รักแท้ของมนุษยชาติ

โดย ดร.จารุพรรณ กุลดิลก
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 12 กุมภาพันธุ์ 2548

“ขออธิษฐานจิต ส่งความรักความเมตตาให้แก่ดวงวิญญาณพี่น้องร่วมแผ่นดินแม่ จงมีแต่ความสุขสันตินิรันดร์”

ผู้เขียนคงไม่สามารถรวบรวมคำพูดใดๆ มาทดแทนความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์มหันตภัยธรรมชาติสึนามิ ได้อย่างเพียงพอ หากผู้เขียนอยากแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับเพื่อนร่วมทุกข์ทุกท่านที่ยังมีชีวิตอยู่ ด้วยสิ่งที่ผู้เขียนได้พบเห็น และคงเป็นสิ่งที่หลายท่านได้พบเห็นเช่นกัน นั่นคือ แสงสว่างท่ามกลางความสูญเสีย แสงสว่างที่เกิดขึ้นจาก “รักแท้” ของมนุษยชาติ ที่ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน อย่างเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เป็นน้ำใจที่ไม่หวังผลตอบแทนใดๆ และเป็นความรักความเมตตาที่มีพลังในการเยียวยาความทุกข์ สามารถแปรเปลี่ยนคลื่นร้ายให้กลายเป็นความหวัง และเพิ่มคุณค่าในการดำรงชีวิตให้แก่เพื่อนมนุษย์

จากเหตุการณ์ในครั้งนี้ เราและท่านต่างก็ประจักษ์ดีแล้วว่า ความทุกข์สามารถมาเยือนโดยไม่เลือกเวลาและสถานที่ ดังนั้นเวลาทุกขณะจึงมีค่ายิ่ง เราไม่ควรที่จะรอช้าต่อการฝึกฝนจิตใจให้เกิดความรักที่แท้จริง เพื่อเป็นพลังในการช่วยตนเองและคนรอบข้างให้มีความสุขยิ่งขึ้น เป็นความสุขที่ยั่งยืนและถาวร และไม่มีวันถูกทำลายด้วยความทุกข์ใดๆ ในโลก

พระคุณเจ้าติช นัท ฮันห์ พูดเสมอว่า เราทุกคนล้วนมีเมล็ดพันธุ์แห่งความรักอยู่ในตัว เราสามารถบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความรัก ให้ปราศจากเงื่อนไข ชนิดที่ไม่ต้องคาดหวังว่าเราจะได้อะไรตอบแทน และเมื่อเราเข้าใจธรรมชาตินี้ดีพอแล้ว ถึงธรรมชาติจะทำร้ายเรา เราก็ยังสามารถรักธรรมชาติได้อย่างที่เป็น เช่นเดียวกันกับการรักเพื่อนมนุษย์อย่างที่เป็น สามารถช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์โดยไม่หวังผลตอบแทน จะเป็นรักแท้ที่มีความหมายลึกล้ำต่อชีวิต และงอกงามครอบคลุมโลกทั้งมวล ให้ปราศจากความโกรธเกรี้ยว ช่วยขจัดความทุกข์โศก ที่เกิดจากความว้าวุ่นในใจของสรรพสัตว์ทั้งปวง

ท่านติช นัท ฮันห์ จะสอนลูกศิษย์ในเรื่องการบ่มเพาะความรัก ไว้อย่างละเอียดปราณีต ท่านกล่าวว่า ความรักที่แท้จริงคือ พรหมวิหารสี่ ซึ่งประกอบด้วย เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา

เมตตาหรือไมตรีนั้น คือ ความตั้งใจที่จะนำความสุขมาให้แก่ผู้อื่น โดยไม่หวังผลตอบแทน เป็นความตั้งใจที่เกิดจากการรับฟังเพื่อนมนุษย์อย่างลึกซึ้ง (deep listening) เพื่อที่จะรับรู้ถึงความต้องการที่แท้จริงของผู้อื่น และสามารถพิจารณาได้ว่าอะไรที่เราควรทำและไม่ควรทำ ถ้าเรามอบของบางอย่างให้แก่คนที่เรารัก ทั้งๆ ที่เขาไม่ต้องการมัน ก็ไม่นับเป็นไมตรี เราจะต้องแลเห็นถึงสภาพที่แท้จริงของผู้นั้นด้วย มิฉะนั้นสิ่งที่มอบให้แก่เขา จะทำให้เขากลับเป็นทุกข์ยิ่งขึ้น ดังนั้นการช่วยเหลือพี่น้องผู้ประสบภัยของเรา จึงต้องอาศัยการฟังอย่างลึกซึ้ง จึงจะสามารถรับรู้ความต้องการของเขา และสามารถช่วยได้อย่างแท้จริง

ถัดจากนั้นคือ ความกรุณา เป็นความปรารถนาที่จะขจัดทุกข์ให้แก่ผู้อื่น ซึ่งเกิดขึ้นในรูปของความคิดหรือการกระทำ ดังเช่นความกรุณาที่พี่น้องชาวไทยและชาวต่างประเทศได้ร่วมแรงร่วมใจ เป็นอาสาสมัครในด้านต่างๆ เป็นสิ่งที่มีค่าเหนือกว่าคำปลอบประโลมทั้งปวง เมื่อเราต่างมีหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความกรุณา เพียงแค่การการกระทำที่แสดงน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ก็จะสามารถสลายความทุกข์ให้แก่กันและกันได้ระดับหนึ่ง หากจะต้องอาศัยสติปัญญาใคร่ครวญไตร่ตรอง จึงจะทำให้ความความช่วยเหลือนั้นเกิดประโยชน์สูงสุด

อีกส่วนหนึ่งของรักแท้คือ มุทิตา เป็นความยินดีที่เห็นผู้อื่นมีความสุข เห็นเขาประสบความสำเร็จมีชีวิตที่ดีขึ้น ก็พลอยแช่มชื่นเบิกบานใจด้วย พร้อมที่จะสนับสนุน โดยปราศจากความริษยากีดกัน มุทิตานั้น เป็นความรู้สึกเบิกบานที่ราคาถูกที่สุดในโลกแต่มีคุณค่ามหาศาล จะทำให้สรรพสัตว์สุขสงบ และปราศจากความเย็นชาเศร้าหมอง หากความรักของเรายังไม่สามารถทำให้เกิดความเบิกบานเป็นสุขได้ ก็ยังไม่เรียกว่าเป็นรักแท้ ดังเช่นการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์นั้น ความยินดีจักเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อทั้งเขาและเราต่างมีความสุขเบิกบานด้วยกันทั้งสองฝ่าย

สุดท้ายคือ อุเบกขา หรือการวางเฉย ที่มิใช่ความไม่ใส่ใจหรือการอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไร แต่หมายถึงการวางเฉยต่อความลำเอียงของตนเองและผู้อื่น มีความสงบนิ่งในจิตใจ มีความเป็นกลาง มีสติ มีปัญญา และปราศจากอคติทั้งปวง เมื่อจิตสงบนิ่งดังน้ำที่ใสบริสุทธิ์ จะสามารถมองเห็นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ถึงความเป็นจริงตามธรรมชาติ อุเบกขานั้น จะทำให้สรรพสัตว์ปราศจากความยึดติด ครอบครอง ความเกลียดชัง โทสะ และความยึดมั่นถือมั่นในจิตใจ และจะช่วยให้มนุษย์สามารถวางตัวต่อเหตุการณ์มหันตภัยในครั้งนี้ได้อย่างเหมาะสม ไม่เดือดเนื้อร้อนใจโลดแล่นไปตามความทุกข์ที่เกิดขึ้น และเมื่อเห็นสภาพของความเป็นจริงแล้ว จะสามารถช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ได้อย่างมีสมดุลย์ ไม่เบียดเบียนทั้งตนเองและผู้อื่น

พรหมวิหารสี่ เป็นรักแท้ ที่มีความสำคัญยิ่งต่อมนุษยชาติ แม้ในยามปกติ มนุษย์ควรมีเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา ต่อกันและกัน ไม่ควรจำกัดขอบเขตอยู่ที่ครอบครัว ญาติพี่น้อง คนรัก หรือเพื่อนร่วมชาติ ร่วมศาสนาเท่านั้น แต่ควรจะขยายขอบเขตสู่มวลมนุษย์ สิ่งมีชีวิต และธรรมชาติทั้งปวง โดยปราศจากการแบ่งแยก ไม่ยึดติด จะทำให้มนุษย์พ้นจากความทุกข์ ความผิดหวัง ชีวิตจะเต็มเปี่ยมไปด้วยความเบิกบานและความพึงพอใจ บังเกิดพลังแห่งความรักที่แท้จริง วิธีการหนึ่งที่พระคุณเจ้าติช นัท ฮันห์แนะนำให้ปฏิบัติเพื่อบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความรักอย่างง่ายๆ คือการแผ่เมตตาให้กับธรรมชาติและสรรพสัตว์ ด้วยการสัมผัสพื้นดิน เป็นการจรดหน้าผาก ขาและมือทั้งสองข้างแนบกับพื้น และระลึกถึงความจริงที่ว่า เราเป็นส่วนหนึ่งของพระแม่ธรณี ไม่ได้แยกขาดจากกัน เป็นการนอบน้อม ยอมศิโรราบให้กับธรรมชาติ ละวางความโกรธ ความเกลียด ความกลัว ความริษยา และความยึดมั่นถือมั่นลง เพื่อเปิดหัวใจให้พบกับพลังแห่งความรัก เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของสรรพสัตว์ทั้งปวง

ในสถานการณ์เช่นนี้ เราสามารถแผ่เมตตาให้กับผู้ที่ประสบภัย ผู้ที่บาดเจ็บ ผู้ที่เสียชีวิตด้วยการสัมผัสพื้นดิน โดยส่งพลังความรักความเมตตาให้กับพวกเขา รวมทั้งเพื่อนมนุย์ที่ยังมีชีวิตอยู่ จะเป็นการรดน้ำเมล็ดพันธุ์แห่งความรักของเราให้เจริญงอกงาม เข้มแข็งพร้อมที่จะเผชิญกับปัญหาทุกปัญหาด้วยความเบิกบาน เราสามารถปฏิบัติได้ทันที โดยที่เราไม่ต้องไปไกลจากที่ๆ เราอยู่ จะทำให้เราพบกับพรหมวิหารสี่ อันจะเป็นพลังที่สามารถนำไปใช้กับสังคมที่เราเกี่ยวข้องได้ และหากเราช่วยกันพัฒนาบ่มเพาะพลังแห่งความรักที่แท้จริงนี้ เราจะไม่ตกอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์ เมล็ดพันธุ์แห่งความรักจะแข็งแรงตระหง่าน ทนทานต่อคลื่นลมแล้งร้าย ไม่ว่ายุคใดสมัยใด โดยไม่ขึ้นกับกาลเวลา

Back to Top