โดย ชลนภา อนุกูล
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 31 ตุลาคม 2558
ในวันปฐมนิเทศผู้พิพากษาหนุ่มสาวรุ่นใหม่ ผู้พิพากษาที่เป็นวิทยากรแจกกระดาษให้คนละแผ่น บนกระดาษมีตารางแนวนอนหัวข้อว่าด้วยความสมบูรณ์ของร่างกาย เพศ เชื้อชาติ ที่อยู่อาศัย การศึกษา ฐานะทางเศรษฐกิจ ความเชื่อทางศาสนา จุดยืนทางการเมือง ฯลฯ และให้เลือกช่องคะแนน ๑ – ๑๐ ในแนวตั้งว่า แต่ละคนอยู่ตรงไหน? - แน่นอนล่ะว่าผู้พิพากษาใหม่เอี่ยมทั้ง ๖๐ คน ได้คะแนนค่อนไปทางสูงถึงสูงมาก
เมื่อวิทยากรถามว่า มีใครที่ได้คะแนนในบางข้อต่ำกว่า ๕ บ้าง ก็มีคนยกมือหลายคน คนหนึ่งในนั้นบอกว่าเขารู้สึกว่าเกิดมาตัวเล็กกว่าคนอื่น เรียนหนังสือก็ตัวเล็กกว่าเพื่อน ทำงานก็ตัวเล็กกว่าใคร รู้สึกเป็นปมด้อยมาก อีกคนหนึ่งบอกว่าการเป็นคนจีน มีสัญชาติจีน ทำให้รู้สึกว่าด้อยกว่าเพื่อนผู้พิพากษาที่มีสัญชาติไทย และอีกคนก็บอกว่าการได้ไปเรียนหนังสือที่อเมริกาก็ทำให้เธอพบว่า การเป็นคนไทยนั้นเป็นเรื่องด้อยกว่าการเป็นคนอเมริกันหรือยุโรป
วิทยากรถามต่อว่า เทียบกับโจทก์จำเลยในคดีที่ผู้พิพากษาทุกคนจะเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยนั้น ผู้พิพากษาน่าจะได้คะแนนรวมกันแล้วมากกว่าหรือน้อยกว่า? ในขณะที่ผู้พิพากษาหนุ่มสาวก้มหน้าครุ่นคิด วิทยากรก็เสริมว่า ผู้คนที่เข้ามาใช้บริการในกระบวนการยุติธรรมโดยมากแล้วเป็นคนเล็กคนน้อย หากผู้พิพากษาที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ถือกระดาษคะแนนของตนติดตัวไปด้วย ก็จะตระหนักได้ว่าผู้คนเหล่านั้นล้วนแล้วแต่มีคะแนนค่อนไปทางต่ำถึงต่ำมาก ห่างไกลจากผู้พิพากษามากมาย คำพิพากษาของศาลที่นอกจากจะต้องมีความเป็นกลางตั้งอยู่บนอุเบกขาธรรมแล้ว ยังสามารถมีความกรุณาผ่านความตระหนักรู้และเข้าอกเข้าใจถึงช่องว่างความเหลื่อมล้ำระหว่างผู้คนได้อีกด้วย อุเบกขาและความกรุณานี้จึงจะอำนวยความเป็นธรรมได้อย่างแท้จริง



