terraton) ถูกปล่อยออกมาสู่บรรยากาศโลก ส่วนสาเหตุที่ทำให้ก๊าซเรือนกระจกอยู่ๆ ก็พรวดพราดถูกปล่อยออกมาจากไหนและอย่างไรนั้น แม้กระทั่งบัดนี้ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันระหว่างนักวิทยาศาสตร์ บ้างก็ว่ามาจากการปล่อยของก๊าซมีเธนที่ฝังตัวอยู่ในผลึกน้ำแข็งใต้ท้องมหาสมุทรใกล้ๆ ขั้วโลกเหนือ บ้างก็ว่าเกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟใต้มหาสมุทรแอตแลนติกเหนืออีกเหมือนกัน การระเบิดทำให้ก๊าซคาร์บอนใต้ดินถูกปล่อยออกมา (Nature, Jun. 2004) อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนไม่เคยเชื่อหรือยอมรับเรื่องความบังเอิญหรืออุบัติเหตุ เพราะเชื่อมั่นว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับโลกกับจักรวาลรวมทั้งกับมนุษย์แต่ละคนหรือสังคมแต่ละสังคม ล้วนมีแผนหรือพิมพ์เขียวเขียนไว้ล่วงหน้าทั้งนั้น นั่นประกอบด้วยสองกลไกที่แยกกันทำ คือ กรรมร่วมของเผ่าพันธุ์หนึ่ง กับทฤษฏีการจัดองค์กรให้กับตัวเองดังที่เคยอธิบายไปแล้วหลายครั้ง

เพื่อเป็นการเปรียบเทียบระหว่างกัน ตอนนี้เราได้ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าสู่ชั้นบรรยากาศโลกไปเรียบร้อยแล้ว อย่างน้อยก็ราวๆ ครึ่งล้านล้านตัน หรือราวๆ ๐.๕ terraton ซึ่งอยู่ในขอบเขตสูงกว่าระดับต่ำที่สุดของสภาวะโลกร้อนเมื่อ ๕๕ ล้านปีก่อน งานวิจัยเมื่อเร็วๆ นี้จากหลายมหาวิทยาลัยชี้บ่งว่า เมื่อ ๕๕ ล้านปีก่อน อุณหภูมิเฉลี่ยในแถบอบอุ่นของโลก เช่นที่ยุโรปสูงขึ้นไปกว่าปกติถึง ๘ องศาเซลเซียส ในขณะที่บริเวณแถบร้อนเช่นบ้านเรา สูงขึ้นไปกว่าปกติเพียง ๕ องศาเซลเซียส แต่ก็สูงพอที่จะทำให้ป่าฝนเขตร้อนกลายเป็นพุ่มไม้เตี้ยๆ สลับกับทะเลทรายไปทั้งหมด (Hadley Center 2004) และโลกอาจจะต้องใช้เวลาราวๆ ๑ แสน – ๒ แสนปีในการรักษาความป่วยเจ็บเป็นไข้สูงให้กับตัวเอง ที่ต้องใช้เวลานานขนาดนั้นก็เพราะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต้องใช้เวลานานกว่าจะสูญสลาย แม้เมื่อ ๕๕ ล้านปีก่อนอาจเริ่มด้วยก๊าซมีเธน แต่มีเธนก็ย่อมถูกออกซิไดซ์เป็นก๊าซคาร์บอนกับละอองน้ำวันยังค่ำ

ส่วนเรื่องของน้ำท่วมโลกที่พูดๆ กันนั้น เป็นเพียงการเปรียบเปรย เพราะน้ำคงจะไม่มีทางท่วมโลกท่วมแผ่นดินรวมทั้งภูเขาเหมือนหนังเรื่อง Waterworld จริงๆ แล้วการที่น้ำทะเลจะสูงมากกว่า ๘๐ - ๙๐ เมตร คงเป็นได้ยาก เพราะนั่นหมายถึงน้ำแข็งที่กรีนแลนด์และทวีปแอนตาร์กติกาต้องละลายกลายเป็นน้ำไปแทบทั้งหมด แต่เป็นไปได้มากที่ระดับน้ำทะเลจะสูงกว่าระดับปัจจุบันขึ้นไปถึง ๒๐ - ๔๐ เมตร ภายใน ๓๐ ปีข้างหน้าตามที่ เจมส์ ลัฟล็อค ยืนยันว่าน่าจะเกิดมากกว่าไม่เกิด แล้วเราคนไทยโดยเฉพาะคนภาคกลางจะไปอยู่กันที่ไหนในเวลานั้น?

ก็เห็นมีแต่นักวิทยาศาสตร์ไม่กี่คนที่ยังคงดันทุรังคิดในเชิงอนุรักษ์นิยม โดยคาดหวังว่ามนุษย์และสังคมประเทศชาติอาจสามารถรู้ตัวได้ทันและเลิกคิดที่จะแข่งขันกัน ดังนั้นจึงคิดว่ามีความเป็นไปได้ที่มนุษยชาติโดยรวมจะหวนกลับมาร่วมมือกันลดการเผาผลาญฟอสซิลคาร์บอนลงอย่างฉับพลันทันที (drastic world -wide reduction) ทำให้อุณหภูมิโลกที่คาดว่าจะสูงมากในปลายศตวรรษนี้อาจจะลดลงมาสูงเพียง ๒ องศาเซลเซียสเท่านั้น ทำให้เรื่องของน้ำท่วมโลกเป็นไปได้ยาก เพราะอย่างดีระดับน้ำทะเลที่อาจสูงขึ้นบ้าง ก็คงแค่ไม่เกิน ๓๐ เซนติเมตร (Tom Wigley and G.A. Meehl, Science, Mar. 2005) แต่ก็เห็นได้ชัดว่านักอุตุนิยมทั้งสองคนนั้น ไม่ได้นำเรื่องของสภาวะโลกในปัจจุบันที่กำลังอยู่ในช่วงของการย้อนกลับไปมาของความร้อนที่เกิดจากสาเหตุต่างๆ (positive feedbacks) ไม่ว่าจะเป็นความร้อนจากสภาวะเรือนกระจกที่ทำให้น้ำแข็งในที่ต่างๆ เช่น จากขั้วโลกเหนือหรือยอดเขาสูงละลาย หรือป่าไม้ที่ช่วยดูดกลับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือความร้อนจากการพัฒนาที่อยู่อาศัย เช่น เครื่องทำความเย็น และจากซีเอฟซีที่ยังคงมีใช้อยู่บ้าง และที่สำคัญที่สุดที่รายงานดังกล่าวไม่ได้นำมาคิดเลยคือ ระบบนิเวศของป่าฝนเขตร้อนกับระบบนิเวศของสาหร่ายโฟโตแพลงตอนสีเขียวที่ลดน้อยลงมากเมื่อโลกร้อนขึ้นเรื่อยๆ พืชพันธุ์ไม้สีเขียวพวกนี้ทำหน้าที่ดูดซับ หรือ ปั้ม (pump) ก๊าซคาร์บอนจากชั้นบรรยากาศอันเป็นกลไกธรรมชาติที่สุดสำคัญอย่างหนึ่งที่ต้องสูญเสียไป ทำให้เกิดฟีดแบ็คกลับไปกลับมาจนอุณหภูมิสูงขึ้นไปเรื่อยๆ

ผู้เขียนเชื่ออย่างมีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์กายภาพในเรื่องของแรงที่กระทำไปย่อมจะก่อแรงสะท้อนที่เท่ากันตามกฏการเคลื่อนที่ข้อที่สามของนิวตัน ยิ่งกว่านั้น ผู้เขียนยังรู้ว่าโดยอภิปรัชญาที่ต่อยอดบนแควนตัมเมคานิกส์ซึ่งไม่มีตรรกะเลย แต่ได้รับการยอมรับกันโดยนักฟิสิกส์ระดับนำจำนวนมากของโลก ทำให้พวกเขาเหล่านั้นรวมทั้งผู้เขียนเชื่อมั่นว่า ไม่มีอะไรในโลกในจักรวาลที่ปรากฏขึ้นมาด้วยความบังเอิญ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีคุณค่าและความหมายหรือมีเป้าหมายอย่างหนึ่งอย่างใดทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าเรามองไม่เห็น ชี้วัดหรือคาดคิดด้วยสติปัญญาหรือสุตมยปัญญาไม่ได้ เราจึงเชื่อว่าเมื่อมองไม่เห็นและคิดไม่ถึงด้วยตรรกะและเหตุผลของตนแล้ว สิ่งนั้นปรากฏการณ์นั้นก็จะต้องไม่มี หรือ “บังเอิญ” มีขึ้นมาอย่างไร้สิ้นซึ่งความหมาย
เพราะฉะนั้น ในความรู้ความเห็นของผู้เขียน อุกกาบาตขนาดยักษ์ที่ตกลงมาชนโลกเมื่อ ๖๕ ล้านปีก่อนจนทำให้ไดโนเสาร์ต้องตายไปทั้งหมด จะต้องมีความหมายหรือมีความสัมพันธ์กับวิวัฒนาการของชีวิตที่ไล่สูงขึ้นไปกว่านั้น สภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นในทันทีทันใดเมื่อ ๕๕ ล้านปีในยุคอีโอซีน ที่ทำให้โลกร้อนอยู่นานร่วมๆ ๒ แสนปี จนชีวิตอยู่แทบไม่ได้ นอกจากพื้นดินบริเวณใกล้ๆ ขั้วโลก ดังที่ปรากฏร่องรอยวิวัฒนาการของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหรือแมมมอลชี้บ่งว่า เป็นแผนแม่แบบพิมพ์เขียวของจักรวาลที่แผ้วทางเพื่อให้ชีวิตที่อยู่สูงกว่าสามารถมีวิวัฒนาการขึ้นมาได้ ในความเห็นส่วนตัวเช่นเดียวกัน สภาพโลกร้อนเกิน ๕ องศาจะทำให้ชีวิตส่วนใหญ่อยูไม่ได้ในไม่กี่สิบปีข้างหน้า นอกจากแผ่นดินใกล้ๆ ขั้วโลก เช่น กรีนแลนด์ - ที่อาจใช้เเวลา ๑ แสนปีกว่าที่ก๊าซคาร์บอนจะสูญสลายไปหมด - และช่วงเวลาต่อไปจากนั้นจะเป็นช่วงเวลาที่มนุษยชาติสามารถวิวัฒนาการต่อไปได้ และคราวนี้ไม่ว่าเราจะเหลือน้อยสักปานใด จะไม่ใช่เรื่องของรูปกายที่วิวัฒนาการจบไปแล้ว แต่จะเป็นวิวัฒนาการทางจิตวิญญาณ ที่สำหรับผู้เขียน เส้นทางดังกล่าวเป็นไปตามเป้าหมายของจักรวาล

Back to Top