หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ื 30 มิถุนายน 2550
“What gets us into trouble is not what we don’t know. It is what we know for sure that just ain’t so.” Mark Twain
ถึงชั่วโมงนี้ผมคิดว่าคนไทยจำนวนมากน่าจะได้รับรู้เรื่องราวที่นำเสนอในแผ่นดีวีดีที่โด่งดังมากแผ่นหนึ่งที่ชื่อว่า “An inconvenient truth: A Global Warning” ดีวีดีแผ่นนี้นำเสนอโดย อัล กอร์ อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในสมัย บิล คลินตัน และอดีตผู้ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาที่แพ้การเลือกตั้งให้กับ จอร์จ บุช ไปแบบเฉียดฉิวเพียงไม่กี่คะแนน
อัล กอร์ อ้างถึงคำพูดข้างต้นนี้ของ มาร์ค ทเวน ในดีวีดีแผ่นนี้ ซึ่งเป็นเรื่องราวที่นำเสนอให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การที่มนุษย์ไม่สนใจจะรักษาสภาพแวดล้อมนั้นส่งผลให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ได้ก่อให้เกิดมหันตภัยต่างๆ ที่กำลังจะส่งผลกลับมาสู่มนุษย์เอง
ด้วยสาเหตุอะไรก็ตามแต่ การใช้พลังงานอย่างไม่บันยะบันยังของมนุษย์ทั้งโลกได้ก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่มีปริมาณสูงขึ้นมากอย่างผิดปกติในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมานี้
ปริมาณที่สูงขึ้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์นั้นได้ก่อให้เกิด “ภาวะเรือนกระจก” ที่ทำให้โลกทั้งใบไม่สามารถระบายความร้อนที่แผ่รังสีมาจากดวงอาทิตย์ได้ดีมากพอ ความร้อนเหล่านี้กำลังทำให้ภูเขาน้ำแข็งที่ขั้วโลกละลาย ซึ่งในดีวีดีชุดนี้ได้ถ่ายภาพให้เห็นสภาพของภูเขาน้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือ ถ่ายเปรียบเทียบปัจจุบันกับเมื่อไม่กี่สิบปีก่อน ทีละจุดๆ ทำให้เราเห็นความจริงที่ชัดเจนมากว่าโลกกำลังร้อนมากขึ้นจริงๆ
ถึงตรงนี้หลายๆ ท่านอาจจะสงสัยว่ากะอีแค่น้ำแข็งขั้วโลกละลาย แล้วมันจะเกี่ยวข้องอะไรกับตัวฉันเล่า เกี่ยวข้องอะไรกับตัวเราที่กำลังต้องทำมาหากินไปวันๆ มันอยู่ตั้งไกลที่ขั้วโลกเหนือเชียวนะ
ความร้อนจากดวงอาทิตย์ที่ไม่สามารถระบายกลับออกไปสู่ชั้นบรรยากาศได้เพราะ “ภาวะเรือนกระจก” จากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์นั้น ไม่ได้ทำให้ภูเขาน้ำแข็งที่ขั้วโลกละลายแต่เพียงอย่างเดียว มันยังส่งผลต่อระบบการไหลเวียนของอากาศและกระแสน้ำในมหาสมุทรอีกด้วย
ผลต่อการไหลเวียนของระบบอากาศและกระแสน้ำทำให้เกิด “ความรุนแรง” ของพายุต่างๆ ที่มีมากขึ้นกว่าเดิม เช่น พายุแคทริน่าที่พัดทำลายรัฐทางใต้ของสหรัฐอเมริกาเมื่อปีก่อนนั้น เป็นตัวอย่างที่ดีว่าเกิดจากสาเหตุนี้ รวมไปถึงภัยทางธรรมชาติต่างๆ ที่เราคนไทยเองก็ต้องประสบอย่างที่ไม่เคยประสบมาก่อนในประวัติศาสตร์ เช่น ภัยจากสึนามิ ภาวะน้ำท่วม และอื่นๆ
แบบนี้คงเริ่มใกล้ตัวแล้วกระมัง
ผมเขียนบทความชิ้นนี้คงไม่ได้มีวัตถุประสงค์ที่จะพูดเรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นประเด็นหลักนะครับ บอกกันตรงๆ ว่าผมเบื่อที่จะพูดจะเขียนเรื่องแบบนี้แล้ว เพราะสิ่งที่พวกเราในกลุ่มจิตวิวัฒน์และโดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านอาจารย์หมอประสาน ต่างใจ ได้พูดเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่องก่อนหน้านี้เป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว ท่านพูดเรื่องนี้ก่อนเวลา พูดเหมือนที่ อัล กอร์ พูดไว้บันทึกไว้ในดีวีดีแผ่นนี้เด๊ะๆ เลย แต่ผู้คนกลับกล่าวหาว่าท่านเพี้ยน ท่านไม่เต็ม อย่างไรก็ตาม เขียนตรงนี้ไม่มีเจตนาที่จะบ่นหรือจะตำหนิอะไรใครเลยนะครับ
กลับมาเรื่องดีวีดีแผ่นนี้ดีกว่า ดีวีดีแผ่นนี้ทำให้ผมรู้สึกกระชุ่มกระชวยและมีพลัง
ดีวีดีแผ่นนี้ยังทำให้ผมได้เรียนรู้ ได้คำตอบอะไรหลายอย่าง (ที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องสิ่งแวดล้อม)
ประเด็นของผมก็คือ ผมดีใจมากที่ขณะนี้ตอนนี้ อัล กอร์ ไม่ได้ถูกมองว่าเพี้ยน (หรืออาจจะ?) ผมพบว่าเรื่องราวที่เขานำเสนอในดีวีดีชุดนี้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะจากสื่อกระแสหลักที่ได้เขียนข่าวเรื่องนี้ เผยแพร่ภาพจากดีวีดีชุดนี้ให้ประชาชนได้รับทราบข้อมูลอย่างกว้างขวาง สำหรับผมแล้ว อัล กอร์ ทำให้คนหลายๆ คนหายเพี้ยน เพราะสิ่งที่ อัล กอร์ ศึกษารวบรวม และถ่ายทำหลักฐานต่างๆ ไว้ในดีวีดีแผ่นนี้ ได้ทำให้เห็นปรากฏการณ์ต่างๆ อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งด้วยประการทั้งปวง
ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐปี ๒๕๔๓ นั้น พวกเรา “ลุ้น” อัล กอร์ ให้เขาชนะเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ เพราะเราเชื่อว่าเขามีนโยบายที่ดีกว่าในเรื่องของสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะมีผลต่อการลงสัตยาบันเรื่องการลดการก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในสิ่งแวดล้อม
เมื่อเขาไม่ได้รับเลือกตั้ง พวกเรารู้สึกหมดหวังกับเรื่องนี้ ความหดหู่ทำให้เรารู้สึกว่า หรือว่าโลกใบนี้ไม่ต้องการให้มีมนุษย์อีกต่อไปแล้ว ดีวีดีแผ่นนี้ทำให้ผม “เพิ่งอ๋อ” ว่าแท้ที่จริง “ยังมีความหวัง”
ผมเพิ่งเรียนรู้และได้รับรู้ว่า “ดีวีดีแผ่นนี้” คือคำตอบในข้อนี้ของผม เพราะสำหรับผมแล้ว อัล กอร์ ทำดีวีดีแผ่นนี้ออกมาได้แบบนี้ เป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมมากกว่าการที่เขาได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเสียอีก เขาประสบความสำเร็จอย่างมากในการให้คนทั่วโลกได้รับรู้ถึงมหันตภัยที่กำลังเลวร้าย ผมได้เรียนรู้แล้วว่า แท้ที่จริงแล้ว โลกต้องการให้ อัล กอร์ ทำดีวีดีแผ่นนี้ออกมามากกว่าให้เขาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ และในที่สุดแล้วถ้าจะมองในแง่ของอำนาจ เขากำลังมีอำนาจเหนือกว่าประธานาธิบดีสหรัฐเสียอีก ได้ข่าวล่าสุดว่า จอร์จ บุช มีท่าทีที่เปลี่ยนแปลงไปในเรื่องภาวะโลกร้อนและสนธิสัญญาเกียวโต
ผมเองต่างหากที่ “ด่วนตัดสิน” เรื่องราวไปเองว่าเลวร้าย
และที่น่าสนใจมากที่สุดอีกประการหนึ่งของดีวีดีชุดนี้ก็คือ อัล กอร์ ได้เสนอภาพที่เลวร้ายที่สุดที่กำลังจะปรากฏขึ้นกับมนุษยชาติอย่างจริงจัง แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ไม่ได้เรียกร้องอะไรมากมายจากผู้คน ไม่ได้ต้องการให้ผู้คนต้องหันมาช่วยกันรักษาสภาพแวดล้อมแบบอุดมคติ แบบไกลตัว แบบดัดจริตที่บางครั้งทำให้หลายคนอาจจะคลื่นไส้ เขาเพียงขอให้มนุษย์แต่ละคนตระหนักถึงเรื่องนี้และ “ทำสิ่งเล็กๆ” “ง่ายๆ” เท่านั้น
เขาเพียงขอประมาณว่าให้เราทุกคนลองนึกถึงภาพภูเขาน้ำแข็งที่กำลังละลาย ในขณะที่เรากำลังก้าวเท้าเหยียบขึ้นไปบนรถยนต์ของเรา
เขาเพียงขอประมาณว่าให้เราทุกคนนึกถึงภาพพายุแคทรีน่าที่พัดเอาเมืองนิวออร์ลีนส์ทั้งเมืองให้จมอยู่ใต้น้ำ ในขณะที่เรากำลังเปิดไฟสักดวงในบ้านหรือในที่ทำงานของเรา หรือเขาเพียงขอประมาณว่าให้เราชื่นชมขอบคุณกับต้นไม้สักต้นในบ้านของเรา
ประเด็นหลังนี้สำคัญมากที่สุดครับ ประเด็นนี้เป็นแนวคิดแบบวิทยาศาสตร์กระบวนทัศน์ใหม่เลย แบบที่เชื่อว่า การทำสิ่งเล็กๆ ก็สามารถช่วยโลกได้ ไม่ต้องพยายามไปคิดทำการใหญ่แบบอุดมคติแบบที่เราทำไม่ได้ แล้วก็เลยทำให้เราไม่ได้ทำอะไรกันเสียที
อาจารย์หมอประสานเคยบอกผมไว้ว่า “โลกมีไว้ให้เราเหยียบนะ ไม่ได้มีไว้ให้เราต้องแบก” และที่สำคัญอย่างยิ่งก็คือ เราควรจะเหยียบโลกใบนี้อย่างกรุณาและมีสติเสมอ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น