28 เม.ย. 2560
ฟินด์ฮอร์น ชุมชนทางเลือกชายฝั่งทะเลเหนือ
โดย ประชา หุตานุวัตร
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 29 เมษายน 2560
ผมมาถึงชุมชนทางเลือกชื่อฟินด์ฮอร์น ทางเหนือของสกอตแลนด์ ในวันที่ ๒๕ มีนาคม ศกนี้ เป็นวันเปลี่ยนเวลาพอดี ทำให้เวลาที่ต่างจากประเทศไทยเหลือ ๖ ชั่วโมงแทน ๗ ชั่วโมง บ่งบอกการสิ้นสุดฤดูหนาว ก้าวเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิอย่างเต็มตัว อากาศสดใส ฟ้าสีครามไร้เมฆ แดดเจิดจ้า แต่อากาศนอกบ้านหนาวจับใจ ปีนี้ ดอกแดฟโฟดิลกำลังผลิบาน ตามหน้าบ้านและตามริมทางสาธารณะทั่วไปแลเหลืองสะพรั่ง ดอกสโนว์ดร็อบสีขาวเรี่ยดินก็โผล่ขึ้นมาตามโคนไม้ใหญ่ตรงนั้นตรงนี้ ทิวลิบกำลังแย้ม อีกไม่กี่วันคงอวดสีสดฉูดฉาดแข่งกับดอกไม้หลากสีของฤดูกาลนี้
ที่นี่อยู่ทางตอนเหนือของสกอตแลนด์ ชายฝั่งทะเลเหนือ เป็นชุมชนที่ฝรั่งเรียกว่าผู้คนตั้งใจสร้างขึ้นใหม่ และภายหลังได้ชื่อเพิ่มว่าเป็นชุมชนนิเวศด้วย เมื่อเกิดชุมชนแบบนี้ทั่วยุโรป จึงรวมตัวกันเป็นเครือข่ายชุมชนนิเวศของโลกและพยายามเผยแพร่การจัดตั้งชุมชนแบบนี้ ในฐานะเป็นคำตอบหนึ่งของการหาทางออกให้แก่มนุษยชาติ เพื่อไปพ้นจากวิกฤตหลายด้านที่กำลังเผชิญอยู่
ผู้นำชุมชนหลายคนจากชุมชนเหล่านี้ทั่วยุโรป เคยมาประชุมร่วมกันที่อาศรมวงศ์สนิท เพื่อปรึกษาหารือกันเรื่องหลักสูตรที่จะให้การศึกษาเพื่อขยายชุมชนแบบนี้ อาศรมวงศ์สนิทก็เลยได้ชื่อเป็นชุมชนนิเวศไปด้วย และทำงานเป็นเครือข่ายร่วมกันมา
ชุมชนฟินด์ฮอร์นสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๕ โดยผู้ก่อตั้งสามคน คือ ปีเต้อ แคดดี้ (Peter Caddy) กับภรรยาคือ ไอลีน แคดดี้ (Eileen Caddy) และโดโรธี แมคเคน (Dorothy Mcclain) ไอลีนนั้นสามารถสื่อกับเทพชั้นสูงได้ ส่วนโดโรธีสามารถสื่อกับรุกขเทวากับสัตวเทวาได้ ถ้าพูดภาษาบ้านเรา สตรีทั้งสองท่านนี้ก็เป็นคนทรงนั่นเอง ส่วนปีเต้อนั้นเป็นคนเชื่อ และเป็นคนปฏิบัติ นำสิ่งที่สตรีทั้งสองรับสื่อมา ออกสู่การปฏิบัติเป็นประจำวัน
21 เม.ย. 2560
ตื่นรู้ในกายเพื่อจิต สู่ความผาสุกและอิสรภาพที่แท้จริงของชีวิต
โดย วิศิษฐ์ วังวิญญู
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 22 เมษายน 2560
เมื่อเร็วๆ นี้ ผมอ่านหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ The Practicing Mind: Developing Focus and Discipline in Your Life ของธอมัส สเติร์นเนอร์ (Thomas M. Sterner) ผมยกให้เป็นหนังสือดีที่สุดเล่มหนึ่งที่ได้อ่านในรอบหนึ่งปี
ธอมัส สเติร์นเนอร์ เป็นนักดนตรีแจ๊สและช่างจูนเปียโน ตอนหนึ่ง เขาเล่าเรื่องการจูนเปียโน ว่าด้วยการฝึกฝนตนเอง แทนที่จะใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ อย่างไม่ตั้งใจ อย่างไม่ตื่นรู้ ก็เปลี่ยนมาเป็นการใช้ชีวิตที่ตั้งใจและตื่นรู้ สังเกตความเป็นไปของชีวิต ณ ขณะนั้น ไม่ว่าจะเป็นเพียงการล้างหน้า การบริหารร่างกายเล็กๆ น้อยๆ เมื่อตื่นนอนก็ตาม หากเราใส่ใจ เราสามารถนำมาเป็นการปฏิบัติได้ทั้งสิ้น
ธอมัสเล่าว่า วันนั้น เขาต้องจูนเปียโนสองตัว ตัวใหญ่สำหรับนักแสดงเปียโน ตัวเล็กสำหรับวงออเครสต้าที่จะเล่นล้อไปกับนักแสดง นับว่างานหนักเอาการ เพราะการจูนเปียโนเป็นงานที่ละเอียดอ่อนและซ้ำซาก ต้องจูนสายเปียโนไปทีละสาย กว่าจะเสร็จต้องใช้เวลานานมาก
ธอมัสมีไอเดียว่าเขาจะทำงานให้ช้าลง นี่แหละครับเป็นจุดเริ่มต้นของความแตกต่าง เขาเริ่มจากเปียโนตัวแรกสำหรับนักแสดง ปกติเขาจะรวบเครื่องมือเอามากองแล้วเริ่มทำงาน แต่วันนี้ เขาค่อยๆ หยิบเครื่องมือแต่ละตัวออกมาวางเรียงอย่างเป็นระเบียบ แล้วเริ่มจูนเปียโนทีละสายอย่างช้าๆ อย่างตั้งใจไปเรื่อยๆ จนจบงาน
15 เม.ย. 2560
“ความดี” หลากวัย
โดย ธัญลักษณ์ ศรีสง่า
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 14 เมษายน 2560
ความตั้งใจทำ “ความดี” ของคนแต่ละช่วงวัยเป็นอย่างไร คือ คำถามที่ทีมนวัตกรรมองค์ความรู้ ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) นำมาออกแบบแบบสอบถามเก็บข้อมูลการตั้งปณิธานทำความดีของคนในสังคมไทย เพื่อสนับสนุนโครงการ ๗๐ บุคคลต้นแบบ ๗ ล้านความดี “ทำดีตามรอยพ่อ สานต่องานที่พ่อทำ” และเพื่อนำข้อมูลนี้มาวิเคราะห์จัดทำเป็นรายงานสถานการณ์การตั้งใจทำความดีของคนทุกช่วงวัย ปี ๒๕๕๙ – ๒๕๖๐
ทีมงานออกแบบประเด็นคำถามโดยเชื่อมโยงประเด็นการตั้งใจทำความดีของคนในสังคมไทย ซึ่งเป็นเรื่องในชีวิตประจำวันเข้ากับแผนแม่บทส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติฉบับที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๕๙ – ๒๕๖๔) ที่มุ่งขับเคลื่อนคุณธรรม ๔ ประเด็น คือ พอเพียง วินัย สุจริต จิตอาสา ให้เกิดขึ้นในสังคมไทย
อย่างไรก็ตาม ทีมงานตระหนักดีว่า ท่ามกลางความหลากหลายของคนในสังคม การระบุประเด็นการตั้งใจทำความดีไว้เฉพาะคุณธรรม ๔ ประเด็นข้างต้น อาจเป็นการ “สร้างกรอบ” การความตั้งใจทำความดีของคนในสังคมมากเกินไป ด้วยเหตุนี้ แบบสอบถามจึงมีคำถามปลายเปิดให้ผู้ตอบเลือกนิยาม “ความดี” ที่ตนเองตั้งใจทำอย่างอิสระอีกส่วนหนึ่ง นอกเหนือจากส่วนที่เลือกตอบแบบปรนัย
7 เม.ย. 2560
ปฏิบัติการ “กล้าที่จะสอน” (๒)
โดย ณัฐฬส วังวิญญู
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 8 เมษายน 2560
จากผลของการจัดหลักสูตร “กล้าที่จะสอน” ๖ ประการดังได้กล่าวไปในบทความก่อนหน้าแล้ว (ตีพิมพ์ใน มติชนรายวัน ๑ เมษายน ๒๕๖๐) ในฐานะกระบวนกร ผมรู้สึกว่าครูทั้งหลายเปิดรับและมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้ทั้งสองโมดุลอย่างเต็มที่ และได้รับประโยชน์จากการแลกเปลี่ยนแบ่งปันและทักษะการดูแลตัวเองและการสื่อสารกับคนอื่นได้อย่างตั้งอกตั้งใจ จนนำไปประยุกต์กับการสอนในชั้นเรียนอย่างได้ผลเกินความคาดหมาย คิดว่ากิจกรรมอีกสองโมดุลข้างหน้า จะยิ่งเพิ่มศักยภาพและทักษะในการเป็นครูกล้าสอน กล้าให้พื้นที่กับชีวิตและธรรมชาติทั้งภายในตัวเองและในตัวผู้เรียนได้อย่างมีพลัง ซึ่งจะตอบโจทย์การเรียนรู้ที่เอาศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ และพลิกกระบวนการเรียนรู้ในชั้นเรียนให้มีชีวิตชีวาและมีประสิทธิภาพ
การทำงานครั้งนี้ ยังทำให้มีความเข้าใจมากขึ้นในระบบการศึกษานั่นคือ
๑. สังคมยังมีคนที่มีใจจะสอน อยากเห็นลูกศิษย์หรือเยาวชนเติบโตทั้งทางจิตใจ มุมมอง และความสามารถทางการศึกษา และเชื่อว่าครูเหล่านี้มีความสามารถและความรู้ที่สามารถจะสอนให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ เพียงต้องการพื้นที่ในการพูดคุยแลกเปลี่ยน ทบทวนชีวิต และวิธีการสอนของตัวเอง เพื่อเพิ่มพลังใจในวิชาชีพครู ดังนั้น โครงการจึงเน้นความสำคัญที่การเรียนรู้จากกันและกันมากกว่าการให้ความรู้แบบการอบรมสัมมนา ที่เน้นการรับความรู้จากวิทยากรเป็นหลัก



