29 ม.ค. 2548

สงครามศักดิ์สิทธิ์หรือ?
สงครามชอบด้วยศีลธรรมหรือ? สงครามชอบธรรมหรือ?

โดย เดวิด สปินเลน
วนิสา สุรพิพิธ แปล
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 29 มกราคม 2548

ก่อนที่จะตอบคำถามเหล่านี้ ขอให้ผู้เขียนได้เล่าถึงพื้นเพของตนเองสักเล็กน้อย ผู้เขียนเป็นชาวอเมริกันอายุ ๖๖ ปี ลุงสองคนของผู้เขียนเคยร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อท่านกลับบ้าน เราทุกคนมองว่าท่านเป็นวีรบุรุษ ผู้เขียนมีลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่งซึ่งร่วมรบในสงครามเกาหลี พี่ชายของผู้เขียนเรียนที่โรงเรียนนายเรือสหรัฐและรับราชการทหารเรือนานกว่า ๒๐ ปี ผู้เขียนเองรับราชการอยู่ในกองทัพบกสหรัฐนานหกปี โดยใช้เวลาสองปีในเวียดนาม เมื่อยังเยาว์วัย ผู้เขียนเป็นเหมือนชายหนุ่มทั่วโลกส่วนใหญ่ที่เชื่อในสิ่งที่ครอบครัวและวัฒนธรรมของตนสั่งสอนมาว่า เรามีหน้าที่ที่จะต้องรับใช้ประเทศชาติของเรา และหากเราตายในสงคราม เราจะได้เป็นวีรบุรุษ

บัดนี้ ผู้เขียนไม่เชื่อสิ่งที่ผู้เขียนถูกสอนมาเมื่อครั้งเยาว์วัยอีกแล้ว ผู้เขียนไม่เชื่อว่าสงครามเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผู้เขียนไม่เชื่อว่าสงครามชอบด้วยศีลธรรม ผู้เขียนไม่เชื่อว่าสงครามเป็นสิ่งชอบธรรม

ผู้อ่านบางท่านอาจคิดได้ทันทีถึงเหตุผลที่ว่าทำไมสงครามจึงเป็นสิ่งชอบธรรม ท่านคงได้รับการสั่งสอน กล่อมเกลา และเสริมสร้างให้เชื่อในสิ่งนี้เช่นกัน ที่จริงแล้วเราทั้งหมดก็เป็นเหมือนๆ กัน ในความเห็นของผู้เขียน เมื่อมีสงครามเกิดขึ้นไม่ว่าที่ไหนหรือด้วยเหตุใดก็ตาม มนุษยชาติต่างก็สูญเสียด้วยกันทั้งสิ้นไม่ว่าจะในสภาพการณ์ใดๆ ทำไมน่ะหรือ? ก็เพราะว่าสงครามทั้งมวลล้วนเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ก็เพราะพระพุทธองค์และพระเยซูเจ้าได้ทรงสอนไว้ว่า เราทั้งหมดล้วนเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน และก็เพราะเราแต่ละคนมีเมล็ดพันธุ์แห่งความรุนแรงอยู่ในตัว ดังนั้นเราจึงต้องรับผิดชอบร่วมกัน

ทุกประเทศและทุกวัฒนธรรมในโลกให้เกียรติยกย่องสงครามและทหารผู้สิ้นชีพในสงคราม มีอนุสรณ์สถาน สุสานทหาร วันชาติเพื่อรำลึกถึงวีรบุรุษในสงคราม เมื่อผู้นำมาเยือนประเทศอย่างเป็นทางการก็มักจะต้องเดินตรวจแถวทหารกองเกียรติยศ และวางพวงมาลา ณ อนุสรณ์สถานแด่ผู้พลีชีพของประเทศนั้นๆ

ไม่เฉพาะแต่สงครามเท่านั้นที่ลดความเป็นมนุษย์ของเรา ภาพยนตร์ วิดีโอ และเกมคอมพิวเตอร์ล้วนบรรจุความรุนแรง ๒๔ ชั่วโมงต่อวัน รายการข่าวโทรทัศน์ภาคค่ำส่วนมากจะเริ่มต้นด้วยข่าวอาชญากรรมหรือความรุนแรงล่าสุด หน้าแรกของหนังสือพิมพ์ที่มียอดขายสูงสุดเต็มไปด้วยภาพถ่ายและบทความอันรุนแรง ซึ่งคนนับล้านก็กระหายใคร่ซื้อมาอ่าน

หากพิจารณาเรื่องนี้อย่างลึกซึ้ง เราจะรู้ว่าเราทุกคนล้วนมีส่วนรับผิดชอบต่อสงคราม สงครามไม่ใช่บางสิ่งซึ่งเกิดขึ้นภายนอกตัวเรา แต่เป็นสิ่งที่ขยายออกไปจากตัวเรา ฝังรากอยู่ในธรรมชาติของเรา และเกิดขึ้นภายในเราทุกคน สงครามเป็นรูปแบบหนึ่งของโรคจิต-โรคประสาทหมู่ ที่นำแต่ละคนเข้าสู่สภาวะของจิตซึ่งสามารถก่ออาชญากรรมได้ อีกทั้งยังสะท้อนให้เห็นสภาวะของจิตใต้สำนึกของเราได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งหมดนี้ถูกหยั่งรากลงไปผ่านทางการปลูกฝังทางวัฒนธรรมและการกดขี่ ก่อนกลับขึ้นมาเป็นการฆาตกรรมหมู่ในสงคราม เมื่อสงครามสิ้นสุด ผู้แพ้บางคนถูกนำตัวขึ้นศาลและไต่สวนในข้อหาอาชญากรสงคราม สิ่งนี้ทำให้หมู่คณะหรือทุกฝ่ายที่มีส่วนร่วมหลุดพ้นจากความรับผิดชอบ และโยนภาระไว้ให้กับบางคน สิ่งนี้ช่วยปลดเปลื้องเราทุกคนที่เหลือออกจากภาพอันน่าสะพรึงกลัวของอาชญากรรมสงคราม “พวกนั้น” เป็นคนลงมือทำ ไม่ใช่ “พวกเรา” แล้วพวกเราส่วนใหญ่ก็หนีพ้นความรับผิดชอบส่วนตัว ซึ่งเท่ากับเป็นการรับรอง จะต้องมีสงครามต่อไป พร้อมทั้งอาจมีความรุนแรงยิ่งขึ้น

สงครามเป็นการแสดงออกร่วมกันของความทุกข์ของแต่ละคน ถ้าเราต้องการยุติสงครามเราจะต้องตื่นขึ้นและยอมรับความรับผิดชอบส่วนตัว ถ้าเราไม่ทำเช่นนี้ เมื่อใดที่กลองแห่งสงครามถูกกระหน่ำ เราจะพบว่า ตัวเองร่วมออกเดินสวนสนามเข้าสู่สงครามท่ามกลางเสียงปลุกเร้าของฝูงชนและเสียงร่ำไห้ของครอบครัวเรา

เป็นเรื่องยากมากที่จะตื่นขึ้น ที่จะยอมรับว่าตัวเองเปี่ยมด้วยความรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้คนรอบตัวกำลังใช้ความรุนแรงอยู่ แต่ถ้าเราไม่ทุ่มเทความพยายาม แน่ใจได้เลยว่าจะต้องมีสงครามและความรุนแรงมากขึ้นอีก

พระพุทธองค์ทรงทราบเรื่องนี้เมื่อ ๒,๕๐๐ ปีก่อนแล้ว

ใครไม่คิดอาฆาตว่า

"มันด่าเรา มันทำร้ายเรา"
มันเอาชนะเรา มันขโมยของเรา
เวรของเขาย่อมระงับ
แต่ไหนแต่ไรมา ในโลกนี้

เวรไม่มีระงับด้วยการจองเวร
มีแต่ระงับด้วยการไม่จองเวร
นี้เป็นกฎเกณฑ์ตายตัว


ธรรมบท หมวดคู่ บทที่ ๔ และ ๕ (จาก พุทธวจนะในธรรมบท โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก)


ความรับผิดชอบที่จะยุติสงครามอยู่ในมือคุณและผม ผู้เขียนตระหนักดีว่าสิ่งนี้ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ แต่โปรดระลึกว่าเมื่อ ๑๐๐-๒๐๐ ปีก่อน โลกเกือบทั้งหมดล้วนยอมรับการมีทาส แต่บัดนี้ทุกคนประณามมัน

ดังนั้น ขอให้เราเริ่มต้นด้วยการหยุดรดน้ำเมล็ดพันธุ์แห่งความรุนแรงภายในตัวเราและรอบตัวเราเถิด

22 ม.ค. 2548

ขอเวลาศึกษาหัวใจกันบ้าง

โดย ศ.สุมน อมรวิวัฒน์
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 22 มกราคม 2548

ข้อเขียนนี้มุ่งเน้นที่วิสัยทัศน์ หลักสูตร และการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยไทย ที่กำหนดทิศไปในทางสร้างองค์ความรู้ สร้างมาตรฐานและการแข่งขันกับมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก

ผู้บริหารและคณาจารย์ทำงานหนักเพื่อพัฒนาสมองคือเชาวน์ปัญญา และพัฒนาความสามารถ (สองมือ) เพื่อให้ปฏิบัติงานในวิชาชีพนั้นๆ ได้อย่างดีเลิศ

แน่นอน การพัฒนามหาวิทยาลัยสู่ความเป็นเลิศ คือวิสัยทัศน์ที่เก๋ที่สุดในวงการอุดมศึกษาไทย

มีที่ มีทิศ และมีทาง บ้างหรือไม่ ที่มหาวิทยาลัยจะพัฒนาหัวใจของนิสิตนักศึกษาให้เป็นมนุษย์ที่มีจิตอิสระ จิตอาสา ฝึกสติ พัฒนาปัญญาที่มีคุณธรรม และวัฒนธรรมเป็นฐาน

คนหนุ่มสาวและวัยรุ่นมิได้เป็นพวกใฝ่ต่ำ เลื่อนลอย เหลวไหล อย่างที่พวกผู้ใหญ่ค่อนว่าอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เขามีความดีงามอยู่ในใจอย่างมาก

แบบอย่างวิธีคิดของผู้ใหญ่และสื่อทั้งหลายต่างหากที่ชี้ทิศให้เขาเดินไปสู่ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม แข่งขันกันไขว่คว้าหาเงินและอำนาจไม่ว่าจะด้วยวิธีการที่ดีหรือเลว

นิสิตนักศึกษาหาหนทางที่จะสืบค้นเส้นทางชีวิตอันถูกต้องได้ยากเหลือเกิน จำนวนหน่วยกิตอันมากล้นไม่เหลือสำหรับการศึกษาให้รู้จักตนเองและรู้จักรักผู้อื่น คณาจารย์แต่ละวิชาพากันบ่นว่า เวลาและหน่วยกิตที่มีไม่พอที่ให้นิสิตรู้และเก่งได้ดังใจ

นิสิตนักศึกษาไม่มีทางเลือก กรอบหลักสูตรได้มัดเขาไว้อย่างเหนียวแน่น เธออยากจะไปเดินดูทุ่งนาป่าเขา อยากช่วยคนในสลัมข้างมหาวิทยาลัย เธอไปทำกิจกรรมเสริมหลักสูตร (ซึ่งดีแล้ว) แต่กิจกรรมเหล่านั้น มหาวิทยาลัยจะแยกใบรับรองไว้ต่างหาก จะเอามาปนกับหลักสูตรปรกติได้อย่างไรเล่า

เรื่องของการพัฒนาจิตใจ เป็นงานเสริม ไม่ใช่งานหลักของมหาวิทยาลัย แม้แต่คณาจารย์เอง ก็ไม่มีเวลาที่จะพัฒนาหัวใจของตน

เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๔ ท่านพุทธทาสภิกขุได้เสนอแนวทางการพัฒนาจิตใจให้แก่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แนะนำธรรมะที่จะสอน ชื่อที่จะเรียก รูปที่จะสอน ความมุ่งหมาย วิธีสอน สถานที่สอน และครูผู้สอน ผู้เขียนจำได้ว่า พระคุณเจ้าเน้นวิธีสอน "ชนิดที่ให้เกิดความรู้สึก สามารถเปลี่ยนนิสัยสันดานของมนุษย์ได้จริง" ท่านเน้นบรรยากาศแห่งความศักดิ์สิทธิ์ ควรมียูนิเวอซิตี เต็มเปิล

ในปีเดียวกันนั้น (พ.ศ.๒๕๐๔) หม่อมเจ้าพูนพิศมัย ดิศกุล ได้เสด็จมาเป็น "เพื่อนคุย" กับนิสิตจุฬาฯ และใช้ธรรมะเป็นแนวทางให้คำปรึกษาแก่นิสิตที่มีความทุกข์

นิสิตสมัยนั้น จึงมีผู้ให้ "ทิศ" นำ "ทาง" และมี "ที่" สำหรับพัฒนาหัวใจ

การสร้างหัวใจให้แข็งแกร่งและอ่อนโยนนั้น ต้องไม่ใช้วิธีบังคับและไม่ใช้วิธีการเดียว กิจกรรมที่สร้างขึ้นในการฝึกอบรมจิตใจ ควรหลากหลายและเหมาะกับจริตของนิสิตนักศึกษา เริ่มซึมซับทีละน้อยตั้งแต่วันแรกเข้าจนวันสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัย

คนหนุ่มสาวเมื่อถูกบังคับก็ยิ่งต่อต้าน มหาวิทยาลัยสามารถสร้างศรัทธาให้เกิดโดยจัดบรรยากาศและสภาพแวดล้อม จัดดุลยภาพของหลักสูตรให้ครบทั้งวิชาการ คุณธรรม และวิชาชีพ มีวิชาเลือกเสรีที่มากพอ

คนหนุ่มสาวมีพลังและอารมณ์แรง ลู่วิ่งในสนามแข่งขันไปสู่เส้นชัยแห่งเงินและอำนาจนั้นแคบยิ่งนัก ถ้าเขาถูกเสี้ยมสอนให้วิ่งเร็วที่สุด เพื่อเอาตัวรอด ผลักไสเหยียบย่ำเพื่อนให้ล้มถลาออกนอกทาง ใช้เครื่องมือทุกอย่างเพื่อยกตนให้เด่น ผู้เขียนมีตัวอย่างมากมายที่แสดงถึงแรงผลักดันดังกล่าว เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจะหาสังคมคุณธรรมได้อย่างไร

แม้คณาจารย์เองก็เช่นกัน ตั้งแต่ "จบ" การศึกษาปริญญาเอกแล้วก็จบกัน มีเวลาวิเคราะห์และพัฒนาจิตใจของตนเองบ้างหรือไม่ ถ้านิสิตนักศึกษาคือชีวิตของมหาวิทยาลัย คณาจารย์ก็คือ "ขวัญ" ของสถาบันนั้น

มหาวิทยาลัยกำลังเสียขวัญหรือเปล่า?

มีเรื่องล้อเล่นที่เป็นจริงว่า ภาควิชาหนึ่งมีคณาจารย์ ๑๒ คน จบปริญญาเอกทุกคน แบ่งพวกกันเป็น ๔ กลุ่มกับอีก ๑ คนที่เข้ากับใครไม่ได้ บรรยากาศในภาควิชาอึมครึมและเงียบเหงา ไม่มีใครอาสาสอนแทนอาจารย์ที่เกษียณอายุราชการ หัวหน้าภาควิชานั้นปวดหัวมากเวลาประชุม

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ห้องทำงานของผู้เขียนอยู่ติดทางเดินและใกล้ลิฟต์ ใจจะขาดเมื่อได้ยินเสียงนิสิตนินทาอาจารย์ และเพิ่มชื่ออาจารย์ให้เพี้ยนไปอย่างสนุกสนาน

เรื่องเหล่านี้มีอยู่ในทุกสถาบัน มหาวิทยาลับกำลังทำอะไรอยู่

อันที่จริง โครงการดีๆ ในมหาวิทยาลัยนั้นมีอยู่มาก เรามีโครงการบัณฑิตอาสาสมัคร มีวิชาบัณฑิตอุดมคติ มีศาลาธรรม ธรรมสถาน ฯลฯ ทุกมหาวิทยาลัย มีคณาจารย์และผู้บริหารที่ใฝ่ใจในโครงการเหล่านี้

เหตุการณ์มหันตภัยสึนามิ ได้แสดงให้เห็นเนื้อแท้ทางจิตใจของคนหนุ่มสาวและวัยรุ่นที่อาสาช่วยงานบรรเทาทุกข์พี่น้องร่วมชาติอย่างน่าชมเชย แต่เราจะเรียนรู้จากเหตุการณ์วิกฤตอย่างเดียวไม่ได้ ทุกคนควรมีโอกาสฝึกฝนพัฒนาจิตใจของตนเองอย่างต่อเนื่องทุกเวลา

ความทุกข์และเพื่อนร่วมทุกข์มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง บทเรียนของชีวิตไม่มีวันศึกษาได้จบ

ขอเวลาให้นิสิตนักศึกษาและคณาจารย์ได้ก้าวพ้นจากความเป็นทาสของวัตถุ ไปสู่มิติทางสุนทรียภาพ สัมพันธภาพ และมีจิตอิสระ

ขณะที่การอุดมศึกษาไทยกำลังปฏิรูปกันยกใหญ่ เพื่อพัฒนาวิชาการและงานวิจัยไปสู่ระดับเทียบเคียงกับมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก

ผู้เขียนจะเพ้อฝันไปหรือเปล่าว่าใน พ.ศ.๒๕๕๓ หรือ ค.ศ.๒๐๑๐ มหาวิทยาลัยทั่วโลกต่างพากันกำหนดระดับเทียบเคียง (benchmarking) ตามมหาวิทยาลัยไทยในด้านการพัฒนาบัณฑิตให้เป็นมนุษย์ที่มีจิตใจสูง

ตัวอย่างดีๆ มีอยู่แล้วในการศึกษาวิถีไทย มีดวงแก้วอยู่แล้วในกำมือ เราจะขว้างทิ้งแล้วมัวก้มลงเก็บก้อนกรวดอยู่หรือ

15 ม.ค. 2548

ร้อยเรียงการเรียนรู้จากสึนามิ

โดย จุมพล พูลภัทรชีวิน
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 15 มกราคม 2548

เมื่อคลื่นคลั่งถั่งโถมมหาศาล ธรรมชาติส่งสัญญาณผ่านความหมาย
ว่าความรักความสุขและความตาย เป็นรอยร่วมเรียงรายใกล้ชิดกัน
เสี้ยวนาทีที่พบก็พลัดพราก แม้ยามยากมีมิตรจิตปลอบขวัญ
เราเป็นเพื่อนร่วมทุกข์อยู่ทั้งนั้นรู้เท่าทันอย่าท้อก้าวต่อไป


สุมน อมรวิวัฒน์

********


แม้ต้นไม้จะถูกไฟป่าเผาผลาญจนดำราวกับถ่าน แต่ก็ไม่ยอมล้มหรือตายง่ายๆ เมื่อวันและเดือนผ่านไป ใบอ่อนก็ทยอยกันผลิออกมา ขณะที่ลำต้นก็ค่อยๆ กร้านแกร่ง และยอดก็ทะยานสูงขึ้นเรื่อยๆ ชีวิตนั้นไม่เคยยอมแพ้ต่อภัยคุกคามใดๆ หากรอเวลาที่จะหยัดยืนขึ้นใหม่ด้วยความเข้มแข็งยิ่งกว่าเดิม วันนี้แม้เราจะล้มเพราะถูกทุกข์กระหน่ำ แต่ขอให้มั่นใจว่าพรุ่งนี้เราจะสามารถลุกขึ้นได้ใหม่ ไม่มีทุกข์ภัยใดๆ ที่จิรังยั่งยืน ไม่มีราตรีใดที่มืดมนไปตลอด ขอเพียงแต่เราอดทน รู้จักรอคอย มีศรัทธาในชีวิต ระดมสติและปัญญาเพื่อเป็นพลังให้แก่จิตใจ ไม่นานวันใหม่ย่อมมาถึง ทุกข์ภัยย่อมหมดไป แล้ววันนั้นเราจะแย้มยิ้มได้อีกครั้งหนึ่งด้วยใจที่มั่นคงกว่าเดิม

พระไพศาล วิสาโล

********


มหาวิปโยคกับจิตวิวัฒน์

แผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์แห่งอันดามัน เมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๔๗ ได้ก่อให้เกิดความสูญเสียชีวิตของผู้คนจำนวนมากมหาศาล บางคนสูญเสียพ่อ สูญเสียแม่ สูญเสียลูก สูญเสียสามี สูญเสียภรรยา หรือสูญเสียทั้งหมด การพลัดพรากจากคนที่รักเป็นทุกข์อย่างยิ่ง

ถ้าที่ใดมีทุกข์ แล้วมีการร่วมทุกข์ ความทุกข์จะบรรเทาเบาบางลง

มหาวิปโยคแห่งอันดามันได้ก่อให้เกิดการหลั่งไหลของน้ำใจอย่างท่วมท้น เหมือนดังพระราชนิพนธ์ ร.๖ ที่ว่า
"อันว่าความกรุณาปรานี จะมีใครบังคับก็หาไม่
หลั่งมาเองเหมือนฝนอันชื่นใจ จากฟากฟ้าสุราลัยสู่แดนดิน"


พลังน้ำใจมิได้เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น แต่เกิดขึ้นทั่วโลก ความกรุณาปรานีเป็นคุณสมบัติของความเป็นมนุษย์ เป็นจิตสำนึกที่สูง ตรงข้ามกับการหมกมุ่นมัวเมาอยู่กับการเสพสุขของตัวเอง อันดามันวิปโยคนำมาซึ่งความทุกข์อันใหญ่หลวงของมนุษย์จำนวนมาก และแม้เพราะเหตุนั้น ได้ก่อให้เกิดคลื่นแห่งความกรุณาปรานีที่ใหญ่กว่าคลื่นสึนามิ คลื่นนี้ได้ยกระดับจิตใจของมนุษย์ให้สูงขึ้น ซึ่งก่อให้เกิดความรู้สึกที่ดีแผ่ซ่านไปทั่ว

อันที่จริงคลื่นของความทุกข์ที่ซัดกระแทกมนุษย์ทุกรูปทุกนามอยู่ทุกวี่ทุกวันนั้นใหญ่กว่าคลื่นสึนามิทุกลูกรวมกัน ถ้าการสื่อสารของเราจะลดทอนการกระตุ้นให้มนุษย์มัวเมาหมกมุ่นอยู่ในกามสุข หันไปหาวิธีให้มนุษย์ทั้งหมดได้ตระหนักรู้คลื่นของความทุกข์ของมวลมนุษย์ จะเกิดพลังแห่งน้ำใจหลั่งไหลอาบโลกให้ชุ่มเย็น พลังแห่งความกรุณาปรานีเป็น "กำลังเลิศกว่าพลังอื่นทั้งสิ้น" จะเป็นพลังขับเคลื่อนโลกไปสู่ศานติสุข แทนการขับเคลื่อนด้วยโลภจริตเยี่ยงในปัจจุบัน

ประเวศ วะสี


********

โอมาร์ ไคยาม กับภัยพิบัติ


ท่ามกลางกองขยะ สิ่งสลักหักพัง
หลังลิ้มรสช่วงขณะของชีวิต
ดาวตกเดือนดับฤกษ์เดินทาง
แจ้งสว่างที่ไหน - ใครจะรู้? โอ้ - เวลา!


ประสาน ต่างใจ


********


"แม่ธรณี" กับ "แม่คงคา" พลิกตัวพร้อมกันนิดเดียว ก็ยังให้เกิดภัยพิบัติใหญ่หลวงของมนุษย์ สรรพชีวิตและสิ่งแวดล้อมได้มากถึงเพียงนี้
หายนะครั้งนี้ให้บทเรียนล้ำค่าแก่เราว่า มนุษย์มิอาจควบคุม เอาชนะธรรมชาติได้ ดังนั้น เราจึงควรตั้งสติและใช้ปัญญา เรียนรู้เข้าใจโลกธรรมชาติให้มากยิ่งขึ้น
ในการนี้ จำเป็นที่เราจะต้องปรับท่าทีเสียใหม่ให้เคารพและถนอมรักษ์โลกธรรมชาติ ในฐานะที่เขามีชีวิตของเขาเอง มนุษย์และสิ่งมีชีวิตทั้งปวงเกิดที่นี่ พึ่งพาอาศัยเขาอยู่ที่นี่ เราจึงต้องรู้เท่าทัน กตัญญูรู้คุณ และไม่ตั้งอยู่ในความประมาท

เอกวิทย์ ณ ถลาง


********


ในทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ใหม่โดยเฉพาะควอนตัมฟิสิกส์บอกไว้ชัดเจนว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาในจักรวาลนี้ล้วนแล้วแต่ “มีความหมาย” ทิ้งสิ้น “คลื่นสึนามิ” จึงไม่ใช่แค่ “เหตุบังเอิญ” หรือไม่ได้เป็นเพียงปรากฏการณ์ตามธรรมชาติทั่วๆ ไป
การเกิดคลื่นสึนามิ “สื่อความหมาย” อย่างไรกับพวกเราบ้าง? นอกไปจากความทุกข์และความโศกเศร้าของทั้งผู้สูญเสียเพื่อนคนไทยทั้งชาติรวมไปถึงชาวโลกทั้งหมดนี้
วิทยาศาสตร์ใหม่เชื่อว่าโลกเป็นสิ่งมีชีวิต
การเกิดแผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิคงจะสามารถเปรียบเสมือนกับ “อาการปวดท้อง” และ “ท้องเสียอย่างรุนแรง” ของโลกใบนี้
ในขณะที่พายุรุนแรง (ไต้ฝุ่น ทอร์นาโด) เปรียบเสมือนเป็น “อาการไข้” ของโลก
ผมเชื่อว่า “สึนามิ” คือสัญญาณเตือนจาก “สิ่งมีชีวิตหนึ่งคือโลก” ว่า เธอกำลังป่วยกำลังปวดท้องกำลังท้องเสียและต้องการการเยียวยาและดูแลรักษาอย่างรีบด่วนเช่นกัน
เธอกำลังมีความทุกข์และทรมานไม่น้อยไปกว่าพวกเราที่กำลังเศร้าโศกและมีความทุกข์กันอยู่ในตอนนี้

นพ.วิธาน ฐานะวุฑฒ์


********


จากเหตุการณ์มหันตภัยสึนามิ ทำให้เราประจักษ์แล้วว่า ความสุข และความทุกข์นั้น ห่างกันเพียงเสี้ยววินาที จงหันกลับมาสู่ความสุขที่แท้จริง เพื่อตนเองและคนรอบข้าง เพื่อช่วยพวกเขาให้พ้นจากความทุกข์ การช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ช่วยเหลือธรรมชาติโดยไม่หวังผลตอบแทน จะเป็นการเจริญเมตตาภาวนา ที่สร้างความสุขอันยิ่งใหญ่และถาวร
จารุพรรณ กุลดิลก


********


สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากคลื่นยักษ์อันดามัน
... คือ คลื่นน้ำใจอันมหาศาลของมนุษย์ที่หลั่งไหลมาจากทั่วทุกสารทิศ ไม่แบ่งแยกเพศ อายุ ผิวพรรณ วรรณะ จากคนที่บางครั้งเราเผลอไปแบ่งว่าเป็น "คนไทย" และที่ไม่ใช่คนไทย ที่บางครั้งเราเผลอไปแบ่งว่าเป็นคนที่นับถือศาสนาเดียวกันกับเราและที่ไม่ได้นับถือศาสนาเดียวกับเรา หรือที่บางครั้งเราเผลอไปแบ่งว่าเป็นคนที่เราชอบและที่เราไม่ชอบ
... คือ รูปธรรมของสุขภาวะทางจิตวิญญาณ-สุขภาวะทางปัญญา! น้ำใจอันบริสุทธิ์ การให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน การทำงานอาสาสมัครถือเป็นตัวอย่างของการสร้างเสริมสุขภาวะทางจิตวิญญาณ เป็นการเป็นพัฒนาจิตเพื่อสุขภาพ สามารถนำพาประเทศและโลกไปสู่การมีสุขภาวะจากการมีจิตใจสูงของคนทั้งหมด
... คือ ปรากฏการณ์จิตวิวัฒน์! ปรากฏการณ์ที่ชี้ให้เห็นว่ามนุษย์ทุกคนมีศักยภาพที่ยิ่งใหญ่ สามารถก้าวข้ามความอึดอัด คับแคบของอัตตา ตัวตน ไปสู่การมีจิตใหญ่ เชื่อมโยงถึงเพื่อนมนุษย์และธรรมชาติ
... คือ ความหวัง ความหวังในการอยู่รอดของมนุษยชาติ ในการเผชิญวิกฤตอื่นที่รอเราอยู่ในอนาคตกันใกล้นี้

สรยุทธ รัตนพจนารถ


********

ทะเลบ้า สึนามิ มติแห่งธรรมชาติ

ทะเลบ้าคนก็บ้าฟ้าบ้าด้วย
ทะเลสวยคนก็สวยช่วยฟ้าใส
ถ้าคนดีทะเลดีฟ้ามีใจ
รักกันไว้ คน น้ำ ฟ้า สัตว์ ป่า ดิน

ฉกฉวยมากสูญเสียมากฝากให้คิด
เมตตาจิตคิดจะให้กลับได้สิน
สินสมบัติของคนดีศรีแผ่นดิน
สินไม่สิ้นรินน้ำใจให้แก่กัน

สึนามิสื่อภัยดำสื่อธรรมชาติ
สึนามิอาละวาดมิคาดฝัน
สึนามิสื่อเตือนภัยให้เท่าทัน
ทะเล ฟ้า ป่า ดิน ฉัน นั้นหนึ่งเดียว

ทำลายน้ำทำลายป่าฆ่าผู้อื่น
หรือหยิบยื่นความทุกข์ใส่ให้คนเสียว
ความทุกข์นั้นผันหาเราเท่ากันเชียว
จึงอย่าเที่ยวทำร้ายเขาเพราะเขลาเลย

8 ม.ค. 2548

ปณิธาน ๓ ประการ ที่จะช่วยให้มนุษย์พ้นวิกฤต

โดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 8 มกราคม 2548

ในสมัยโบราณมนุษย์อยู่กันตามกระเปาะทางวัฒนธรรม (cultural pockets) ตามสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างหลากหลาย เรียกว่า มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม ความหลายหลายทางวัฒนธรรมเป็นธรรมชาติ เพราะวัฒนธรรมสัมพันธ์อยู่กับสิ่งแวดล้อมซึ่งแตกต่างกัน เช่น คนที่ขั้วโลก คนในทะเลทราย คนในเขตหนาว คนในเขตร้อน คนบนเขา คนริมทะเล ย่อมมีวิถีชีวิตที่แตกต่างกัน กลุ่มวัฒนธรรมใหญ่ๆ เรียกว่าอารยธรรม เช่น อารยธรรมเมโสโปเตเมีย อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ อารยธรรมลุ่มแม่น้ำฮวงโห เป็นต้น

เมื่อชาวยุโรปค้นพบวิทยาศาสตร์ แล้วนำวิทยาศาสตร์มาสร้างอาวุธที่มีอำนาจมาก เช่น เรือรบ ปืนใหญ่ ปืนกล ทำให้เกิดอำนาจมหาศาลอย่างที่มนุษย์ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ อารยธรรมใหญ่ๆ ที่มีอายุประมาณ ๕,๐๐๐ ปี อย่างอารยธรรมอินเดีย และอารยธรรมจีน ไม่สามารถต้านทานอำนาจการยิงอันมหึมาของชาวยุโรปได้ อำนาจอันรุนแรงของชาวยุโรปทำให้โลกมีโครงสร้างใหม่ แทนที่ความหลากหลายทางวัฒนธรรม โลกทั้งโลกถูกบังคับให้มีอารยธรรมเดียว จะเรียกว่าโลกาภิวัตน์หรืออะไรก็ตามที แต่แก่นแกนของมันคืออารยธรรมวัตถุนิยมบริโภคนิยม

อารยธรรมวัตถุนิยมบริโภคนิยมได้เข้าครอบงำโลก ทั้งในด้านโลกทัศน์และวิธีคิด การศึกษา โครงสร้างทางสังคมต่างๆ ในอารยธรรมนี้ได้เกิดขนาดเงินอันมโหฬารอย่างที่แต่ก่อนไม่มี และด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารสมัยใหม่ เงินจำนวนมหาศาลนี้วิ่งรอบโลกด้วยความเร็วของแสง เงินอันมหึมานี้ส่วนใหญ่ไม่ได้ทำหน้าที่ทางเศรษฐกิจ แต่ไปดูดเงินที่มีน้อยกว่าของส่วนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์และมีการจัดการไม่ดีเท่า เงินอันมหึมาได้เข้าทำลายคุณค่าต่างๆ เช่น ประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน วัฒนธรรม จิตวิญญาณ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

โลกที่เชื่อมโยงกันทั้งหมดก่อให้เกิดระบบซับซ้อน (complex system) ที่ขับเคลื่อนด้วยโลภจริตขนาดใหญ่ สภาพโกลาหล (chaos) และวิกฤตการณ์จึงเป็นปรากฏการณ์ถาวร

คนทั้งโลกถูกโครงสร้างโลกครอบงำ กดทับ บีบคั้น จึงเกิดความเครียด ความทุกข์ ความท้อแท้สิ้นหวัง เป็นโรคซึมเศร้า ฆ่าตัวตาย ติดยาเสพติด มีความรุนแรง ขาดอิสรภาพ ไม่สามารถใช้ศักยภาพที่ตนมีเพื่อสร้างสรรค์ได้อย่างที่ควรเป็น อารยธรรมวัตถุนิยมบริโภคนิยมกำลังพาโลกทั้งโลกไปสู่สภาวะวิกฤตอย่างยิ่ง

นักปราชญ์ตะวันตกได้มองเห็นวิกฤตการณ์ของอารยธรรมวัตถุนิยมบริโภคนิยมแล้วในขณะนี้ แต่นักปราชญ์ไทยท่านหนึ่งเห็นมาก่อนใคร ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๔๗ โน่นแล้วที่ใครๆ ยังมองไม่เห็น ท่านได้พยายามตะโกนบอกเพื่อนมนุษย์เป็นอเนกปริยายว่า "วิกฤตแล้วโว้ย" ๆ ท่านผู้นี้เป็นมหาบุรุษร่วมสมัยกับเรา คือท่านอาจารย์พุทธทาสมหาเถร แห่งสวนโมกขพลาราม ซึ่งมรณภาพไปเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๖ และจะครบ ๑ รอบศตวรรษแห่งชาตกาลในวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๔๙ นี้

ท่านอาจารย์พุทธทาสได้ฝากปณิธานไว้ ๓ ข้อ โดยความดังนี้

๑. ขอให้ศาสนิกของแต่ละศาสนาเข้าถึงหัวใจของหลักธรรมของศาสนาของตนๆ
๒. ขอให้มีความร่วมมือระหว่างศาสนา
๓. ขอให้มนุษย์ถอนตัวออกจากวัตถุนิยม


ในช่วงที่โลกก็วิกฤต ไทยก็วิกฤตไปตามโลกด้วยอย่างไม่มีทางออก และเรากำลังจะเข้าสู่ ๑ ศตวรรษแห่งชาตกาลของท่านมหาเถระ คนไทยน่าจะพากันศึกษาปณิธานทั้ง ๓ ประการกันอย่างจริงจัง อันจะทำให้พบทางออกจากวิกฤต

การคิดภายใต้ความครอบงำของสภาพที่ดำรงอยู่ไม่ทำให้พ้นวิกฤตได้ แต่มนุษย์สามารถหลุดจากมายาคติทั้งปวงไปสู่อิสรภาพและประสบความจริง ความงาม ความถูกต้องได้โดยการเข้าถึงศาสนธรรม

ปณิธาน ๓ ประการของอาจารย์พุทธทาสมหาเถระ อาจถอดออกเป็นการปฏิบัติและการสนับสนุนกรปฏิบัติได้ ๔ ประการ ดังนี้

๑. ทุกคนควรพยายามศึกษาศาสนธรรมของศาสนาที่ตนนับถือให้มากเป็นกิจวัตร จะทำให้พบอิสรภาพ ปัญญา และสันติ

๒. สำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติควรส่งเสริมการเจริญสติเป็นวิถีชีวิต โดยส่งเสริมให้มีสำนักสอนวิปัสสนากัมมัฏฐานที่ดีให้เป็นที่นิยมแพร่หลาย กับส่งเสริมให้ระบบการศึกษาทุกระดับมีหลักสูตรพัฒนาจิตภาคปฏิบัติ

๓. มหาวิทยาลัยทุกแห่งควรมีศูนย์วิจัยและพัฒนาจิตที่จะให้นิสิตนักศึกษามีการพัฒนาจิตด้วยวิธีที่แตกต่างหลากหลายอันถูกจริตของแต่ละบุคคล มหาวิทยาลัยต่างๆ ควรจะเป็นเจ้าภาพจัดให้มีการสานเสวนา
(dialogue) ระหว่างศาสนาต่างๆ และมีการเผยแพร่การเสวนานั้นให้แพร่หลาย

๔. กรมการศาสนาควรจะทำยุทธศาสตร์ส่งเสริมข้อ ๑-๓ ข้างต้น รวมทั้งให้มีการสานเสวนาระหว่างศาสนาทางวิทยุและโทรทัศน์เป็นประจำ

มนุษย์สามารถประสบความสุขและอิสรภาพจากการเข้าถึงธรรม ซึ่งเป็นความสุขอันประณีต ก็จะค่อยๆ ถอนตัวออกจากวัตถุนิยม การเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานทางจิตใจ (mental transformation) จะไปก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างทางสังคมและพฤติกรรม อันจักเป็นไปเพื่อความสุขและศานติ

1 ม.ค. 2548

ปีใหม่ขอให้จิตใหญ่กว่าเดิม

โดย พระไพศาล วิสาโล
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 1 มกราคม 2548

มิตรผู้หนึ่งได้เล่าว่า ระหว่างที่เธอไปอภิปรายที่สถาบันทางวัฒนธรรมแห่งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ มีผู้ฟังตั้งคำถามขึ้นมาว่า “ขณะนี้กำลังมีการโหมโฆษณาหนังสือเล่มหนึ่งเพื่อเผยแผ่ศาสนาคริสต์ คนของเรากำลังถูกดึงเข้ารีตมากขึ้นเรื่อยๆ เราควรจะทำอย่างไรดี ?” มิตรผู้นี้ไม่ได้ตอบตรงๆ แต่ถามกลับไปว่า “เรา” นั้นหมายถึงใคร หมายถึงเฉพาะชาวพุทธเท่านั้นหรือ แล้วชาวคริสต์ ชาวมุสลิม หรือคนศาสนาอื่น ไม่ถือว่าเป็น “เรา” ด้วยหรือ ?

เธอยังเล่าอีกว่า ตอนที่มีการปะทะกันอย่างหนักที่สามจังหวัดภาคใต้เมื่อวันที่ ๒๘ เมษายนนั้น เธอกำลังจัดอบรมเจ้าหน้าที่สาธารณสุขอยู่ มีเจ้าหน้าที่ผู้หนึ่งมารายงานข่าวการล้อมปราบที่มัสยิดกรือเซะว่า “ตอนนี้พวกเราตายไปแล้ว ๒ คน ส่วนพวกนั้นตายไปหลายคนแล้ว” เธอได้ยินเช่นนั้นจึงตอบไปว่า “ทั้งหมดที่ตายไปก็ “พวกเรา” ทั้งนั้นแหละ”

ใช่หรือไม่ว่า คนที่ตายในเหตุการณ์ ๒๘ เมษา รวมทั้งที่อำเภอตากใบ ๖ เดือนหลังจากนั้นก็ล้วนเป็นคนไทยเหมือนกัน ไม่ว่าเขาจะมีอุดมการณ์อะไร สวมเครื่องแบบหรือไม่ ก็ล้วนเป็นเพื่อนร่วมแผ่นดินเดียวกับเรา ความตายไม่ใช่เป็นแค่ความสูญเสียของญาติพี่น้อง หากยังเป็นบาดแผลของชาติไทยที่อาจต้องใช้เวลาหลายทศวรรษกว่าจะสมานได้

แม้นับถือศาสนาต่างกัน จะศรัทธาในหนังสือ “พลังแห่งชีวิต” หรือไม่ ก็เป็น “พวกเรา” ได้มิใช่หรือ เพราะเรายังมีอะไรเหมือนกันอีกมากมาย เช่น เป็นไทยเหมือนกัน ปรารถนาจะอยู่และตายบนผืนแผ่นดินนี้เช่นเดียวกัน รักสุข เกลียดทุกข์เหมือนกัน

มนุษย์เราทุกคนมีความเหมือนมากกว่าความต่าง ทุกคนล้วนมีพ่อแม่ มีคนรัก มีความใฝ่ฝัน และมีอะไรต่างๆ อีกมากมายที่เหมือนกัน แต่แทนที่จะมองเห็นความเหมือน ผู้คนส่วนใหญ่กลับไปจดจ่อใส่ใจกับความแตกต่างที่เป็นคุณสมบัติส่วนน้อย เช่น สีผิว เชื้อชาติ ศาสนา ภาษา ความเชื่อ ภูมิลำเนา แล้วเอาความแตกต่างเพียงเล็กน้อยนั้นมาเป็นเครื่องแบ่งเขาแบ่งเรา จนถึงขั้นเป็นศัตรูกัน

การจดจ่อใส่ใจกับความแตกต่างนั้นทำให้โลกของเราหดแคบลงเรื่อยๆ เพราะถูกแบ่งซอยเป็นลำดับ จากเดิมที่เป็นคนไทยเหมือนกันก็แบ่งเป็นชาวคริสต์ ชาวมุสลิมและชาวพุทธ ส่วนชาวพุทธก็แบ่งเป็นคนเหนือคนกรุงเทพ ฯ จากคนกรุงเทพฯก็แบ่งต่อไปเป็นพวกรักกับพวกรู้ทันทักษิณ จากพวกรักทักษิณก็แบ่งเป็นพวกนักธุรกิจกับพวกข้าราชการ ขณะที่ข้าราชการก็แบ่งเป็นพวกกระทรวงนั้นกระทรวงนี้ แล้วก็แบ่งเป็นพวกกองนั้นกองนี้ สุดท้ายก็แบ่งเป็นตัวใครตัวมัน มีแต่ “ฉัน” เท่านั้นที่สำคัญ ที่เหลือเป็น “คนอื่น” หมดแม้เป็นคนในครอบครัวเดียวกันก็ตาม

จิตที่นึกถึงแต่ “ฉัน” เป็นจิตที่เล็กและคับแคบอย่างยิ่ง และเป็นจิตที่ทุกข์ง่ายเพราะรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้าง และไม่มั่นคงปลอดภัย เนื่องจากเห็นคนอื่นเป็นศัตรูหรือคู่แข่งที่จะมาแย่งชิงผลประโยชน์ของตน จิตเช่นนี้ย่อมง่ายที่จะเบียดเบียนหรือเอาเปรียบผู้อื่นเพื่อประโยชน์ส่วนตนสถานเดียว สังคมที่เต็มไปด้วยผู้คนที่มีจิตเล็กและคับแคบเช่นนี้ย่อมหาความสงบได้ยาก

มนุษย์นั้นมีสัญชาตญาณที่ชอบแบ่งเขาแบ่งเราโดยไม่รู้ตัว ถ้าไม่เอาเผ่าพันธุ์มาเป็นเส้นแบ่ง ก็เอาเชื้อชาติ สีผิว ศาสนา หรือภาษา มาแบ่งแทน หรือไม่ก็เอาความคิดความเชื่อ รสนิยม ฐานะทางเศรษฐกิจ หรือการศึกษามาเป็นเครื่องแบ่งเขาแบ่งเรา ทั้งหมดนี้ก็เพราะมีความยึดมั่นถือมั่นใน “ตัวกู ของกู” เป็นแรงขับสำคัญ “ตัวกูของกู” นั้นทำให้เราเอาตนเองเป็นตัวตั้ง อะไรที่แตกต่างไปจากตนก็ผลักออกไปให้เป็น “พวกมัน” และยิ่งผลักออกไปมากเท่าไหร่ ในที่สุดก็มีแต่ตัวเองเท่านั้นที่หลงเหลืออยู่

ตราบใดที่ยังปล่อยให้ความสำคัญมั่นหมายใน “ตัวกู ของกู” มีอิทธิพลสำคัญในชีวิต ก็ย่อมหนีไม่พ้นความทุกข์ ความไม่มั่นคงปลอดภัย และการเบียดเบียนทำร้ายกัน แม้ว่าเป็นการยากที่จะทำลายความสำคัญมั่นหมายดังกล่าว แต่เราสามารถควบคุมหรือกำกับมันให้เป็นโทษน้อยลงได้ เช่น ขยายขอบเขตของ “ตัวกู ของกู” ให้กว้างขวางขึ้น ครอบคลุมถึงคนอื่นๆ ให้มากเท่าที่สุดเท่าที่จะมากได้ โดยไม่เอาความแตกต่างทางเชื้อชาติ ศาสนา ภาษา สีผิว ฯลฯ มาเป็นเครื่องกีดกั้น เพราะถึงที่สุดแล้วเราทุกคนมีความเหมือนมากกว่าความต่าง อีกทั้งความต่างก็มีคุณประโยชน์ไม่ใช่น้อย เสน่ห์ของสวนคือดอกไม้นานาพรรณมิใช่หรือ ใช่หรือไม่ว่าเครื่องปรุงที่หลากหลายย่อมเพิ่มรสชาติให้อาหารน่าลิ้มลอง

หากเราสามารถมองเห็นคนทั้งโลกว่าเป็น “พวกเรา” อาทิเช่น เห็นเป็นเพื่อนร่วมโลก เป็นเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ หรือพี่น้องร่วมบรรพบุรุษเดียวกัน จิตใจของเราจะใหญ่ขึ้น มีเมตตากรุณามากขึ้น และรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยยิ่งกว่าเดิม

หากยังไม่สามารถมองเห็นคนทั้งโลกว่าเป็นพวกเราได้ อย่างน้อยก็ควรมองคนทั้งหลายว่าไม่มีอะไรต่างจากเราเลย ล้วนมีความต้องการเช่นเดียวกับเรา รักสุขเกลียดทุกข์เช่นเดียวกับเรา มีดีมีชั่วไม่ต่างจากเรา การมองเช่นนี้จะช่วยให้เราเห็นอกเห็นใจเขามากขึ้น และคลายความเป็นปฏิปักษ์ลง ในข้อนี้ท่านพุทธทาสภิกขุได้ให้คำแนะนำที่มีประโยชน์อย่างยิ่งว่า จงทำกับเพื่อนมนุษย์ทั้งหลายโดยมองว่า

“เขาเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายของเรา

เขาเป็นเพื่อนเวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสารด้วยกันกับเรา.....

เขามีราคะ โทสะ โมหะไม่น้อยไปกว่าเรา

เขาย่อมพลั้งเผลอบางคราวเหมือนเรา.....

เขาก็มักจะกอบโกยและเอาเปรียบเมื่อมีโอกาสเหมือนเรา...

เขามีสิทธิที่จะได้รับอภัยจากเราตามควรแก่กรณี....

เขามีสิทธิที่จะเห็นแก่ตัวก่อนเห็นแก่ผู้อื่น

เขามีสิทธิแห่งมนุษยชนเท่ากันกับเรา สำหรับจะอยู่ในโลก....”

ในยามที่ไฟสงครามกำลังก่อตัวขึ้น สิ่งที่สังคมไทยกำลังต้องการเป็นอย่างยิ่งได้แก่ จิตที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม มีที่ว่างสำหรับคนทุกเชื้อชาติศาสนาและอุดมการณ์ โดยไม่แบ่งเขาแบ่งเรา เห็นทุกคนไม่ต่างจากตน อีกทั้งรวมเอาทุกผู้คนไว้ในโอบกอดแห่งเมตตาและกรุณาอันไม่มีประมาณ ในท่ามกลางการทำร้ายฆ่าฟันกัน สิ่งที่สังคมไทยต้องการคือจิตที่พร้อมจะให้อภัย เพราะไม่ปรารถนาให้ความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับตนนั้นไปเกิดกับคนอื่นอีกต่อไป

แม่ของตำรวจผู้หนึ่งซึ่งถูกฆ่าในเหตุการณ์ ๒๘ เมษายน แม้จะเสียใจอย่างยิ่ง แต่แทนที่จะเรียกร้องการแก้แค้น เธอกลับกล่าวว่า “ฉันไม่อยากเห็นสิ่งอย่างนี้เกิดขึ้นอีกต่อไปไม่ว่ากับใครอีก เราควรจะหยุดฆ่ากันได้แล้ว เป็นความสูญเสียสำหรับทุกฝ่าย ฉันก็เสียลูกชายเหมือนแม่คนอื่นๆ อีกหลายคน”

เป็นเพราะนึกถึงผู้อื่น เธอจึงอยากให้ความสูญเสียดังกล่าวเกิดกับตนเป็นคนสุดท้าย นี้คือรูปธรรมของจิตใหญ่ที่สังคมไทยกำลังต้องการ

ปีใหม่นี้มาร่วมกันสร้างสันติภาพให้แก่บ้านเมืองด้วยการทำจิตใจให้ใหญ่กว่าเดิมกันเถิด