มกราคม 2017

สังคมไทยขาดสถาบันเสรีนิยมที่เข้มแข็งหรือเปล่า



โดย ประชา หุตานุวัตร
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 28 มกราคม 2560

เป็นไปได้ไหมว่า สังคมไทยขาดสถาบันเสรีนิยมที่เข้มแข็ง ทำให้เราล้มลุกคลุกคลาน ในการสร้างระบบประชาธิปไตย

เมื่อผมป่วยหนัก กำลังไปเที่ยวกับครอบครัวและถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลในต่างจังหวัดกะทันหัน เพราะผมแต่งตัวปอนๆ แบบชาวบ้าน เจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลทุกระดับปฏิบัติต่อผมเหมือนผมเป็นพลเมืองชั้นสอง (นี่ใช้คำอย่างเบา) แต่พอมีเพื่อนที่เป็นหมอมาเยี่ยม ฐานะของผมก็เปลี่ยนไปในทางดีขึ้นหน่อยหนึ่ง พอต้องย้ายมาโรงพยาบาลใหญ่ขึ้น เพราะต้องอาศัยเครื่องมือที่ทันสมัยกว่า เมื่อแรกมาถึง ไม่มีใครรู้จัก ทุกคนก็ปฏิบัติต่อผมแบบพลเมืองชั้นสองอีก พอมีคนมีสถานะในเมืองมาเยี่ยม สถานะก็ค่อยๆ ดีขึ้น พยาบาลคนหนึ่งกำลังหน้างอและพูดเสียงเข้มใส่ผม ขณะรอหมอมาตรวจ พอดีหมอที่มาตรวจรู้จักกับคนใหญ่ในเมืองที่ฝากฝังผมผ่านๆ กันมา พูดคุยกับผมอย่างเสมอกัน ให้คุณค่าต่อกัน คุณพยาบาลคนนั้นก็เปลี่ยนสรรพนามเรียกผม จาก “ลุง” ห้วนๆ มาเป็นคุณด้วยเสียงอ่อนหวาน และยิ้มแย้มทันที

การเห็นเพื่อนมนุษย์เป็นคนเสมอกัน มีคุณค่าและศักดิ์ศรีเสมอกัน คือ สถาบันเสรีนิยมที่พื้นฐานที่สุด ที่สังคมไทยยังไม่ได้สร้างให้ตั้งมั่นหรือเปล่า ศาสนาพุทธที่เน้นเรื่องนี้โดยแก่นสาร ทำไมไม่สามารถสร้างวัฒนธรรมให้คนเห็นคุณค่าของกันและกัน หรือว่าศาสนาพุทธในบ้านเรา ถูกตีความแบบศักดินามากเกินไปหรือเปล่า เช่นหลักเรื่องสมานัตตตา หมายถึงความเสมอภาค เลยถูกตีความว่าเป็นเรื่องต้องวางตัวเสมอต้นเสมอปลายไปหรือเปล่า

เป็นไปได้ไหมว่า เมื่อนักหนังสือพิมพ์ นักวิชาการ รุ่นคุณกุหลาบ สายประดิษฐ์ จิตร ภูมิศักดิ์ และมิตรสหาย ถูกกำจัดโดยจอมเผด็จการอย่างเผ่า ศรียานนท์ ผิน ชุณหะวัณ และสฤษดิ์ ธนะรัชต์ สังคมไทยยังไม่สามารถฟื้นสถาบันการแสดงความคิดเห็นโดยเสรีและเสรีภาพทางวิชาการที่มั่นคงได้อีก แม้ในรอบ ๕๐ กว่าปีที่ผ่านมา เรามีคนทำงานสื่อสาธารณะที่เข้มแข็งกล้าหาญขึ้นบ้าง เรามีนักวิชาการที่ซื่อตรงต่อการแสวงหาสัจจะอยู่บ้าง แต่โดยรวมแล้วสถาบันสื่อ และสถาบันทางวิชาการ ยังอ่อนแอเกินกว่าจะทำหน้าที่ของตนอย่างเต็มที่ เพื่อปกป้องและช่วงชิงพื้นที่การแสดงออกสาธารณะอย่างอิสรเสรี นี่เป็นสถาบันเสรีนิยมอันสำคัญยิ่งยวดของประชาธิปไตย คงต้องใช้เวลาอีกยาวนานใช่ไหม เราจึงจะเข้าใจข้อความอย่าง “ผมไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่คุณพูดแม้แต่น้อย แต่ผมจะปกป้องเสรีภาพจนสุดชีวิต ให้คุณได้พูดสิ่งที่คุณอยากพูดนั้น”

อ่านต่อ »

กัลยาณมิตรจิตตปัญญาประเมิน: ปัญญาปฏิบัติ ๓



โดย ผศ.ดร.จุมพล พูลภัทรชีวิน
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 21 มกราคม 2560

โครงการประเมิน “โครงการพัฒนาการเกษตรยั่งยืน และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนในเขตโครงการจัดรูปที่ดิน” ซึ่งเป็นโครงการของกรมชลประทาน มีเวลาต่อเนื่องกันสามปี นับเป็นโครงการแรกของไทยและของโลกที่มีการนำแนวคิดและแนวปฏิบัติของการประเมินแนวใหม่ที่เรียกว่ากัลยาณมิตรจิตตปัญญาประเมินมาใช้อย่างเป็นรูปธรรม

จากการ “ปิ๊งแว้บ” ทางความคิดในเรื่องกัลยาณมิตรจิตตปัญญาประเมินของผู้เขียนในต้นปี ๒๕๕๑ สู่การมีโอกาสนำไปปฏิบัติจริงกับโครงการของกรมชลประทาน ในปี ๒๕๕๖ ก่อให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “ปัญญาปฏิบัติ” หรือปัญญาที่เกิดจากการปฏิบัติจริงด้วยตนเองหลายประการ ซึ่งผู้เขียนได้นำเสนอในคอลัมน์นี้ไปแล้วสองครั้ง ในลักษณะของการสะท้อนการเรียนรู้จากปีที่หนึ่งและปีที่สองของโครงการ

โครงการพัฒนาฯ นี้ดำเนินการเสร็จสิ้นไปในปี ๒๕๕๙ ในฐานะทีมประเมินผู้นำกัลยาณมิตรจิตตปัญญาประเมินมาใช้ ผู้เขียนมีบางประเด็นที่จะนำเสนอเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ดังต่อไปนี้

เมื่อพิจารณาจากปรัชญาการประเมินแนวใหม่ที่มุ่งเน้นไปที่การเอื้อ/การสร้างให้เกิดความสำเร็จ ความภาคภูมิใจ และความยั่งยืนของโครงการ พบว่ามีหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าทุกพื้นที่นำร่องใน ๔ จังหวัดที่เข้าร่วมโครงการได้รับความสำเร็จในระดับที่น่าพึงพอใจ ทั้งในแง่ของการพัฒนากระบวนการวางแผนและการทำงานอย่างมีส่วนร่วม กระบวนการผลิต การตลาด และผลผลิตทางการเกษตรในพื้นที่ โดยรวม กลุ่มคนที่เข้าร่วมโครงการในทุกพื้นที่มีความภาคภูมิใจที่ชุมชนพื้นที่ของตนได้รับความสำเร็จจากการเข้าร่วมโครงการ และจากการสัมภาษณ์พูดคุยกับชาวบ้าน คณะทำงานในพื้นที่ ทีมพัฒนา โดยรวมมีความคาดหวังและตั้งใจจะสานต่อการทำงานการเกษตรอย่างมีส่วนร่วมของชุมชนในพื้นที่ต่อไป ซึ่งสะท้อนถึงความยั่งยืนได้ในระดับหนึ่ง

อ่านต่อ »

มองเป็น เห็นประโยชน์จากทุกสิ่ง



โดย พระไพศาล วิสาโล
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 7 มกราคม 2560

ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเรา เป็นประโยชน์ทั้งนั้น ถ้าเรารู้จักมอง ถ้าเราวางใจเป็น เราสามารถหาประโยชน์ได้จากทุกสิ่ง แม้ว่ามันจะเป็นความเจ็บปวด ความสูญเสีย ตอนที่เกิดน้ำท่วมใหญ่เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๔ มีผู้คนสิ้นเนื้อประดาตัวเป็นจำนวนมาก บางคนก็กลุ้มอกกลุ้มใจจนเป็นบ้า ฆ่าตัวตาย ซึ่งจัดว่าเป็นการซ้ำเติมตัวเอง เพราะว่าน้ำท่วมทำได้แค่พัดพาและทำลายทรัพย์สมบัติของเรา ไม่ได้ทำมากไปกว่านั้น แต่เมื่อวางใจไม่เป็นก็เลยกลุ้มอกกลุ้มใจจนเสียสติ จนเป็นบ้า หรือทำร้ายตัวเอง

แต่มีอยู่คนหนึ่งไม่ทุกข์เท่าไร เธอบอกว่าน้ำท่วมคราวนี้ทำให้เห็นเลยว่า ไม่มีอะไรที่เป็นของเราเลย ทุกอย่างมาอยู่กับเราแค่ชั่วคราวเท่านั้น อันนี้ถือว่าเธอได้ประโยชน์จากน้ำท่วม เพราะทำให้เห็นสัจธรรม ซึ่งนอกจากจะช่วยให้ไม่ทุกข์จากน้ำท่วมครั้งนั้น ยังรักษาใจไม่ให้ทุกข์เพราะความสูญเสียครั้งต่อๆ ไปด้วย

เราสามารถได้ประโยชน์จากความเจ็บป่วย ความเจ็บป่วยมาสอนเราว่า สังขารไม่เที่ยง มาเตือนให้เราไม่ประมาทกับเวลาที่เหลืออยู่ ท่านอาจารย์พุทธทาสเคยกล่าวว่า “ความเจ็บป่วยมาเตือนให้เราฉลาด” คือมีปัญญาเห็นสัจธรรมของสังขารร่างกาย หลวงพ่อคำเขียน สุวัณโณ ซึ่งเป็นอาจารย์ของอาตมา ป่วยด้วยโรคมะเร็งครั้งแรกเมื่อปี ๒๕๔๙ ตอนที่รักษาตัวที่โรงพยาบาลจุฬาฯ ท่านบอกว่า “มันแสนสบายหนอ เพราะมีคนทำให้ทุกอย่าง” ท่านยังกล่าวอีกว่า “ตอนนั้นไม่ต้องทำอะไรหรอก เห็นไตรลักษณ์อย่างเดียวพอแล้ว มันแสดงให้เราเอง” เวลาเราป่วยก็ลองทำอย่างนี้ดูบ้าง คือพิจารณาไตรลักษณ์ จากร่างกายนี้ ไม่ใช่เอาแต่บ่นโวยวาย ตีโพยตีพาย ว่าทำไมต้องเป็นฉัน

อ่านต่อ »

Back to Top