สู่การเจริญสติถ้วนหน้า
(Mindfulness for All)



โดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 13 มิถุนายน 2552

เรื่องที่หนีไม่พ้นคือ มนุษย์จะเจริญสติกันมากขึ้น ๆ จนในที่สุดเจริญสติกันถ้วนหน้า นั่นคือเจริญสติกันทั้งประเทศ และเจริญสติกันทั้งโลก เพราะเหตุอย่างน้อย ๓ ประการด้วยกันคือ

หนึ่ง มนุษย์สุดทางไป ไม่มีทางออกอย่างอื่น อารยธรรมปัจจุบันได้นำมนุษย์มาสุดทางที่จะไปต่อในทางเดิมได้อีกแล้ว เพราะกำลังเกิดวิกฤตการณ์ขึ้นทุก ๆ ทางอย่างไม่มีทางออก ทั้งวิกฤตเศรษฐกิจ วิกฤตสังคม วิกฤตสิ่งแวดล้อม วิกฤตการเมือง และวิกฤตในตัวมนุษย์ที่เต็มไปด้วยความเครียด ความขัดแย้ง ความรู้สึกหมดหวัง ทั้งนี้เพราะเป็นอารยธรรมที่ขับเคลื่อนด้วยอกุศลมูลทั้งสามคือ โลภะ โทสะ โมหะ ที่จะไม่วิกฤตนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ จะเห็นได้ว่าระบบเศรษฐกิจ – การเมือง – การศึกษา ที่เชื่อมโยงกันนั้นตรงกับ โลภะ – โทสะ – โมหะ อย่างพอดี ระบบเศรษฐกิจที่เอาเงินขนาดใหญ่เป็นตัวตั้งนั้นเป็นมหาโลภจริต ส่วนการเมืองเรื่องอำนาจนำไปสู่ความรุนแรงนั้นก็คือโทสะ ยิ่งการเมืองผูกอยู่กับเงินจำนวนใหญ่เท่าใด ความรุนแรงก็ยิ่งมากขึ้น ระบบการศึกษาที่ไม่ก่อให้เกิดปัญญา เพียงมีความรู้ในศาสตร์ต่าง ๆ ศาสตร์ก็กลายเป็นศาตราใช้ทิ่มแทงกัน ระบบการศึกษาที่ไม่สร้างปัญญาก็ยิ่งไปเพิ่มความรุนแรงของโลภะและโทสะ โมหะ หรือความไม่รู้ หรือความหลงไป เป็นปัจจัยทำให้เกิดโลภะและโทสะ มนุษย์จึงตกอยู่ในความครอบงำของระบบเศรษฐกิจ – การเมือง – การศึกษา อันเป็นตัวแทนของอกุศลมูลทั้งสาม จึงเข้าไปสู่วิกฤตการณ์มากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างเปลี่ยนแปลงไม่ได้ อย่าไปคิดว่าโอบามาซึ่งชูประเด็น CHANGE จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้มาก เพราะอารยธรรมวัตถุนิยม บริโภคนิยมได้สร้างโครงสร้างไว้ในสมองของผู้คน และโครงสร้างทางสังคมเศรษฐกิจเรียบร้อยแล้ว ไอน์สไตน์จึงกล่าวว่า “เราจะต้องมีวิถีคิดใหม่โดยสิ้นเชิง ถ้ามนุษยชาติจะอยู่รอดได้” แต่มนุษย์ก็เปลี่ยนวิถีคิดไม่ได้ เพราะสมองได้เกิดโครงสร้างที่ทำให้คิดอย่างเดิม ๆ ซ้ำรอยเดิมอยู่อย่างนั้น นอกจากเจริญสติ สติทำให้จิตเป็นกลาง เกิดปัญญา และวิถีคิดใหม่ได้ จึงกล่าวว่าเป็นเรื่องหนีไม่พ้นที่มนุษย์จะหันมาเจริญสติ เพราะสุดทางที่จะไปตามทางเดิมแล้ว

สอง มีแรงจูงใจสูงสุดที่จะทำให้เจริญสติ แรงจูงใจที่สูงที่สุดคือความสุข ถ้าทำอะไรแล้วมีความสุข มนุษย์ก็อยากจะทำสิ่งนั้นซ้ำ ๆ การเจริญสติจะทำให้พบความสุขที่ไม่เคยเจอมาก่อน เป็นความสุขอันประณีตลึกล้ำ มีความเบาสบาย เป็นอิสระ หลุดพ้นจากความบีบคั้นทั้งปวง ทำให้สมองดี เรียนอะไรก็ง่าย สุขภาพดี ไม่ค่อยเจ็บป่วยหรือถ้าเจ็บป่วยก็หายง่าย ภูมิคุ้มกันเพิ่ม อายุยืน ความสัมพันธ์กับคนอื่น ๆ ดี เป็นปัจจัยให้อยู่ร่วมกันด้วยความสุข และอาจนิรทุกข์โดยสิ้นเชิงก็ได้ การเจริญสตินำมาซึ่งความสุขราคาถูก (Happiness at low cost) จึงเป็นไปได้สำหรับทุกคน และลดการทำลายสิ่งแวดล้อม

พระพุทธองค์ตรัสเรียกการเจริญสติว่า “ทางอันเอก” (เอกะ มัคโค) พระพุทธองค์ทรงค้นพบทางอันเอกนี้มากว่า ๒๕๐๐ ปีแล้ว ฝรั่งเพิ่งจะมารู้จักเรื่องการเจริญสติเมื่อเร็ว ๆ นี้เอง และพากันติดใจยกใหญ่ เพราะเมื่อเจริญสติแล้วอะไร ๆ ก็ดีขึ้นหมดดังกล่าวข้างต้น หนังสือที่ขายดีที่สุดในโลกขณะนี้คือตระกูลนี้ ในประเทศไทยก็มีการเจริญสติกันมากกว่าแต่ก่อนมาก เป็นแนวโน้มใหญ่ชัดเจนว่าต่อไปมนุษย์จะพากันเจริญสติถ้วนหน้า

สาม สมองของมนุษย์ ธรรมชาติสร้างมาให้เหมาะแก่การเจริญสติ (The Mindful Brain) เมื่อเจริญสติแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงในสมอง ทั้งเชิงโครงสร้างและในการทำหน้าที่ เมื่อเจริญสติ ส่วนต่าง ๆ ของสมองและร่างกายบูรณาการกันเข้ามา และเกิดดุลยภาพ ทำให้เกิดสุขภาวะและความสงบระงับ มีการหลั่งสารสุข (เอนดอร์ฟินส์ - Endorphins) ออกมามากขึ้น ทำให้เกิดความสุขแผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย มีผลต่อสมองส่วนฮัยโปธาลามัส (Hypothalamus) ซึ่งส่งผลต่อต่อมเอ็นโดครีน (Endocrine) และภูมิคุ้มกันเหล่านี้เป็นต้น

เพราะเหตุอย่างน้อย ๓ ประการดังกล่าวมานี้ จึงกล่าวว่า สิ่งที่หนีไม่พ้นคือมนุษย์จะเจริญสติกันถ้วนหน้า ฉะนั้นจึงควรมาช่วยกันดูว่าควรจะทำอะไรกันบ้าง จึงจะเกิดการเจริญสติกันทั้งประเทศ ซึ่งขอเสนอดังต่อไปนี้

(๑) แต่ละคน แต่ละครอบครัวที่รู้พากันขวนขวายศึกษาและปฏิบัติในการเจริญสติ บางคนอาจทำได้เอง บางคนอาจต้องการครูบาอาจารย์

(๒) บุคคลหรือกลุ่มบุคคล ที่เจริญสติเป็นแล้วและได้รับผลดีจากการเจริญสติ พยายามแนะนำและช่วยเหลือคนอื่นให้เจริญสติเป็น

(๓) สื่อมวลชน นำเรื่องการเจริญสติและผลการเจริญสติมาเผยแพร่ เชิญอาจารย์ที่สอนเก่งมาสอนทางวิทยุและโทรทัศน์เป็นประจำ

(๔) องค์กรต่าง ๆ ทั้งของรัฐและเอกชนส่งเสริมและสนับสนุนให้คนในองค์กรฝึกเจริญสติ องค์กรจะได้ผลงานสร้างสรรค์มากขึ้นด้วย

(๕) วัดเจริญสติ ประเทศไทยมีวัดอยู่ประมาณ ๓ หมื่นแห่ง ชุมชนควรจะร่วมกับวัด ทำวัดให้ร่มรื่น สะอาด สงบ และมีอาจารย์สอนการเจริญสติ

(๖) ทุกชุมชนและท้องถิ่น พยายามให้ในพื้นที่ของตนมีผู้รู้ในการเจริญสติ คอยแนะนำฝึกสอนให้คนในชุมชนและท้องถิ่นเจริญสติกันมาก ๆ

(๗) โรงพยาบาลทุกแห่ง ควรมี “คลินิกเจริญสติ” มีแพทย์พยาบาลที่เจริญสติเป็นคอยแนะนำอบรมคนไข้และญาติให้เจริญสติเป็น โรงพยาบาลต้องแสวงหาเทคโนโลยีต่าง ๆ มาใช้ในการวินิจฉัยและรักษาโรคอยู่แล้ว เทคโนโลยีเหล่านี้มักราคาแพง การเจริญสติก็เป็นเทคโนโลยีอย่างหนึ่ง ที่ได้ผลมากแต่ราคาถูก สปสช. (สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ) ควรสนับสนุนให้โรงพยาบาลทุกแห่งนำเทคโนโลยีการเจริญสติมาใช้ เพราะจะทำให้ค่าใช้จ่ายเรื่องสุขภาพลดลง ในขณะที่คุณภาพชีวิตทั้งของผู้รับและผู้ให้บริการสูงขึ้น

(๘) ระบบการศึกษาทั้งหมด ควรนำการเจริญสติเข้ามาเป็นเครื่องมือการเรียนรู้ ควรสร้างครูอาจารย์ที่เจริญสติเป็นให้มากที่สุด ขณะนี้บางมหาวิทยาลัยได้จัดให้มีหลักสูตร “จิตตปัญญาศึกษา” (Contemplative Education) ซึ่งมีรูปแบบการเรียนรู้ที่หลากหลายน่าสนใจ แต่หัวใจของการเรียนรู้แบบจิตตปัญญาศึกษาก็คือการดูจิตของตัวเองจนเกิดปัญญา ซึ่งก็คือการเจริญสตินั่นเอง มหาวิทยาลัยที่ทดลองหลักสูตร “จิตตปัญญาศึกษา” จนเกิดความชำนาญแล้วในระดับหนึ่ง ควรจะคิดถึงการขยายผลสู่การเจริญสติถ้วนหน้า ตามนัยที่กล่าวมาทั้ง ๘ ข้อ หรือจะมีวิธีอื่นในนอกเหนือไปจากนั้นอีกได้ก็ยิ่งดี

(๙) คณะรัฐมนตรีเจริญสติ เรื่องนี้ผู้คนอาจจะหัวเราะขบขันเห็นว่าเป็นไปได้ยาก แต่ถ้าเป็นไปได้ก็จะเกิดความดีงามตามมาอีกมาก กิจกรรม (๑) – (๘) ที่กล่าวข้างต้น จะผลักดันให้ ครม.เจริญสติ ครม.เจริญสติจะผลักดันให้เกิด (๑) – (๘)

เรื่องการเจริญสติแล้วเกิดผลดีเป็นอเนกประการนั้นไม่มีปัญหาอะไร เพราะพิสูจน์กันมามากต่อมากด้วยการปฏิบัติ และด้วยการวิจัย คำถามมีว่าทำอย่างไรสิ่งที่เรารู้ว่าดีจะเกิดกับคนทั้งประเทศ นี่เป็นคำถามเชิงนโยบาย ประเทศไทยควรมีนโยบายเจริญสติถ้วนหน้า (Mindfulness For All = MFA) และคนทั้งมวลร่วมกันขับเคลื่อนการเจริญสติ (All For Mindfulness = AFM)

วิกฤตการณ์ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของวิกฤตอารยธรรม ขออย่าได้ท้อถอยหรือหมดหวัง ทุกฝ่ายต้องช่วยกันป้องกันความรุนแรง เพื่อให้เวลาประเทศไทยปรับตัวไปสู่วิถีการพัฒนาใหม่ อันเป็นวิถีแห่งบูรณาการและดุลยภาพ การเจริญสติจะช่วยให้เข้าถึงวิถีแห่งบูรณาการและดุลยภาพ อันจะยังให้เกิดศานติสุขอย่างแท้จริง

One Comment

surachaiwongwatroj กล่าวว่า...

ถ้ามีคนเห็นด้วย - เริ่มปฏิบัติสัก 0.5% เท่านั้น ผมเชื่อว่า เมืองไทยจะน่าอยู่กว่านี้มากครับ อจ ผมเคย
ให้คนไข้ผมที่มีปัญหาทุกโรค - ทุกโรค ลองทำใจให้สงบ สวดมนต์ ดีขึ้นทุกรายเลยครับอาจารย์
ขอแสดงความนับถือ นพ สุรชัย ว่องวัฒนโรจน์

Back to Top