มีนาคม 2016

เด็กน้อยผู้บอบบาง... ที่ยังรอคอยอ้อมกอดจากเรา



โดย โอม รัตนกาญจน์
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 26 มีนาคม 2559

ไม่นานนี้ ผมได้สูญเสียคุณยาย ผู้เป็นบุคคลอันเป็นที่รักของผมไป ช่วงชีวิตตั้งแต่วัยเด็ก ส่วนใหญ่แล้ว ผมโตมากับท่าน ยายจึงเป็นเหมือนแม่ของผมคนหนึ่งเช่นกัน ผมจึงอยากเขียนบทความชิ้นนี้อุทิศให้แด่การจากไปของยาย ด้วยความรัก ความผูกพันที่มีจากหลานชายคนหนึ่ง ที่สำคัญ ผมเชื่อว่าหากท่านได้อ่านบทความนี้ อาจจะเห็นเรื่องราวของผมเป็นบทเรียน สะท้อนอยู่ในตัวท่าน และมีประโยชน์กับชีวิตครอบครัวของท่านไม่มากก็น้อย

หากจะเล่าให้ท่านผู้อ่านเห็นภาพ ถ้าพูดถึงยาย สำหรับผมและสมาชิกในครอบครัวแล้ว ท่านถือว่าเป็นแม่บ้านชั้นเลิศ ใส่ใจดูแลความเป็นอยู่ของลูกหลานทุกคนอย่างดี ทำอาหารเก่ง เป็นผู้หญิงคล่องแคล่ว ชอบจัดการ ทำงานบ้านและสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเอง เป็นที่น่าชื่นชมของทุกคน แต่ในอีกมุมหนึ่ง ท่านเป็นคนที่มีบุคลิกนิสัยแตกต่างจากคนอื่นในครอบครัวโดยสิ้นเชิง กล่าวคือท่านเป็นคนที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก โผงผาง เจ้าอารมณ์ โกรธ หงุดหงิดง่าย แต่ละวันไม่แน่นอน ทำให้ลูกหลานส่วนใหญ่รวมถึงผม แม้อยากพูดคุย ใช้เวลาใกล้ชิด แต่ก็ไม่สามารถอยู่ด้วยได้นาน เพราะความเป็นคนเจ้าอารมณ์ของท่าน ในชีวิตคู่ของท่าน ตากับยายผมอยู่บ้านเดียวกัน ถึงกับไม่คุยกันกว่า ๒๐ ปี เพราะบุคลิกนิสัยใจคอที่แตกต่างสุดขั้ว

นอกจากนั้น มีหลายด้านในความเป็นท่าน ที่ผมและลูกๆ หลานๆ ไม่ค่อยเข้าใจนัก ยกตัวอย่างเช่น สมัยสักสิบปีที่ผ่านมา ยายมักจะโทรหาผมและทุกคนในบ้านด้วยท่าทีจริงจังเพื่อสั่งซื้อของอย่างหนึ่ง นั่นคือยาอมสเตร็ปซิลแก้เจ็บคอ ทุกวัน วันละหลายๆ รอบ ที่น่าแปลกใจคือ มีวันหนึ่งผมอยู่บ้าน เห็นท่านอยู่ทั้งวันก็ดูปกติดี แต่พอตกเที่ยง ผมได้ยินยายไอเสียงดังมากจนผมตกใจกลัวท่านเป็นอะไร เลยเดินขึ้นไปหาที่ห้อง พบว่ายายกำลังยกหูโทรศัพท์หาแม่ผมเพื่อฝากซื้อยาอมสเตร็ปซิล ตอนนั้นผมรีบบอกยายว่า “ยาย ผมเพิ่งซื้อมาให้เมื่อวานเอง กล่องใหญ่เลย หมดแล้วหรอครับ” ยายผมตอบกลับมาว่า “เออ! แกไม่ต้องยุ่งหรอก ชั้นซื้อเผื่อไว้” ตอนนั้นผมมองไปที่หัวเตียงยาย เห็นสเตร็ปซิลวางเรียงเป็นตับ เหมือนร้านขายยา หลายกล่องยังไม่ได้เปิดใช้ด้วยซ้ำ ตอนนั้นผมกับทุกคนในครอบครัวเข้าใจและตีความว่าท่านเป็นคนมีพฤติกรรมแบบย้ำคิดย้ำทำ มีทางเดียวก็คือ ต้องเข้าใจและทำใจ

อ่านต่อ »

เมื่อมองเห็นความงามของสิ่งเล็กเล็ก ก็จะเห็นคุณค่าและความหมายของโลกและจักรวาล



โดย ผศ.ดร.จุมพล พูลภัทรชีวิน
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 19 มีนาคม 2559

ทุกครั้งที่มีโอกาสและเวลา ผมจะออกไปชมและแสวงหาความงามในสวน ไม่ว่าจะเป็นสวนที่บ้าน สวนที่โรงแรมที่ไปพัก แหล่งท่องเที่ยวที่ไปชม เพราะทุกครั้ง จะได้ชมและค้นพบความงามที่แปลกใหม่ไม่เหมือนเดิมตลอดเวลา ช่วยให้ผ่อนคลาย ตื่นตาตื่นใจ เพลิดเพลิน และมีความสุข โดยเฉพาะความงามเล็กเล็กที่ละเอียดอ่อน ละมุนละไม เช่นดอกไม้ เกสรดอกไม้ ลวดลายและสีสันของดอกไม้ ใบหญ้า จากที่ไม่เคยสนใจเป็นพิเศษเพราะคุ้นชินสายตา เช่นดอกกะเพรา หรือโหระพา แต่เมื่อเข้าไปดูใกล้ๆ สังเกตอย่างรอบด้าน ก็มองเห็นความงามที่ละเอียดอ่อนของสิ่งที่สังเกต ทึ่งและประทับใจในความงามตามธรรมชาติ ทำให้ผมเริ่มสังเกตสิ่งต่างๆ รอบตัวอย่างมีสติเพิ่มมากขึ้น ช้าลง ไม่เร่งรีบ เพราะยิ่งช้า ยิ่งมีสติ ยิ่งสังเกตเห็นมหัศจรรย์ความงามของธรรมชาติมากขึ้นทุกที มองเห็นความงาม คุณค่า และความหมายของสิ่งเล็กเล็กที่มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน ทั้งระหว่างสิ่งเล็กเล็กด้วยกันไปจนถึงสิ่งที่ใหญ่กว่าเช่นโลก เช่นจักรวาล

ผมเริ่มเก็บภาพความงามเล็กเล็กที่ผมพบด้วยกล้องในมือถือ แล้วส่งต่อความงามเหล่านั้นให้เพื่อนๆและคนที่รู้จัก เพียงเพราะอยากแบ่งปันความสุขเล็กเล็กที่มอบให้ได้

ผมเรียนรู้ที่จะขอบคุณอย่างลึกซึ้งต่อสรรพสิ่งที่ช่วยให้ผมได้พบ ได้เห็น ได้สัมผัส และเข้าใจความจริง ความดี และความงามที่ไหลเลื่อนเคลื่อนไป ขอบคุณจริงๆ ...จักรวาล โลก ขุนเขา แม่น้ำ ดอกไม้ใบหญ้า คน สัตว์ เซลล์ โมเลกุล อะตอม ควาร์ค...ขอบคุณสำหรับความงาม คุณค่า และความหมายที่ให้

ปัจจุบัน ผมให้โอกาส ผมให้เวลากับตัวเองเพื่อค้นพบความเปลี่ยนแปลงที่งดงามตามธรรมชาติเสมอ ความสุขช่างงดงาม หาได้ง่ายๆ ใกล้ตัว ไม่แพง

อ่านต่อ »

ยาโยอิ คุซามะ : ป็อปอาร์ตจากสวรรค์



โดย ไพรินทร์ โชติสกุลรัตน์
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 12 มีนาคม 2559

“ชีวิตฉันคือ จุดๆหนึ่ง ในบรรดาล้านอนุภาค ตาข่ายสีขาวแห่งความว่างเปล่า เกิดมาจากการรวมตัวกันของจุดมหาศาลที่เชื่อมโยงกัน มันจะทำลายตัวฉันและคนอื่น และทั้งจักรวาล” ยาโยอิ คุซามะ

นี่คือคำพูดของ “ราชินีลายจุด” หนึ่งในศิลปินญี่ปุ่นที่ห้างเซ็นทรัลเอ็มบาสซีนำผลงานมาแสดงในงาน Japanese Contemporary Art Show เปิดโอกาสให้คนไทยได้ชมงานของศิลปินผู้ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกคนนี้ (นับจากจำนวนผู้เข้าชมผลงานของเธอในพิพิธภัณฑ์) คุซามะยังเป็นศิลปินหญิงที่ยังมีชีวิตอยู่ที่ขายงานได้แพงที่สุดในโลกอีกด้วย เอกลักษณ์โดดเด่นจากงานศิลปะลายจุดสร้างชื่อเสียงให้กับเธอตั้งแต่ยุค 60 ทำให้เธอเป็นศิลปินป็อปอาร์ตแถวหน้าของนิวยอร์ค เคยแสดงงานร่วมกับแอนดี้ วอร์ฮอล ราชาแห่งป็อปอาร์ตหลายครั้ง วันนี้ ในวัย 87 ปี คุซามะยังคงสร้างสรรค์ผลงานศิลปะและอาศัยอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวช ในกรุงโตเกียว ที่ที่เธอเรียกว่าบ้านมา 40 กว่าปีแล้ว !

ลายจุดอันโดดเด่นของเธอมีเบื้องหลังที่น่าพิศวงเป็นอย่างยิ่ง ในทางการแพทย์ ศิลปินผู้โด่งดังนี้ถูกระบุว่ามีอาการประสาทหลอน เธอบอกว่า “เมื่อเขียนรูป ลวดลายจะขยายออกจากผืนผ้าใบ ไปเต็มทั่วพื้นและผนัง พอฉันมองออกไปไกล ฉันจะเห็นภาพหลอนและฉันจะถูกโอบล้อมด้วยภาพเหล่านั้น” นอกจากนั้นเธอยังมีภาวะย้ำคิดย้ำทำอีกด้วย เราจึงเห็นงานของเธอเต็มไปด้วยภาพซ้ำๆ โดยเฉพาะจุดซ้ำๆ มากมายทั่วทั้งภาพ ตั้งแต่เด็กแล้วที่คุซามะเห็นภาพหลอนเหล่านี้ และศิลปะเป็นทางออกที่จะแปรเปลี่ยนความ “ผิดปกติ” ทางการแพทย์ให้ออกมาเป็นความสร้างสรรค์ เธอกล่าวว่า “ฉันไม่ได้ต้องการพยายามจะเป็นศิลปิน ฉันแค่พยายามจะนำรูปวงกลมสีขาวเหมือนเมล็ดข้าวฟ่างที่มากมายทวีคูณไม่รู้จบลงไปอยู่ในฝาผนังและกระดาษวาดรูป” ภาวะทางจิตนี้กลับส่งผลให้เธอผลิตผลงานออกมาอย่างสร้างสรรค์ล้ำเกินกว่าใครจะจินตนาการได้

อ่านต่อ »

ชีวิตคู่: สวรรค์หรือนรก หรือเรื่องตลก



โดย สมพล ชัยสิริโรจน์
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 5 มีนาคม 2559

“ชายสองคนตายลงไปพบยมบาล ยมบาลถามชายคนแรกว่า แต่งงานหรือยัง เขาตอบว่า แต่งมาแล้วยี่สิบปี ยมบาลไล่คนแรกให้ไปขึ้นสวรรค์ ยมบาลถามคนที่สองคำถามเดียวกัน ชายคนที่สองบอกว่า ยังไม่ได้แต่งงาน ยมบาลสั่งให้คนที่สองไปลงนรก ชายคนที่สองประท้วงถามว่า ทำไมเขาต้องลงนรก ยมบาลตอบว่า เพราะคนแรกเขาลงนรกมาแล้วยี่สิบปี ส่วนเจ้าคนที่สองยังไม่เคย”

แม้นเรื่องเล่านี้จะเป็นเพียงเรื่องขำขันไว้เล่าบนโต๊ะอาหาร แต่ก็สะท้อนความรู้สึกลึกๆ ของผู้คนในสังคมยุคนี้ได้ไม่น้อยว่า เขารู้สึกอย่างไรกับชีวิตแต่งงาน ไม่ว่าตัวละครในเรื่องนี้จะเป็นชายหรือหญิงก็ตาม

ความรู้สึกแปลกแยกไม่สมหวังในการแต่งงาน นอกจากเกาะกินจิตใจของคนที่เกี่ยวข้อง ยังสั่นสะเทือนพื้นฐานของชีวิตครอบครัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และครอบครัวที่ไม่สามารถรับมือกับ “นรก” ของชีวิตแต่งงาน ก็แทบจะขาดทักษะที่จะรับมือกับวิกฤติของนรกรอบตัว จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิกฤติในที่สุด

อดตั้งคำถามไม่ได้ว่า อะไรทำให้การแต่งงานซึ่งต่างเป็นที่ปรารถนาของชายหญิง จนถึงกับเฉลิมฉลองกันอย่างเอิกเกริก เชิญแขกเหรื่อเพื่อนฝูงผู้หลักผู้ใหญ่มาร่วมอวยพร กลายเป็นเรื่องไม่สมปรารถนา จนเป็นนรกไปได้

อาจจะเป็นเพราะคู่แต่งงานต่างมีมโนจริตคิดไปเองว่า เมื่อปลงใจรักกันแล้ว จนตกลงอยู่กินด้วยกันนั้น เป็นเพราะต่างเข้าใจอกเข้าใจตรงกัน มีนิสัยใจคอที่ตรงกัน “น่า” จะเข้ากัน เพราะมีอะไรเหมือนกันจึงมารักกัน จนอยู่ด้วยกัน ดังนั้น เมื่อมีอะไรขัดแย้งกันไม่เข้าใจกันเกิดขึ้น ต่างคนต่างเห็นว่า “ไม่น่า” จะเป็นเช่นนั้น ต่างจึงผิดหวังในกันและกัน และสวรรค์ที่วาดไว้พังลงกลายเป็นนรก ความสุขสดชื่นหายไปกลายเป็นความขมขื่น คนรักที่คุ้นเคยใกล้ชิดแปลกแยกกลายเป็นคนแปลกหน้า

อะไรจะเกิดขึ้นเล่า หากเราวางจริตซึ่งคิดไปเองว่า เราเหมือนกันใจตรงกันจึงอยู่กินกัน แล้วกลับมองว่า เพราะเราต่างกัน แตกต่างอย่างคนละขั้ว สุดโต่งกันคนละข้างต่างหาก เราจึงโดนดึงดูดให้รักกัน ราวกับแม่เหล็กขั้วบวกดึงดูดขั้วลบ อะไรจะเกิดขึ้นหากเรารู้ทันความแตกต่างที่ว่านี้

อ่านต่อ »

Back to Top