
โดย ศ.นพ.ประสาน ต่างใจ
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 28 มิถุนายน 2551
การคิดของมนุษย์เรานั้น เกี่ยวพันกับพื้นฐานของความรู้ที่ผู้คิดมีอยู่ในขณะนั้นหรือขณะใด และที่สำคัญยังขึ้นกับวิธีคิดวิธีวิเคราะห์ซึ่งขึ้นกับความใจกว้าง ความเป็นกลาง และประสบการณ์ของผู้นั้นอีกทีหนึ่ง เพราะฉะนั้น ผลของการคิดหรือความคิดของมนุษย์เราจึงแตกต่างกัน โดยเฉพาะหากเป็นความคิดของคนที่เป็นผู้นำทางสังคม การเมือง และเศรษฐกิจ จนบางทีทำให้ประชาชนคนทั่วไปที่ไม่ได้มีโอกาสสัมผัสกับข้อมูลทั้งหลายทั้งปวงสับสนและไม่รู้ว่าจะเชื่อใครดี คนที่ได้รับความนิยม คนที่มีชื่อเสียง หรือคนที่ทำงานเฉพาะด้านนั้นๆ มานาน หรือเรียนจบมหาวิทยาลัยมาทางด้านนั้น ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับสติปัญญาความฉลาด (Intelligence) แต่อย่างใด จึงมักได้เปรียบ เพราะทำให้สาธารณชนเชื่อว่า สิ่งที่คนเหล่านั้นพูดหรือเขียนหรือโฆษณานั้นคงจะเป็นข้อเท็จจริง เราถึงได้มีความแตกต่างกระทั่งแตกแยกกัน หรือแบ่งกันเป็นฝักเป็นฝ่าย เป็นพรรคเป็นพวก ดีไม่ดีถึงกับยกพวกมาตีกัน อย่างที่เกิดขึ้นในประเทศต่างๆ รวมทั้งบ้านเราในขณะนี้
ฉะนั้น การคิดไม่ว่าของใครจึงต้องรอบคอบรอบด้าน ครอบคลุมทั้งกายและจิต การยกความสามัคคีมาอ้างนั้น หากคิดไม่รอบด้านจริงๆ จะไม่เกิดประโยชน์หรือมีประสิทธิภาพเท่าที่ควร เนื่องจากคนทั่วไปที่กำลังสับสนและไร้ข้อมูล มักจะคิดถึงแต่ผลประโยชน์เฉพาะหน้า ไม่ว่าจะเป็นประโยชน์ส่วนตนหรือประโยชน์ส่วนรวมมาเป็นบรรทัดฐาน ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาของสัตว์โลกรวมทั้งมนุษย์ที่อยู่ในสังสารวัฏ
ทอมัส กิเออรีน กับ แอนนี ฟิกเกิร์ต (Thomas Gieryn and Anne Figert: Irregularities for Science in Society, 1990) กล่าวว่า ประชาชนคนทั่วไปมักจะเชื่อถือนักวิทยาศาสตร์ไว้ก่อนในเรื่องข้อมูลทางวิชาการ เพราะตัวเองไม่รู้และคิดว่านักวิทยาศาสตร์ต้องรู้ แต่ทว่าวิทยาศาสตร์ที่นักวิทยาศาสตร์รู้นั้น ก็เป็นเฉพาะเรื่องของธรรมชาติทางด้านกายภาพเพียงอย่างเดียว และบ่อยครั้งที่วิทยาศาสตร์อธิบายธรรมชาติอย่างกำกวม ยืดหยุ่น และโดยประวัติศาสตร์มักจะเปลี่ยนแปลงไปเสมอๆ - โดยนักวิทยาศาสตร์จะโต้เถียงกันเอง - ความจริงทางวิทยาศาสตร์กายภาพจึงไม่แน่ว่าจะถูกเพียงอย่างเดียว (science is no a single thing) ดังนั้น การพูดถึงความจริงทางวิทยาศาสตร์จะต้องมีขอบเขตโดยคำนึงถึงบทบาทของสังคมวัฒนธรรมที่ประชาชนสนใจในขณะนั้นๆ ร่วมไปด้วย ไม่ใช่ไปสรุปว่า อะไรๆ ที่ไม่ใช่วิทยาศาสตร์เป็นองค์ความรู้จอมปลอมทั้งหมด (pseudoscience or pseudoknowledge) หรือผิดทั้งหมด ทางที่ดีนักวิทยาศาสตร์ต้องคำนึงถึง “ขอบเขต” ความแตกต่างของมโนทัศน์ (concept or perspective) ของประชากรในชุมชนบนฐานของวัฒนธรรมในเวลานั้นๆ พร้อมกันไปด้วย
ผู้เขียนเห็นด้วยครึ่งหนึ่งและไม่เห็นด้วยครึ่งหนึ่งกับที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น ที่เห็นด้วยเพราะเข้าใจว่า ประชาชนทั่วไปและแม้ทางการเองก็เชื่อถือในวิทยาศาสตร์จริงๆ ในแง่วิชาการ เพราะไปเอาเทคโนโลยีมาปนเปเข้ากับวิทยาศาสตร์ ซึ่งเทคโนโลยีไม่ว่าจะเป็นเครื่องซักผ้า ตู้เย็น พัดลม หรือโทรทัศน์ สาธารณชนที่เอามาใช้จะเห็นได้อย่างเด่นชัด ได้ประโยชน์จริงๆ และมีประสิทธิภาพจริงๆ ด้วย อย่างน้อยเท่าที่ประสาทสัมผัสภายนอกบอกให้เรารู้ เพราะมันให้ความสุขสะดวกสบายกับเราจริง ส่วนจะจริงแท้หรือหยาบและตื้นเขินแค่ไหนเราไม่สนใจ ตราบเท่าที่มันให้ความสุขที่เราต้องการ และที่เรารู้นั้น ก็เป็นการรู้สำหรับมนุษย์แต่เพียงเผ่าพันธุ์เดียว หมาย่อมไม่สนใจโทรทัศน์และไม่รู้จักรถยนต์ว่าแข็งและแรงมากกว่า มันถึงได้ถูกชนจนพิการบ่อยๆ ดังนั้น ขอบเขตของมโนทัศน์ต่อความเข้าใจว่าเป็นความจริงของประชาชนในเรื่องวิทยาศาสตร์หรือเทคโนโลยีจึงกลายเป็นความเคยชิน กลายเป็นวัฒนธรรมไปด้วย
ส่วนที่ไม่เห็นด้วยก็คือ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีล้วนเป็นการทำเทียมหรือจำลองโลกธรรมชาติในด้านของกายภาพเพียงด้านเดียว จึงเป็นความจริงเฉพาะทางกายภาพ ไม่จริงทั้งหมด เพราะไม่ได้รวมจิตหรือแม้แต่นามเอาไว้ มันจึงเป็นความจริงเพียงครึ่งเดียวที่หยาบและผิวเผินเท่านั้น แม้วิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่หรือแควนตัมเมคานิกส์เอง ก็เป็นประสบการณ์ของบุคคลที่สามซึ่งเป็นเรื่องทางกายภาพ แต่เนื่องจากเป็นวิทยาศาสตร์ที่ละเอียดที่เราไม่เคยรู้ไม่เคยคิดมาก่อน คือเล็กละเอียดจนห่างจากความเป็น “กาย” แทบจะโดยสิ้นเชิง มันจึงทำงานคล้อยๆ ไปทางจิต คือให้ความจริงยิ่งกว่าเก่า และแทบจะตรงกันข้ามกับวิทยาศาสตร์เก่า เหมือนกับความแตกต่างของหน้ามือกับหลังมือ คือคล้ายกับจิตซึ่งมีความละเอียดที่สุด จนไม่สามารถรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสภายนอกทั้ง ๕ ได้ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าแควนตัมสตัฟ (quantum stuff) จะเป็นกายที่ละเอียดมากๆ จนมีการทำงานคล้อยไปทางจิต แต่มันก็ไม่ใช่จิตซึ่งเป็นประสบการณ์ของบุคคลที่หนึ่ง รับรู้ด้วยจิตที่สงบนิ่งระหว่างสมาธิเท่านั้น คนทั่วไป - นอกจากผู้ที่ศรัทธา - จึงมักคิดว่าจิตเป็นเรื่องของไสยศาสตร์ เป็นความงมงาย
ที่พูดมาทั้งหมดนั้น ผู้เขียนต้องการชี้ให้เห็นการคิดที่แตกต่างกัน ระหว่างนักวิทยาศาสตร์กายภาพ - ที่มองโลกและจักรวาลว่าเป็นเพียงรูปกายที่เกิดมาจากความบังเอิญ - กับผู้เขียน - ที่มองโลกและจักรวาลว่ามีชีวิตหรืออย่างน้อยเป็นองค์กรชีวิตที่บริหารและควบคุมสิ่งมีชีวิต รวมทั้งมนุษย์ให้ดำเนินไปตามแผนหรือรูปแบบพิมพ์เขียวของจักรวาล - ดังนั้น การมองเรื่องทั้งหลาย รวมทั้งเรื่องของชีวิตโดยเฉพาะมนุษย์แต่ละคนหรือโดยรวม (collectively) แทนที่จะเป็นเรื่องของความบังเอิญ หรืออุบัติเหตุ หรือแม้แต่การจัดองค์กรให้กับตนเองซึ่งเป็นเรื่องของกายภาพ หรือเป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์แห่งความซับซ้อน (science of complexity) แต่เพียงอย่างเดียว โดยอธิบายว่าที่เหลือเป็นเรื่องของความบังเอิญนั้น ผู้เขียนกลับเชื่อว่ามีกฎแห่งกรรมเข้ามามีส่วนที่อาจจะสำคัญกว่าการจัดองค์กรให้กับตัวเองอีกกฎหนึ่ง นั่นเป็นความจริงที่ทางพุทธศาสนาและศาสนาอื่นๆ ที่อุบัติขึ้นจากอินเดียยอมรับกัน มีทั้งตรรกะเหตุผลและอนุมานที่นักคิดนักปราชญ์ต่างเห็นด้วยกันอย่างเป็นเอกฉันท์มาตั้งหลายพันปีแม้กระทั่งปัจจุบันนี้ เนื่องจากกรรมเป็นเรื่องของการกระทำในอดีตที่นานมาแล้วจนจำไม่ได้ (very long term memory) อาจจะนานข้ามภพข้ามชาติ จึงเป็นเรื่องของจิตที่มองไม่เห็นและพิสูจน์ให้เป็นวิทยาศาสตร์กายภาพไม่ได้ ทั้งๆ ที่การกระทำใดๆ ไม่ว่าในอดีตกาลนานสักเท่าไหร่ ล้วนเป็นไปตามแรงที่กระทำนั้นๆ (action-reaction) เป็นไปตามกฎแห่งการเคลื่อนที่ข้อที่สามของนิวตัน อันสอดคล้องกันกับที่พุทธศาสนาว่าไว้ว่า กรรมเป็นปฏิกิริยาที่ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ เพราะจิตไม่ได้ตายไปกับกาย โลกก็เช่นนั้น ประชาโลกไม่ว่าปัจเจกหรือโดยรวมก็เช่นนั้น ซึ่งการคิดบนตรรกะและเหตุผลเช่นนั้น ในความคิดของผู้เขียนน่าจะดีกว่าที่จะใช้คำว่าบังเอิญหรือขี้เกียจคิดมากนัก
ใครจะคิดอย่างไรก็ช่าง ที่แน่ๆ คือ โลกกำลังจะพังเพราะภาวะโลกร้อน เรื่องของโลกร้อนนี้ ผู้เขียนต้องขออภัยท่านผู้อ่านที่ต้องเขียนต้องพูดซ้ำๆ ไม่ใช่เพียงแต่มันเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดสำหรับการอยู่รอดของมนุษย์เราเท่านั้น แต่ยังเป็นหลักฐานว่าจิตจักรวาล คือสิ่งที่อยู่เบื้องหลังของจักรวาลกายภาพหรือจักรวาลแห่งปรากฏการณ์ อันเป็นที่มาของวิทยาศาสตร์ที่ไม่สมบูรณ์ แต่เราคิดว่ามันสมบูรณ์แล้ว เป็นความผิดพลาดของมนุษย์อีกครั้งหนึ่งก่อนที่มนุษย์จะมีวิวัฒนาการทางจิตต่อๆ ไป ทั้งนี้เพราะผู้เขียนเชื่ออย่างมีหลักฐานและเหตุผลว่า วิวัฒนาการทางจิตจะต้องเป็นไปจนถึงที่สุดหรือถึงวิมุตตินิพพานเท่านั้น - นั่นคือเป้าหมายสุดท้ายของจักรวาล - ส่วนภาวะโลกพังกับมหันตภัยต่างๆ ที่ก่อความทุกข์ทรมานทั้งในขณะนี้หรือที่จะรุนแรงกว่านี้เป็นร้อยเท่าพันเท่าในอนาคตนั้น คือ คาตาลิสต์ (catalyst - ตัวเร่งปฏิกิริยา) สุดสำคัญต่อวิวัฒนาการทางจิต - อันเป็นเป้าหมายสุดท้ายในงานเขียนของผู้เขียน - ซึ่งถ้าหากเราคิดทั้งเรื่องกายภาพพร้อมกับเรื่องของจิตและความทรงจำไปด้วยกัน ซึ่งไม่ค่อยมีคนคิด มันย่อมไม่มีทางคิดเป็นอื่น นอกจากเรื่องของ “กริยากับปฏิกิริยา” หรือกรรมกับวิบากกรรมเท่านั้น หรือจะพูดว่าเป็นเรื่องของฟ้าที่ลงโทษหรือให้รางวัลแก่มนุษย์และแผ่นดินก็ได้ ผู้เขียนจึงคิดว่าในโลกนี้จักรวาลนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามเหตุและผลของการกระทำทั้งนั้น ดังที่อริสโตเติลกล่าวไว้ในเรื่องของเหตุที่ก่อผล (causation) เพราะฉะนั้นเรื่องของโลกพัง (mass extinction) ที่เกิดเฉพาะกับโลกแห่งชีวิตทุกๆ ครั้งทั้ง ๕ ครั้ง – ตั้งแต่ครั้งแรกในยุคไซลูเรียน (Silurian) เป็นต้นมา - จึงเป็นประหนึ่งลิขิตของฟ้าหรือเป็นไปตามแม่แบบพิมพ์เขียวของจักรวาล และหากว่าโลกจะพังอีกครั้งหนึ่งในเร็วๆ นี้ จากสภาวะโลกร้อน ตามที่นักวิทยาศาสตร์แทบจะทุกคนว่าไว้ - เพียงต่างกันที่เมื่อไร - และหากเราคิดในประเด็นของจิตหรือกรรมไปพร้อมๆ กับวิทยาศาสตร์กายภาพด้วย มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่เราจะหลีกเลี่ยงสภาวะโลกพังจากโลกที่ร้อนจัดไปได้ ไม่ว่าเราจะหาทางป้องกันและแก้ไขอย่างไร เช่น ด้วยการหาพลังงานทดแทน รีไซเคิล ปลูกป่า หรืออย่างหนึ่งอย่างใดที่ผู้เขียนเอามาเขียน หรือต่อให้ประชากรทุกคนทั้งโลกพากันเปลี่ยนใจจากบริโภคนิยมและหันมาหาวิถีชีวิตแบบกรีนทั้งหมดในวันนี้พร้อมๆ กัน อย่างที่ อัล กอร์ คิดว่าอาจจะช่วยโลกได้ ผู้เขียนก็ยังคิดว่ามันคงไม่ทันการณ์เพราะสายเกินไป
เรารู้อย่างค่อนข้างแน่นอน พร้อมด้วยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์พอที่จะเชื่อได้ว่า สภาพโลกพังครั้งที่ ๕ ในสมัยเครตาเซียส (Cretaceous) เมื่อ ๖๕ ล้านปีก่อน มีสาเหตุจากอุกกาบาตขนาดใหญ่วิ่งมาชนโลกจนไดโนเสาร์สูญพันธุ์ไปทั้งหมด และนักวิทยาศาสตร์หลายคนยังเชื่อว่ามีหลักฐานที่ว่า แม้สภาพโลกพังครั้ง ๓ ในยุคเพอร์เมี่ยน (Permian) หรืออาจเป็นไปได้ว่าแม้สภาพโลกพังครั้งที่ ๔ ในยุคสมัยไตรอัสซิค (Triassic) ก็อาจจะเกิดจากอุกกาบาตวิ่งมาชนโลกเหมือนกัน ขณะที่นักวิทยาศาสตร์บางคนเชื่อว่า สาเหตุของโลกพังครั้งที่ ๖ ที่จะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ มาจากภาวะโลกร้อนอันเป็นฝีมือของมนุษย์ ดังที่ผู้เขียนเอามาเขียนก่อนหน้านี้ แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นการห้ามไม่ให้เกิดสภาพโลกพังจากอุกกาบาตวิ่งมาชนโลกอีกครั้ง นั่นอยู่ที่ว่ามนุษยชาติโดยรวม - ในเวลานั้น - ได้ก่อกรรมทำเข็ญไว้มากจนต้องสูญพันธุ์เหมือนกับไดโนเสาร์หรือไม่ คิดถึง อเมริกา ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย กับจีน ที่แม้โดยรวมจะนิยมวัตถุอย่างหนัก แต่ก็มีนักจิตนิยมหรือจิต-กายนิยมอยู่ไม่น้อยในประเทศเหล่านั้นและในที่อื่นๆ อีก มนุษยชาติจึงอาจจะไม่ถึงกับสูญพันธุ์ไปหมดก็ได้
สรุปจากย่อหน้าข้างบนบอกได้ว่า หากเราคิดบนกาย-จิตพร้อมกัน เรายังมีสิทธิเลือกได้ ระหว่างสูญพันธุ์ไปหมดด้วยอุกกาบาตขนาดใหญ่วิ่งมาชนโลก หรือเหลืออยู่บางส่วน - ราวร้อยละ ๒๐ ของประชากรโลกในเวลานั้นจากภาวะโลกร้อน - ดังที่ เจมส์ ลัฟล็อค ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์การ์เดียน มันจึงอยู่ที่การตื่นและเปลี่ยนแปลงของเราในวันนี้กับวันต่อไปว่าจะตื่นและเปลี่ยนแปลงทางจิตหรือไม่ หากว่าเราสามารถตื่นทางจิตได้ทัน เราอาจจะเหลือมากกว่าร้อยละ ๘๐ ก็ได้ กรรมทางกายนั้นเป็นผลของมโนทุจริตทั้งนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็หนีไม่ได้ นอกจากการตื่นทางจิตเท่านั้น


