พฤศจิกายน 2006

เลิกถือพุทธ

โดย วิจักขณ์ พานิช
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 25 พฤศจิกายน 2549

(๑)

ในอดีต ดินแดนทางตะวันออกอย่าง อินเดีย ศรีลังกา พม่า ลาว สยาม เนปาล หรือธิเบต ต่างคือเป้าหมายของการเดินทางแสวงหาทางจิตวิญญาณของชาวตะวันตก แต่ด้วยเหตุปัจจัยที่เปลี่ยนไป ประเทศในแถบเอเชียที่ว่าต่างก็ค่อยๆ สูญเสียประเพณีวัฒนธรรมดั้งเดิม สู่การดำเนินรอยตามลัทธิบริโภคนิยม การค้าเสรี และการบูชาความมั่งมีทางวัตถุ จนวิถีการปฏิบัติทางจิตวิญญาณได้ค่อยๆ เลือนหายไปจนเกือบจะหมดสิ้น การรุกรานธิเบตของกองทัพจีนดูเหมือนจะเป็นฟางเส้นสุดท้าย ที่ได้ส่งสัญญาณถึงวิกฤตการณ์การล่มสลายของอารยธรรมทางจิตวิญญาณอันยากจะเรียกกลับคืนมาได้เหมือนเก่า

หันกลับมาดูที่สังคมไทยเรา วิถีพุทธที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของทุกชุมชนกำลังค่อยๆ หมดความสำคัญลง อย่างวัดวาอารามที่เคยเป็นศูนย์กลางทางการศึกษาและการฝึกฝนทางจิตวิญญาณของผู้คนในชุมชน ปัจจุบันก็ได้กลายเป็นเครื่องมือให้กับลัทธิวัตถุนิยมและบริโภคนิยม พื้นที่ป่าที่เคยมีถึงกว่า ๘๐ เปอร์เซนต์ของพื้นที่ทั้งหมดของประเทศ ได้ถูกทำลายลงจนเหลือไม่ถึง ๑๐ เปอร์เซนต์ ส่งผลกระทบถึงสายพระป่าที่เคยเป็นความหวังสุดท้ายของสายการปฏิบัติที่มีชีวิต ให้กำลังเข้าสู่ภาวะวิกฤตของการสูญสิ้นอย่างที่ไม่เคยประสบมาก่อน

แม้สัญญาณเตือนเหล่านี้ดูจะดังขึ้นเรื่อยๆ แต่ดูเหมือนว่าน้อยคนนักที่จะตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น อย่างน้อยภาพของสถาบันทางศาสนา วัดวาอาราม และพระนักบวชที่ยังเห็นได้เกลื่อนบ้านเกลื่อนเมือง ก็พอที่จะอำพรางเหตุปัจจัยแห่งความเสื่อมถอยไปได้อีกระยะ คนส่วนใหญ่ยังเลือกที่จะ “ถือพุทธ” ภูมิใจในนามความเป็นชาวพุทธ การมีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ พระนักบวชที่ยังสามารถสวดในงานพิธี เสริมสร้างสิริมงคลในโอกาสต่างๆ กับหนังสือธรรมะและพระเครื่องที่ยังมีให้ซื้อหากันได้ไม่ขาดตลาด

แต่กระนั้น เมื่ออำนาจแห่งอาณาจักรได้ครอบงำพลังสร้างสรรค์ทางปัญญาแห่งธรรมจักรจนหมดสิ้น และเมื่อวงล้อแห่งธรรมจักรขาดเชื้อเพลิงแห่งการฝึกฝนตนเองของปัจเจก จนกลับกลายเป็นกลไกทางอำนาจให้กับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง เมื่อนั้นธรรมจักรก็ไม่สามารถทำหน้าที่ขับเคลื่อนพลังทางปัญญาให้แก่อาณาจักรได้อีกต่อไป มีเพียงอัตตาของความเป็นพุทธแต่เพียงเปลือกที่กำลังปั่นวงล้อแห่งความอหังการ นำความเสื่อมถอยทางจิตวิญญาณให้แผ่ซ่านไปทั่วทุกหัวระแหง

พลังทางปัญญา คือพลังแห่งการเรียนรู้ที่มีชีวิต การเรียนรู้ด้วยปัญญา คือการเรียนรู้ที่ออกมาจากจิตใจที่ถูกฝึกฝน อันเต็มไปพื้นที่ว่างแห่งการเรียนรู้ พื้นที่แห่งจิตที่ว่างนั้นจะนำมาซึ่งความอ่อนน้อมถ่อมตนในการเปิดรับฟังเสียงแห่งความทุกข์จากผู้คนรอบข้าง ตรงข้ามกับพลังแห่งความอหังการ ที่แผ่ซ่านออกมาจากจิตใจอันคับแคบและหยาบกระด้าง เต็มไปด้วยความหยิ่งผยองและความอวดดี แม้จะมีความรู้ทางหลักการเวียนว่ายอยู่เต็มหัวก็ตามที

เป็นความจริงที่ว่าปัญญาจะนำมาซึ่งความรู้ แต่หากความรู้นั้นถูกตัดขาดจากกระบวนการเรียนรู้จนกลายเป็นความรู้ที่ไม่มีชีวิต สิ่งที่กำลังถูกถ่ายทอดออกมาก็หาใช่พลังแห่งปัญญา คงเป็นได้เพียงแค่“อหังการของผู้รู้” เพียงเท่านั้น

(๒)

ท่ามกลางความเสื่อมถอยในโลกทางจิตวิญญาณของสังคมตะวันออก การแสวงหาคุณค่าทางจิตวิญญาณในสังคมตะวันตกเป็นสิ่งที่น่าจับตามองอย่างยิ่งในโลกศตวรรษที่ ๒๑ ด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตัวของผู้คนกลุ่มเล็กๆ ที่ได้เปิดรับที่จะเรียนรู้ และฝึกฝนตนเองตลอดช่วงศตวรรษที่ผ่านมา ปัจจุบันสังฆะของผู้ปฏิบัติธรรมได้ผุดขึ้นทั่วทุกหัวเมืองใหญ่ในประเทศสหรัฐอเมริกา ตำรับตำรามากมายได้ถูกแปลและถ่ายทอดออกมาเป็นภาษาอังกฤษ อีกทั้งปรากฎการณ์ของผู้คนที่มีความสนใจในการปฏิบัติภาวนามากมายอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

ช่วงเวลาสี่ปีที่ผ่านมาที่ผู้เขียนได้ใช้เวลาศึกษาพุทธศาสนาในประเทศที่ได้ชื่อว่า เป็นดินแดนที่มีความเสื่อมถอยทางจิตวิญญาณอย่างเลวร้ายที่สุดแห่งหนึ่งของโลก กับเพื่อนผู้ปฏิบัติผู้เรียกตัวเองว่า “ผู้ไม่มีประสบการณ์” หรือ “ผู้ไม่รู้” กลับทำให้ผู้เขียนตระหนักว่า วงล้อธรรมจักรกำลังถูกหมุนอย่างช้าๆ ด้วยการฝึกฝนตนเองของกลุ่มคนกลุ่มเล็กๆ ในอเมริกา จนพลังทางปัญญาที่มีชีวิตได้ค่อยๆ ถักทอเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คนได้หันมาฝึกฝนปฏิบัติธรรมกันมากขึ้นเรื่อยๆ แม้วัฒนธรรมตะวันตกจะไม่เอื้อต่อการก่อตัวของชุมชนสงฆ์เหมือนอย่างในบ้านเรา แต่การฝึกฝนของฆราวาสผู้ครองเรือนที่นี่ กลับเต็มเปี่ยมไปด้วยแรงใจแห่งการอุทิศตนสู่สายธารแห่งการตื่นรู้อย่างแท้จริง

จูลี กรีน กัลยาณมิตรของผู้เขียน เรียนจบปริญญาโทด้านการบริหารธุรกิจ จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด จากนั้นก็เริ่มทำงานธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ จนประสบความสำเร็จมีเงินทองมากมาย แต่ช่วงเวลาสิบปีของการทำธุรกิจ เธอได้มีโอกาสสัมผัสความทุกข์ของผู้คนในโรงพยาบาล ที่ล้มป่วยลงด้วยความเครียด ความว้าเหว่ และการดำเนินชีวิตที่สุดโต่งไปในทางวัตถุของสังคมตะวันตก จนวันหนึ่งเธอจึงตัดสินใจเลิกทำธุรกิจ หันมาศึกษา ปฏิบัติธรรม ปัจจุบันนอกจากการอุทิศตนให้กับการภาวนาปีละไม่ต่ำกว่าสามเดือน เธอยังทำงานเป็นนักจิตบำบัดแนวพุทธ ให้คำปรึกษาแก่ผู้คนมากมาย

แอล บลูม นักธุรกิจผู้ร่ำรวยจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เขาเริ่มต้นเมื่อกว่ายี่สิบปีที่แล้ว ใช้เงินที่เขาได้จากธุรกิจ บริจาคสนับสนุนให้แก่ศูนย์ปฏิบัติธรรมมากมาย การบริจาคของเขาไม่ได้ทำไปด้วยการหวังบุญกุศลใดๆ แต่ด้วยความเป็นผู้ปฏิบัติธรรมที่หวังที่จะเห็นวงล้อพระธรรมขับเคลื่อนพลังทางปัญญา หวังที่จะเห็นผู้คนในทุกวัย ทุกฐานะ มีโอกาสที่จะได้มาสัมผัสพลังแห่งการตื่นรู้ในเส้นทางการฝึกฝนตนเอง เขาจึงดำเนินรอยตามอนาถบิณฑิกเศรษฐี สนับสนุนอริยธรรมาจารย์ในการเผยแผ่ธรรมะในประเทศสหรัฐอเมริกาอย่างเต็มที่ แอลยังเป็นผู้ปฏิบัติธรรมที่อุทิศตนให้กับการฝึกฝนอย่างแท้จริง เขาจะใช้เวลาสามถึงสี่เดือนในการฝึกเงียบ อีกทั้งยังช่วยสอนภาวนาให้กับกลุ่มเยาวชนอีกด้วย

ฟลีต มอลล์ อาจารย์ผู้เป็นแบบอย่างของการนำพุทธศาสนาไปสู่การช่วยเหลือผู้ทุกข์ยากในสังคม นอกจากการสอนธรรมะในชั้นเรียน และการนำภาวนาแล้ว ฟลีทยังริเริ่มโครงการมากมายที่จะสร้างโอกาสให้นักเรียนได้นำธรรมะไปสู่การปฏิบัติ ฟลีทเชื่อว่าพลังแห่งการตื่นรู้ จะต้องนำไปสู่การเผชิญหน้ากับทุกขสัจจ์ ทั้งในตนเองและในโครงสร้างอันอยุติธรรมทางสังคม ฟลีตได้ริเริ่มโครงการภาวนาข้างถนน นำนักเรียนกลุ่มเล็กๆ ไปใช้ชีวิตกินนอนตามท้องถนนใจกลางเมืองเดนเวอร์ เป็นเวลาเจ็ดวัน เพื่อที่จะได้ไปเรียนรู้สภาพชีวิตอันสุดแสนลำเค็ญของผู้คนชั้นล่างที่สังคมไม่เคยให้ความสนใจ นอกจากนั้นเขายังนำการภาวนาให้นักโทษในคุก ซึ่งเขาได้ถ่ายทอดประสบการณ์ไว้ในหนังสือ Dharma in Hell เช่นเดียวกัน ฟลีต ใช้เวลาอย่างน้อยสองเดือนในแต่ละปีในการเข้าฝึกเงียบ

กัลยาณมิตรทั้งสามของผู้เขียน เป็นตัวอย่างของเพื่อนชาวอเมริกันผู้อุทิศตนบนเส้นทางแห่งการภาวนา บ่มเพาะพลังสร้างสรรค์ทางปัญญา อย่างที่ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การสร้างภาพของความเป็นคนกึ่งดิบกึ่งดี มีศีลธรรมอย่างผิวเผิน เพื่อนๆ เหล่านี้สามารถค้นพบแรงบันดาลใจที่เขามีอยู่ในตน ก้าวพ้นความกลัว สู่การท้าทายเหตุแห่งทุกข์อย่างอาจหาญ ด้วยความเป็นชาวพุทธที่ไม่ได้เป็นแต่เพียงเปลือก พวกเขาได้ฝึกฝนและหลอมรวมพลังแห่งการตื่นรู้สู่การดำเนินชีวิตในแต่ละวัน กับหัวใจอันเต็มเปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญทางจริยธรรม อย่างไม่มีภาพความอหังการของความเป็นพุทธเลยแม้แต่น้อย

หากจะถามเขาเรื่องการถือพุทธ “คุณเป็นชาวพุทธหรือเปล่า?” เขาคงทำหน้าฉงน แต่หากถามเรื่องการภาวนา เขาจะไม่ลังเลที่จะตอบว่า “ฉันเป็นผู้ฝึกปฏิบัติบนวิถีพุทธ” และถ้าจะถามถึงเรื่องเป้าหมายของการตรัสรู้เป็นพระอรหันต์ เขาก็คงขำกลิ้ง แต่หากถามถึงสิ่งที่ทำอยู่ เขาจะตอบอย่างมั่นใจว่า “ฉันกำลังอยู่ระหว่างการเดินทาง”

การเป็นพุทธกันเพียงแค่ชื่อ ถือกันไว้โดยไม่นำมาปฏิบัติ คงไม่ต่างอะไรจากลิงได้แก้วหรือชะนีได้แหวน แทนที่จะถือๆ แขวนๆ กันไว้ จนกลายเป็นความอหังการ ที่อาจไปเกะกะระรานเพื่อนบ้านต่างศาสนาไปได้โดยที่เราไม่รู้ตัว เราน่าจะเลิกถือพุทธกันเสีย แล้วหันมาลิ้มรสกับประสบการณ์ของการฝึกฝนปฏิบัติในวิถีแห่งพุทธกันดูบ้าง

พุทธที่แท้คือความตื่น คือความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับความจริงในทุกแง่มุมของชีวิต วิถีพุทธ คือ เส้นทางการฝึกตนบนสายธารธรรมอันจะนำพาให้เราสามารถที่จะร่วมทุกข์ ร่วมสุข กับผู้คนทุกเชื้อชาติศาสนา ทุกชนชั้นวรรณะอย่างไม่ถือตน ผู้ฝึกฝนบนเส้นทางสายนี้จะเป็นแบบอย่างของนับรบผู้กล้า บุคคลเดินดินธรรมดา ผู้ดำเนินชีวิตด้วยพลังสร้างสรรค์ทางปัญญา อันแผ่ซ่านออกมาจากจิตวิญญาณที่อ่อนน้อม พร้อมที่จะเรียนรู้จากทุกเหตุปัจจัยรายรอบด้วยหัวใจที่ไร้อคติ

“ความกล้าหาญทางจริยธรรมที่แท้เป็นผลของความอ่อนโยน เกิดจากการยอมให้โลกเข้ามาสะกิดหัวใจเธออย่างเปล่าเปลือย หัวใจที่มีเลือดเนื้อและพลังสร้างสรรค์ที่ดีงาม เธอต้องพร้อมที่จะเปิดรับกับทุกสถานการณ์โดยปราศจากแรงต้านหรือการเขินอาย ต้องพร้อมที่จะแบ่งปันหัวใจร่วมกับผู้อื่น นั่นแหละ คือสารัตถะแห่งการเดินทางของจิตวิญญาณ”

เชอเกียม ตรุงปะ รินโปเช

คำขอโทษที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์

โดย ชลนภา อนุกูล
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 18 พฤศจิกายน 2549

การคุกเข่าของ วิลลี บรันดท์ นายกรัฐมนตรีเยอรมัน ที่หน้าอนุสาวรีย์วีรชนชาวโปแลนด์ในการต่อสู้ต่อต้านนาซี ณ กรุงวอร์ซอ ประเทศโปแลนด์ เมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๓ ถือได้ว่าเป็นการขอโทษที่มีความหมายครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดและถูกจดจำมากที่สุดในประวัติศาสตร์โลก

วิลลี บรันดท์ เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ ๓ ของเยอรมันช่วงหลังจากสงครามโลกครั้งที่ ๒ เขาเป็นนายกรัฐมนตรีเยอรมันคนแรกที่เดินทางไปเยือนโปแลนด์ ประเทศที่เคยถูกเยอรมันและรัสเซียเข้ายึดครอง และในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ มีชาวโปแลนด์ถูกฆ่าตายด้วยฝีมือนาซีจำนวน ๖ ล้านคน

ขณะที่ไปเยือนอนุสาวรีย์วีรชนโปแลนด์ในการต่อสู้ต่อต้านนาซี โดยไม่มีใครคาดคิด วิลลี บรันดท์ ได้คุกเข่าลงทั้งสองข้าง ภาพนี้เป็นข่าวไปทั่วโลก มีผู้ถามบรันดท์ในภายหลังว่า เขาได้วางแผนหรือทำไปด้วยความรู้สึกโดยอัตโนมัติ เขาตอบแต่เพียงว่า ขณะนั้น เวลานั้น ต้องมีผู้ทำอะไรสักอย่าง

ความหมายเชิงสัญลักษณ์ของการขอโทษครั้งนี้ ก็คือการขอโทษในฐานะตัวแทนของชาวเยอรมันทั้งหมด วิลลี บรันดท์ มิใช่ผู้นำเยอรมันในการทำสงคราม ชาวเยอรมันรุ่นเขาแทบไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำสงครามเลยก็ว่าได้ เขาเป็นเพียงลูกหลานของบรรพบุรุษผู้เคยกระทำผิด ในฐานะผู้นำของประเทศที่เคยกระทำผิดทางประวัติศาสตร์กับประชาชนของอีกประเทศหนึ่ง และในภาวะที่คำพูดไร้ซึ่งความหมาย – เขาได้คุกเข่าลง
เยอรมันเป็นประเทศที่ก่อสงครามโลกทั้งสองครั้ง และตกอยู่ในฐานะผู้แพ้สงครามทั้งสองครั้ง ภารกิจของผู้นำเยอรมันภายหลังสงครามนอกจากการบูรณะบ้านเมืองที่เสียหายแล้ว ยังต้องฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน ตลอดจนเกียรติยศของประเทศเพื่อจะกลับเข้าร่วมวงษ์ไพบูลย์กับนานาประเทศดังเดิม

วิลลี บรันดท์ เดินทางไปโปแลนด์เพื่อร่วมลงนามในสนธิสัญญากรุงวอร์ซอ ผลของสนธิสัญญา เยอรมันสูญเสียดินแดน ๑ ใน ๔ ของอาณาจักรไรซ์เดิมให้กับโปแลนด์ ชาวเยอรมันที่ตกค้างในโปแลนด์จำต้องอพยพกลับสู่เยอรมัน ชาวเยอรมันบางส่วนไม่เห็นด้วยกับสนธิสัญญานี้ แต่บรันดท์ชี้แจงว่า เยอรมันจำต้องจ่ายสิ่งเหล่านี้คืนให้กับความสูญเสียจากสงครามเพื่อที่จะตัดห่วงโซ่แห่งความอยุติธรรมที่เป็นผู้ก่อขึ้น

ส่วนกรณีที่เขาคุกเข่าต่อหน้าอนุสาวรีย์วีรชนโปแลนด์นั้น จากผลของแบบสอบถาม ชาวเยอรมันกว่าครึ่งนั้นไม่เห็นด้วย แต่ผู้ที่เห็นด้วยกับเขาล้วนเป็นหนุ่มสาวและคนรุ่นใหม่ ตัว วิลลี บรันดท์ เองก็ได้รับการยกย่องชื่นชมอย่างสูง เขาได้คลี่คลายปัญหาเขตแดนเยอรมันและโปแลนด์ สลายภาวะตึงเครียดช่วงสงครามเย็นระหว่างค่ายประชาธิปไตยและคอมมิวนิสต์ และสมานบาดแผลที่นาซีเยอรมันเคยกระทำไว้กับเพื่อนบ้าน ปีถัดมาเขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ และเป็นชาวเยอรมันคนแรกที่ได้รับรางวัลโนเบล เขาได้นำเยอรมันก้าวออกมาจากความมืดมิดเข้ามาสู่แสงสว่างแห่งการยอมรับของประชาคมโลกอย่างสง่าผ่าเผย และแม้ในยุคสมัยปัจจุบัน วิลลี บรันดท์ ก็ถือได้ว่าเป็นนายกรัฐมนตรีที่ได้รับความนิยมและเป็นที่รักของชาวเยอรมันมากที่สุด

การขอโทษย่อมมิอาจเกิดขึ้นได้จากการบิณฑบาตร้องขอ และคำขอโทษอันยิ่งใหญ่นี้จักเกิดขึ้นมิได้เลยหากปราศจากหัวใจและปัญญา หัวใจนั้นทำให้มองเห็นความทุกข์ร้อนของผู้อื่นเป็นเช่นเดียวกับของตน ส่วนปัญญานั้นทำให้พิจารณาไตร่ตรองถึงสิ่งที่พึงกระทำบนพื้นฐานของจริยธรรม การก้าวข้ามผ่านด่านแห่งศักดิ์ศรี ซึ่งเป็นอัตตาความหลงทะนงตน ความภาคภูมิใจในพวกพ้อง บรรพบุรุษ ชาติ ไปสู่ประตูแห่งเกียรติยศ คือการกระทำในสิ่งที่พึงกระทำ หยามทำลายศักดิ์ศรีตนด้วยวีระกล้าหาญที่นำพาไปสู่ความเป็นมนุษย์สมบูรณ์ เป็นเรื่องที่ไม่ง่าย แต่ประวัติศาสตร์ย่อมไม่บันทึกการกระทำที่ง่ายดาย

ในกรณีของปัญหาความไม่สงบใน ๓ จังหวัดภาคใต้นั้น หากชนชั้นนำของสังคมไทยได้ตระหนักรู้พลังอันยิ่งใหญ่ของการขอโทษ กระบวนการขอโทษที่แม้จะปราศจากคำพูด ดังเช่น การสอบสวนและลงโทษกรณีเจ้าหน้าที่รัฐผู้กระทำผิดในการประกอบอาชญากรรมต่อประชาชนมุสลิม การให้อิสระต่อสังคมไทยในการรับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ทางภาคใต้ การเปิดพื้นที่ให้ประชาชนในพื้นที่ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการจัดการปกครองส่วนท้องถิ่นโดยมีหลักประกันในสิทธิเสรีภาพและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน เหล่านี้ ย่อมเป็นคำขอโทษที่ยิ่งใหญ่ ล้ำค่า และมีความหนักแน่นจริงใจเสียยิ่งกว่าวาทกรรมแห่งความเสียใจ ชนชั้นทางปัญญาของไทยควรจะผลักดันให้เกิดกระบวนการขอโทษนี้ให้มาก เพราะเราพึงเห็นใจว่าปุถุชนย่อมมีความอาลัยอาวรณ์ศักดิ์ศรีตน หากติดกับดักชนิดนี้เข้าเสียแล้ว ย่อมก้าวล่วงเข้าสู่แดนเกียรติยศได้ยาก

ประเทศไทยไม่เคยก่อสงครามโลกก็จริง แต่รัฐไทยเคยก่ออาชญากรรมต่อพลเมืองของตนมาแล้ว กลางหัวใจเมืองข้างกำแพงพระบรมมหาราชวังอย่างน้อยก็สองหนภายในเวลาสามปี ในถิ่นไกลปืนเที่ยงนับอีกไม่ถ้วน เฉพาะภาคใต้เอง นับจากกรณีอุ้มฮะหยีสุหรงไปถ่วงทะเลสาบสงขลา มาจนถึงอุ้มทนายสมชาย นีละไพจิตร กรณีกรือเซะ กรณีตากใบ หากแผลเป็นทางประวัติศาสตร์เหล่านี้ไม่ถูกเยียวยา ก็จักกำเริบเกิดเป็นแผลใหม่ให้ได้รับความทุกข์ร้อนอยู่ไม่สิ้นสุด

คำขอโทษที่มีความหมายยิ่งใหญ่ กำลังรอให้หัวใจและสติปัญญาในสังคมไทย มาร่วมกันบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของวันพรุ่ง

จิตวิวัฒน์ในความหมายของผม

โดย นพ.วิธาน ฐานะวุฑฒ์
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ื 11 พฤศจิกายน 2549

เวลาที่เราเขียนถึงเรื่องราวใดเรื่องราวหนึ่งที่โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องราวนั้นเป็นเรื่องราวที่เป็น “นามธรรม” หรืออาจจะ “ไม่มีรูปธรรมชัดเจน” เรามักจะต้องใส่คำว่า “ในความหมายของผม” หรือ “ในความเห็นของผม” เช่นเวลาที่เราจะถามว่า “ใครสักคนสวยหรือไม่?” เราก็มักจะตอบว่า “อืมม..ผมว่าก็สวยดีนะ” อะไรทำนองนี้

ผมคิดว่า “ความหมายของจิตวิวัฒน์” เองก็เช่นกัน ค่อนข้างเป็น “นามธรรม” ที่หลายๆ คนก็สงสัยว่ามันคืออะไรและ “รูปธรรม” ที่ออกมาเป็นกลุ่มต่างๆ เป็นการปฏิบัติการหลายๆ อย่างก็อาจจะเป็นเพียง “การให้ความหมายของ” คนบางกลุ่มคนบางคนเท่านั้นกระมัง??

ผมมีความรู้สึกว่า อยากจะเขียนถึงเรื่องนี้ในตอนนี้ก็ด้วยเหตุผลบางประการ

หนึ่ง คือเรามีกลุ่มจิตวิวัฒน์มาร่วมสามปีเต็มๆ แล้วนับตั้งแต่การประชุมครั้งแรกเมื่อเดือนกันยายน ๒๕๔๖ มีการพูดคุยกันเดือนละหนึ่งครั้งๆ ละหนึ่งวันเต็มๆ

สอง ข้อนี้อาจจะเป็นประเด็นสำคัญสำหรับผม คือผมมีความเข้าใจว่า “รูปธรรม” หลายๆ อย่างที่เกิดขึ้นมาจากคำว่า “จิตวิวัฒน์” อาจจะไม่ได้ตรงกับ “รูปธรรม” ที่ตัวผมเองนึกคิดเอาไว้และก็อาจจะไม่ได้ตรงกับรูปธรรมกับที่หลายๆ ท่านนึกคิดเอาไว้

บางคนถามว่า จิตวิวัฒน์หมายถึงจะต้องเข้าวัดใช่มั๊ย? หมายถึงจะต้องไปนั่งสมาธิกันใช่มั๊ย? หมายถึงว่าจะต้องคุยกันเรื่องปรัชญาหรือวิทยาศาสตร์ยากๆ ใช่มั๊ย? หมายถึงว่าจะต้องเป็นคนดีเท่านั้นใช่มั๊ย?

หรือแม้แต่ว่าเมื่อนำ “แบรนด์เนมจิตวิวัฒน์” ไปใช้แล้วเหมือนกับการ “ตีตราแบบเชลล์ชวนชิม” เลยว่า “คุณจะต้องเป็นคนดี” ตรงนี้น่าเป็นห่วงครับ เพราะเมื่อไรก็ตามที่เรา “ตีตรา” อะไรก็อาจจะมีความหมายไปว่า “คนอื่นๆ แย่กว่าคุณ” หรือ “คนอื่นๆ ไม่ได้เป็นคนดีเหมือนกับคุณ”

นอกจากนั้นยังอาจจะเป็นเรื่องที่ “น่าชวนหมั่นไส้” ให้กับหลายๆ คนอีกด้วย

ผมเชื่อว่าพวกเราที่ทำงานในกลุ่มจิตวิวัฒน์ไม่ได้ต้องการ “ตีตรา” แบบนั้น อาจารย์หมอประเวศ วะสี ต้องการให้พวกเรารวมกลุ่มกันเพื่อที่จะ “เป็นหลัก” ในการ “สร้างสรรค์สังเคราะห์” องค์ความรู้ที่สำคัญๆ และจะเป็นองค์ความรู้ที่มีประโยชน์กับคนไทยต่างหาก

และผมก็รู้สึกว่าพวกเราทำหน้าที่ได้ “ดีในระดับหนึ่ง” แต่โดยส่วนตัวผมไม่ต้องการรับ “การตีตรา” ว่าเป็นคนดี ผมรู้สึกไม่อิสระ ผมรู้สึกว่าการเป็นคนดีก็เป็นกับดักอย่างหนึ่งเหมือนกันเป็น “กับดักของอัตตา” ที่อาจารย์วิศิษฐ์ วังวิญญู ใช้คำว่า “อัตตาหยดสุดท้าย” เพราะหลายคนที่เป็นคนดีจะรู้สึกว่า “อัตตาของตัวเอง” นั้นเหลือน้อยมากเต็มที น้อยจนกลายเป็น “อัตตาหยดสุดท้าย” แต่แท้ที่จริงแล้วถ้าเราไม่เท่าทันมันจริงๆ เจ้าอัตตาหยดสุดท้ายนี่แหละที่ “แสบชะมัด” เพราะมันพร้อมจะขยายตัวไปเป็น “อัตตาตัวโต” ได้อย่างรวดเร็วทันทีภายในเสี้ยววินาที

ผมรู้สึกว่าผมเพียงทำหน้าที่ที่อยากจะทำ เพราะเมื่อเวลาที่อาจารย์ประเวศชวนผมนั้น ผมปิ๊งทันทีและตอบรับด้วยความเต็มใจทันทีเลย เพราะเป็นงานที่ผมทำอยู่แล้วกับกลุ่มที่เชียงรายถึงแม้จะไม่มีกลุ่มจิตวิวัฒน์

ผมเชื่อว่าคนหลายคนที่หลากหลายมากขึ้นทำงานร่วมด้วยกันจะมีพลังมากกว่าทำคนเดียวหรือกลุ่มเดียว

ซึ่งตรงนี้ก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่จะต้องรู้สึกไม่ดีอะไรหรือจะเป็นการคิดขัดแย้งหรือตัดพ้อแต่อย่างไรนะครับ ผมเพียงรู้สึกว่าในฐานะที่ตัวผมเองมีส่วนร่วมกระทำอยู่ในความหมายของคำว่า “จิตวิวัฒน์” ผมน่าจะใช้เวลาที่ครบรอบสามปีเต็มของกลุ่มจิตวิวัฒน์นี้ได้ใคร่ครวญถึง “ความหมาย” ตามที่ผมเข้าใจและบอกกล่าวกับเพื่อนๆ ที่ร่วมคิด เหมือนกับว่าเวลาที่เราเดินทางไกลไปด้วยกัน เมื่อเดินทางถึงจุดพักจุดหนึ่งเราก็ควรจะต้องเช็คแผนที่ของเรา เช็คเป้าหมายของเราว่าเราเดินทางมาอย่างไร ถูกเส้นทางแล้วหรือยัง แน่นอนว่าเส้นทางอาจจะมีได้หลายเส้นทางและหลายๆ ท่านที่ร่วมเดินทางก็อาจจะอยากแวะไปเที่ยวน้ำตกก่อน บางท่านอาจจะขอแวะชมนกชมไม้กันก่อน หรือแม้แต่หลายท่านอาจจะไม่อยากพักเลย อยากจะขับรถทั้งวันทั้งคืนเพื่อให้ถึงเป้าหมายโดยเร็ววันที่สุด

ผมเคารพทุกความเห็น เพราะผมเชื่อว่าทุกเส้นทางสามารถนำพาเราไปสู่เป้าหมายได้

ที่อยากจะบอกเล่าในบทความชิ้นนี้จึงเป็นหรือหมายถึงเฉพาะ “เส้นทางของผม” ที่อยากจะแลกเปลี่ยนเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าเส้นทางของผมจะดีที่สุดเลิศที่สุดประเสริฐสุด

โดยส่วนตัวแล้วผมไม่มีข้อสงสัยใดๆ เลยกับคำว่า “จิตวิวัฒน์” ผมคิดว่า “เป้าหมายนี้” สำคัญมากและสำคัญที่สุดจริงๆ และผมเชื่อว่าใครก็ตามที่ศึกษาเรื่องราวของการเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ทางสังคมต่างก็จะมองเห็นความจริงข้อนี้กันทุกคน

สำหรับผมแล้วผมเชื่อว่าการเดินทางสู่ “จิตวิวัฒน์” เป็นเส้นทางที่ธรรมดาๆ ธรรมดาและสามัญเหลือเกิน เป็นเส้นทางที่อาจจะไม่ต้องทำอะไรมากมาย เพียงแต่เรา “ใช้ชีวิตให้เต็ม” ใช้ชีวิตให้พอเหมาะพอดี สร้างสมดุลระหว่างงานกับชีวิตส่วนตัวโดยไม่ต้องแยกมันออกไปแบบที่ฝรั่งเคยสอนไว้

เพียงแต่ “ขอเวลา” หรือ “มีเวลา” ให้กับการดูแล “เรื่องราวภายในตัวเอง” ให้มากขึ้นกว่าที่เดิมคนส่วนใหญ่มักจะใช้เวลาในการดูแลเรื่องราวภายนอกตัวเรา และคำว่า “มากขึ้นกว่าเดิม” จะเป็นสัดส่วนเท่าไรที่แม้จะเพียงสิบยี่สิบเปอร์เซ็นต์ของเวลาทั้งหมดของคุณ ก็เป็นที่ยอมรับได้สำหรับผมแล้ว

ขอเพียงให้เรา “มีเวลา” ที่จะพูดคุยกันให้มากขึ้น พูดคุยกันให้ลึกซึ้งขึ้น และมีความเป็นชุมชนที่ไม่ใช่พูดคุยกันแต่เฉพาะเรื่องงานเท่านั้น แต่ “ดูแลกันและกัน” เพราะบางทีเพียงแค่การได้มาพบกันก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว

ไม่ต้องมาถามว่าคุยกันแล้วได้งานอะไรซึ่งดูเป็นนิวตันเสียเหลือเกิน

ผมเห็นด้วยกับ วิจักขณ์ พานิช ที่เคยบอกไว้ว่า บางทีถ้าเราพยายามอธิบายเรื่องราวมากจนเกินไปก็จะยิ่งทำให้เกิดความเข้าใจผิดและสับสน ผมเองก็พบว่าบางทีเรื่องราวก็ไม่ต้องอธิบายอะไรมาก เพียงแต่จะต้องกระทำอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างแรงบันดาลใจของตัวเองและของกลุ่มชุมชนเล็กๆ ที่ดำรงอยู่

ผมรู้สึกว่าบางทีพวกเราหลายคนไปแบกโลกไว้มากเกินไป บางทีโลกอาจจะไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือหรอกนะ เพราะยังไงๆ เสียโลกก็ไม่แตกหรอก อย่างมากก็แค่เกิด 6th Extinction (การสูญพันธุ์ครั้งที่ ๖)

ผมรู้สึกดีใจที่ได้มีโอกาสบอกเล่า แม้ว่าจิตวิวัฒน์ในความหมายของผมอาจจะไม่ได้ตรงกับหลายๆ ท่านคิดหรืออยากให้เป็นเสียทีเดียว

องค์กรจริยะ: จิตสำนึกใหม่ในการดำเนินธุรกิจ

โดย ผศ.ดร.จุมพล พูลภัทรชีวิน
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 4 พฤศจิกายน 2549

เราได้ยินผู้บริหารไม่ว่าจะภายในประเทศหรือต่างประเทศ ต่างก็พูดถึงการทำองค์กรของตนให้เป็นองค์กรอัจฉริยะเพื่อให้ทันสมัย แข่งขันได้ และเพื่อเป็นผู้นำในธุรกิจของตนอยู่บ่อยๆ

มีการประชุมชี้แจงภายในองค์กรเพื่อให้พนักงานทุกคนทุกระดับได้รู้ถึงวิสัยทัศน์ พันธกิจ และนโยบายของผู้บริหารที่จะนำพาองค์กรของตนไปสู่ความเป็นเลิศ

มีการจัดอบรมทั้งภายในและมีการส่งบุคลากรไปอบรมภายนอก เพื่อนำความรู้และทักษะทั้งหมดที่ได้รับมาพัฒนาองค์กรเพื่อให้เกิดประสิทธิผลและประสิทธิภาพสูงสุด

บางแห่งมีการปรับรื้อระบบใหม่ทั้งระบบที่เรียกว่า Reengineering บางแห่งมุ่งพัฒนาคุณภาพผ่านระบบ QC, TQC, TQM และอื่นๆ ที่มาใหม่อยู่เรื่อย เช่น Balance Score Card, JIT, Futuristic Management

มีการเชิญกูรูทางการบริหารชาวต่างชาติมาพูดให้ฟังในราคาที่แพงอย่างไม่น่าเชื่อ

แนวความคิดทางการบริหารและการจัดการใหม่ๆ ที่บรรดากูรูหรือผู้รู้ทางการบริหารเสนอแนะ ถูกนำมาเรียนรู้ เลียนแบบ เพื่อจะได้ “ทันสมัย” หรือ “ทัน”กับความก้าวหน้า

ทั้งหมดที่ทำไปเพียงเพื่อตามให้ทัน ไหลไปตามกระแส เพียงเพื่อจะรู้เท่า แต่ไม่รู้ทันหรือไม่รู้เท่าทันเขา

เครื่องจักรใหม่ๆ เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่มาพร้อมกับลิขสิทธิ์ราคาแพง มาตรการและมาตรฐานใหม่ๆ ได้รับการพัฒนาและนำเสนอแกมบังคับให้ปฏิบัติตามมาตรฐาน “สากล” ระดับ”นานาชาติ” ทยอยออกมาเรื่อยๆ

ผู้นำและผู้บริหารประเทศและบริษัทห้างร้านส่วนใหญ่ทั่วโลก ถูกครอบงำด้วยระบบเศรษฐกิจเสรีทุนนิยมอย่างถอนตัวไม่ขึ้น

ระบบการบริหารจัดการ วิธีคิด วิธีทำงานถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบสนองทิศทาง “การค้าเสรี” ของ “ทุนนิยม”ทั้งสิ้น

หนังสือประเภท Know How และวิธีเรียนลัดแบบสำเร็จรูปสำหรับการเป็นผู้บริหารชั้นยอด และการเป็นเศรษฐีในเวลาอันสั้นมีออกมาขายมากมาย เสมือนหนึ่งมีคำตอบสุดท้ายที่ดีที่สุด

สิ่งที่ไม่ค่อยได้ยินและขาดอย่างมากจากองค์กรธุรกิจ คือเรื่องของคุณธรรม จริยธรรมขององค์กร ความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร การคืนและการสร้างสิ่งดีๆ ให้กับสังคม ให้กับโลก

ภายนอกมีแต่โฆษณาชวนเชื่อ การสร้างภาพพจน์ที่หลอกลวง และเลือนรางจากความดีความมีคุณธรรม

ภายในเน้นระบบบริหารและจัดการที่มุ่งตอบสนองผลประโยชน์ขององค์กร เช่นกำไร การขยายกิจการ ความมั่นคงขององค์กรเป็นหลัก โดยมิได้มีเรื่องของความรับผิดชอบต่อสังคม (Social Responsibility) อยู่ในระบบและกระบวนการบริหาร ไม่ว่าจะในส่วนของปัจจัยป้อนเข้าของระบบ (Inputs) ในส่วนของกระบวนการบริหาร (Processes) ไม่ว่าจะเป็นการวางแผน การจัดโครงสร้างองค์กร การจัดคนเข้าระบบ...และในส่วนของผลผลิต (Outputs) มิต้องพูดถึงเรื่องของ Outcomes และ Impacts

ที่น่าเสียดายและน่าเป็นห่วงอย่างยิ่งก็คือ ระบบการศึกษาก็ถูกอิทธิพลของเศรษฐกิจเสรีทุนนิยมเข้ามาครอบงำด้วย ส่วนสำคัญส่วนหนึ่งมาจากการกำหนดนโยบายทางการศึกษาของรัฐบาลทุนนิยม

ความสำเร็จและความร่ำรวยของคนส่วนน้อย บนซากที่เสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรทางธรรมชาติ มลภาวะทางศีลธรรม จริยธรรม สังคมที่เสื่อมทรามลง เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นและเห็นได้ทั่วไป ในโลกยุคโลกาภิวัฒน์ ที่ถูกขับเคลื่อนด้วยระบบเศรษฐกิจเสรีทุนนิยม

ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ผู้นำและผู้บริหารองค์กรธุรกิจทั้งหลายจะเริ่มคิดและทำอย่างจริงจังที่จะพัฒนาองค์กรของตนให้เป็นองค์กรจริยะ แทนที่จะมุ่งเน้นการเป็นองค์กรอัจฉริยะตามแบบอย่างองค์กรกระแสหลักทุนนิยมแต่อย่างเดียว

ระยะนี้ผู้เขียนได้รับเชิญให้ไปบรรยายให้กับองค์กรต่างๆ ค่อนข้างบ่อย หัวข้อที่ได้รับเชิญให้ไปบรรยายก็น่าสนใจและท้าทาย เช่นการสร้างและการพัฒนาจริยธรรมในองค์กร การบริหารตามแนวอนาคตนิยม การสอนงานการพัฒนาบุคลากร... ในทุกหลักสูตรที่ผู้เขียนได้รับเชิญเป็นวิทยากร จะมีการสอดแทรกเรื่องของคุณธรรม จริยธรรมในการบริหารและการดำเนินธุรกิจเสมอ ด้วยความเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่า หากผู้บริหารมีคุณธรรมและจริยธรรมเป็นฐานและเป็นแกนในการบริหาร จะทำให้คนในองค์กรมีความภาคภูมิใจ เต็มใจ และมีความสุขที่จะทำงานให้กับองค์กรอย่างเต็มที่ นำให้เกิดผลงานที่ดี (Productivity) และมีความพึงพอใจ (Satisfaction) ของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง คุณธรรมและจริยธรรมจะเป็นแกนกลางและตัวเชื่อมประสานคนในองค์กรให้เป็นหนึงเดียวกันได้เป็นอย่างดี

ในปัจจุบันเริ่มมีองค์กรทางธุรกิจหลายแห่งในโลกประกาศตัวเป็นจริยองค์กรทางธุรกิจหรือที่ผู้เขียนเรียกว่าองค์กรจริยะ เพื่อให้แตกต่างไปจากแนวคิดกระแสหลักที่มุ่งเน้นสู่การเป็นองค์กรอัจฉริยะที่มีฐานของแนวคิดเศรษฐกิจเสรีทุนนิยมเป็นกลไกผลักดัน เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันในระบบตลาดเสรี มีการพัฒนาระบบการบริหาร การผลิต การบริการ...ด้วยการใช้เครื่องจักรและเทคโนโลยีที่ทันสมัยราคาแพง เพื่อที่จะได้เป็นองค์กรอัจฉริยะ แต่ละเลยเรื่องความเป็นมนุษย์ โดยเฉพาะละเลยเรื่องคุณธรรมจริยธรรม

ในต่างประเทศมีคำใหม่ที่เรียกองค์กรที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมว่า Corporate Social Responsibility (CSR) ในเมืองไทยก็เริ่มมีกลุ่ม CSR เกิดขึ้น

นับเป็นนิมิตหมายที่ดี

CSR คืออะไร

CSR คือองค์ที่ดำเนินธุรกิจภายใต้การบริหารการจัดการเพื่อก่อให้เกิดผลดีต่อสังคมโดยภาพรวม มีการดำเนินการกิจกรรมทุกอย่าง อย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคม รวมไปถึงจิตสำนึกต่อโลก (Global Consciousness)

CSR เป็นองค์กรที่จะต้องตั้งคำถามหลักสองประการเป็นอย่างน้อยในการดำเนินธุรกิจ

๑. คุณภาพของการบริหารจัดการในแง่ของคนและกระบวนการบริหารภายในองค์กร

๒. ธรรมชาติและปริมาณของผลกระทบที่มีหรือที่จะเกิดต่อสังคมในด้านต่างๆ อันเกิดจากการดำเนินกิจกรรมขององค์กร

โดยนัยนี้ความรับผิดชอบต่อสังคม(Social Responsibility) เข้ามาเป็นส่วนสำคัญของกระบวนการสร้างความอุดมสมบูรณ์ (Wealth Creation Process) ขององค์กร และถ้ามีการบริหารจัดการที่ดีในเรื่องนี้ องค์กรก็สามารถที่จะเพิ่มศักยภาพการแข่งขันทางธุรกิจ และในขณะเดียวกันก็เพิ่มคุณค่าด้าน Wealthให้กับคนในองค์กรและสังคมได้

CSR จะยึดถือแนวทางในการดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงเรื่องต่อไปนี้อย่างมีความรับผิดชอบ

  • ทำให้โลกมีความปลอดภัยมากขึ้น เช่นไม่ปล่อยของเสียหรือสร้างมลภาวะให้กับสิ่งแวดล้อม
  • ทำให้โลกดีขึ้น น่าอยู่ขึ้น และมีความยุติธรรม
  • ทำให้โลกมีความมั่นคงและทำนายได้มากขึ้นโดยเฉพาะในทางที่ดีต่อมวลมนุษยชาติและสิ่งแวดล้อม
  • ไม่ทำผิดกฎหมาย ไม่ทำลายวัฒนธรรมที่ดีงามของชุมชน
  • ลด / เลิกพฤติกรรมหลอกลวง ทรยศหักหลังทั้งต่อองค์กร ลูกค้าและสังคม
  • ส่งเสริมและกระตุ้นเมล็ดพันธุ์แห่งความดีงามภายในมนุษย์ให้เติบโต
  • มีความรับผิดชอบต่อความคิดและการกระทำของตัวเอง
  • ทำทุกสิ่งเท่าที่จะทำได้ในการเตือนภัยล่วงหน้าให้สาธารณชนใด้รับทราบจากวิกฤตการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้น


มาเริ่มต้นคิดและทำในสิ่งที่ถูกต้อง

มาเริ่มต้นสร้างและพัฒนาองค์กรของตนเองให้เป็นองค์กรจริยะไปพร้อมๆ กับการเป็นองค์กรอัจฉริยะ จะดีหรือไม่

ชุมชนจะเข้มแข็ง สังคมจะมั่นคง ปลอดภัย และมีสันติสุข โลกจะน่าอยู่เพิ่มมากขึ้น

CSR ไม่ใช่คำตอบเดียวและไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของเรื่องนี้

แต่ CSR เป็นส่วนหนึ่งของคำตอบ และเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยสร้างจิตสำนึกแห่งความรับผิดชอบของบุคลากรต่อสังคม ต่อโลก โดยเริ่มต้นที่ตนเอง

มาเริ่มต้นคิดและทำสิ่งที่ถูกต้องดีงาม ที่มีคุณธรรมและจริยธรรมเป็นฐานตั้งแต่ต้น ดีกว่าที่จะมาพยายามหาทางทำสิ่งที่ไม่ดีงาม ไม่ถูกต้อง ให้ถูกกฏหมายในภายหลัง

Back to Top