มนุษย์จำเป็นต้องมีจิตขนาดใหญ่
เพื่อที่จะบรรจุความเมตตา ความกรุณา
อันไม่มีที่ประมาณไว้ได้
โดย ณัฐฬส วังวิญญู
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 9 ตุลาคม 2547
เคยลองสังเกตบ้างไหมครับว่า เวลาเราพูดคุยกันเพื่อให้ได้ทั้งความรื่นรมย์และความรู้ใหม่ๆ อะไรคือเงื่อนไขที่อาจเป็นอุปสรรคในการพูดคุย
ผมตั้งข้อสังเกตว่า ปัจจัยเหล่านี้มักดำรงอยู่เวลาเราหันหน้ามาพูดกัน
ประการแรก ชุดภาษาที่เลือกใช้ บ่อยครั้งทำให้ทุกคนไม่สามารถเข้าถึงความหมายร่วมกันได้ แม้ว่าจะมีความรู้ก็ตาม เช่น หากพูดเรื่องป่าหรือระบบเกษตร ชาวบ้านจะมีความรู้เยอะ เพียงแต่ไม่ได้ใช้ภาษาวิชาการ ดังนั้น แม้จะพูดเรื่องเดียวกัน แต่เมื่อใช้ภาษาไม่เหมือนกัน ก็จำต้องใช้เวลาเพื่อสร้างความเข้าใจ หรือความหมายร่วมในการสนทนาเสียก่อน
ประการที่สอง มิติเชิงอำนาจที่ดำรงอยู่ในทัศนคติของบุคคลและกลุ่ม อำนาจที่ว่านี้ไม่จำเป็นต้องเกิดจากความตั้งใจที่จะมีอำนาจ หรือเพื่อกดทับการแสดงออกทางความรู้ของกลุ่ม มิติเชิงอำนาจนั้นไม่มีตัวตนในทางวัตถุ แต่ดำรงอยู่เพราะได้รับการยอมรับ เช่น ในวงสนทนาที่มีเจ้านายกับลูกน้อง ครูใหญ่กับครูน้อย หรือคนทั่วไปกับผู้เชี่ยวชาญ
ประการที่สาม วิธีการถ่ายทอดความคิดออกไป โดยส่วนใหญ่มักจะมีลักษณะเป็นการนำเสนอด้วยความมั่นใจว่าสิ่งที่พูดเป็นเช่นนั้นจริง เป็นสัจจะ ถึงขั้นเปลี่ยนแปลงไม่ได้ หรือไม่อยากให้เปลี่ยน ทั้งที่โดยทั่วไป ความคิดจะตั้งอยู่บนกรอบคิดหรือสมมติฐานหนึ่งๆ เสมอ
ประการที่สี่ การถือว่าความคิดเห็นเป็นของตน มีเจ้าของ ปัญหาจึงอยู่ที่ความคิดเห็นนั้นถูกยึดว่า “เป็นของ” เป็นสมบัติที่ต้องได้รับการปกป้อง หวงแหน ราวกับชีวิตตัวเอง
แต่หากวงสนทนานั้นๆ รู้เท่าทันและพยายามเป็นอิสระจากเงื่อนไขเหล่านี้ ก็ย่อมมีโอกาสก่อประกอบความรู้หรือปัญญาใหม่ๆ ร่วมกัน บนพื้นฐานของความเป็นเพื่อน ความไว้วางใจ ความปรารถนาดีและความศรัทธา
เมื่อก่อนผมก็ไม่ค่อยให้ความสนใจในเรื่องศรัทธากับการแสวงหาความรู้เท่าไรนัก เพราะรู้สึกว่าศรัทธาเป็นผลมาจากความไม่รู้ เมื่อไม่รู้จึงต้องอาศัยแรงศรัทธาในการต่อกรกับความไม่รู้ ยิ่งในทางวิทยาศาสตร์แบบเดิม ศรัทธาเป็นอุปสรรคต่อความรู้เลยทีเดียว เพราะเป็นการเลือกเปิดให้กับความรู้บางชุด (ที่ศรัทธา) และปิดความรู้ชุดอื่นๆ ที่เหลือทั้งหมด แต่ในทางศาสนานั้น ศรัทธาเป็นที่มาของประสบการณ์ตรงอันเป็นความรู้ของจิต จึงเป็นกิริยาที่ช่วยเปิดประตูเพื่อเข้าถึงความรู้ชุดหนึ่งซึ่งมีลักษณะกว้างใหญ่กว่าความรู้ที่อยู่ในรูปแบบของความคิดหรือคำพูด คือเป็นอวจนปัญญานั่นเอง
จากมุมมองของวิทยาศาสตร์กระบวนทัศน์ใหม่ ในฐานะผู้เรียนรู้ เราไม่สามารถปลอดพ้นไปจากทัศนะใดๆ ได้ แต่มักจะมีกรอบหรือสมมติฐานในการมองเรื่องต่างๆ ซึ่งมีส่วนในการกำหนดตัวความรู้ที่เกิดจากการตีความของเรา ไม่มีความรู้ที่ปราศจากการตีความ ลักษณะที่ว่า เห็นอย่างเป็นเช่นนั้นเอง หรือ อย่างเป็นตถตา นั้น คงต้องฝึกกันอย่างมากเพื่อให้เท่าทันสมมติฐานของตัวเอง
แล้วศรัทธามันมาเกี่ยวอะไรกับการสนทนาเพื่อหาความรู้ล่ะ ก็ในการสนทนาแบบสืบค้นร่วมกัน (collective inquiry) หรือที่ตอนนี้เรียกกันอย่างคุ้นหูว่าสุนทรียสนทนานั้น ความสามารถในการเดินทางหรือนำพาตัวเองเข้าสู่พรมแดนของความไม่รู้นั้น จำต้องอาศัยความอดทนและศรัทธาเป็นปัจจัยสำคัญ เพราะเราไม่สามารถรู้ได้ว่า การเดินทางนั้นจะสิ้นสุดลงที่ใด เนื่องจากเป้าหมายของการสนทนาในลักษณะนี้ไม่ต้องการให้ไปพบที่สิ้นสุดของขอบแดนแห่งความรู้ หากต้องการเดินออกจากพรมแดนของความรู้อันจำกัดที่มีมาแต่เดิมมากกว่า
ดังนั้น การดำรงอยู่ในความไม่รู้นั้น จึงเป็นความงดงามอย่างหนึ่งของการเดินทาง การที่เรายังไม่สามารถหาข้อสรุปรวบยอดได้นั้นไม่เป็นไร หรือแม้จะไม่มีความจริงสูงสุดหรือสัจจะ แต่ก็กระทำการแบบเดินไปค้นหาไป ยิ่งค้นหาความหมายร่วมกับคนอื่นอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยกันก็ยิ่งไม่เปล่าเปลี่ยว หากแช่มชื่นและมีพลัง เหมือนกับการเดินเก็บก้อนกรวดของเด็กน้อย ดังกวีบทข้างล่างนี้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในจดหมายรักการแต่งงานของ เชอเกียม ตรุงปะ รินโปเช ที่ได้กล่าวถึงศรัทธาไว้อย่างชัดเจนว่า
ยังมีอะไรอีกมากรอให้เราค้นหา
เหมือนเด็กน้อยเดินเก็บก้อนกรวด
ฉันมีความสุขเหลือเกิน
เพราะเธอคือต้นธารแห่งปีตินั้น
เพราะเธอส่องรัศมีสว่างใส
ประตูนี้เปิดคอยเธออยู่
เพียงเธอก้าวเท้าเข้ามา
เธอก็จะพบความสัตย์ซื่อที่จริงใจ
ศรัทธานั้นสำคัญยิ่ง
อะไรอื่นก็ช่างมัน
เพราะศรัทธาคือช่องทางสู่ทุกสิ่ง
มาสิที่รักของฉัน
เริ่มต้นด้วยกัน
เผชิญการค้นพบที่ยิ่งใหญ่
เธอจะไม่มีวันเปล่าเปลี่ยว
ถ้าเราจูงมือไปด้วยกัน
แสดงความคิดเห็น