มนุษย์จำเป็นต้องมีจิตขนาดใหญ่
เพื่อที่จะบรรจุความเมตตา ความกรุณา
อันไม่มีที่ประมาณไว้ได้
โดย ศ.นพ.ประสาน ต่างใจ
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 21 สิงหาคม 2553
ก่อนอื่น อยากจะพูดว่าผู้เขียนไม่ใช่สักแต่เชื่อเฉยๆ แต่เชื่อมั่นอย่างที่สุดในสองเรื่อง คือหนึ่ง ในพุทธศาสนา กับสอง ในแควนตัมฟิสิกส์ที่นักวิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่หลายๆ คนเขียนไว้ว่า ทั้งสองศาสตร์ “มีความสอดคล้องแนบขนานกันที่สุด” นอกจากนี้ ผู้เขียนยังเชื่อในบทความกับข้อคิดข้อเขียนส่วนใหญ่ของคาร์ล จุง จุงเป็นอัจฉริยะในเรื่องจิตโดยเฉพาะจิตไร้สำนึกที่ผู้เขียนสนใจมาก จุงได้เขียนเรื่องของจิตจักรวาลไว้ว่า เป็นจิตไร้สำนึกในขั้นลึกสุดลึกของจิต – ที่มีอย่างไม่จำกัดหรือไม่สิ้นสุด – “ถอยหลังไป...ถอยหลังไปสู่ความมืดมิด...ที่ไม่มีใครรู้” จุงเป็นผู้อธิบายไว้ในช่วงต้นๆ ของศตวรรษที่ ๑๙๓๐ (The Archetypes and The Collective Unconscious) เขาเรียกจิตนี้ว่า จิตไร้สำนึกร่วมโดยรวมของจักรวาล (universal unconscious continuum) หรือที่ผู้เขียนเรียกว่าจิตจักรวาลนั่นเอง
นั่นเป็นเรื่องที่ผู้เขียนรู้จากที่ได้อ่านๆ มา แต่ส่วนที่ได้จากการครุ่นคิดอย่างจริงจังเป็นเวลายาวนาน โดยเฉพาะสี่ห้าปีหลังๆ ผู้เขียน “รู้แน่นอน” ว่าจิตนั้นไม่ใช่สมอง และสมองไม่ใช่จิตทั้งในสัตว์และในคน แต่จิตไร้สำนึกจักรวาล – หลังเกิดจักรวาลขึ้นมาแล้วซึ่งพุทธศาสนาบอกว่าโดยจิตปฐมภูมิ (ญานา) ที่แยกจากพลังงานปฐมภูมิ (ญานะปราณ) ไม่ได้ – นั้น จะวิ่งเข้ามาอยู่ในทุกๆ ที่ว่างของอวกาศของจักรวาล ไม่ว่าที่ว่างนั้นจะเล็กละเอียดสักปานใด แม้ที่ว่างระหว่างอะตอมในสมอง สมองจึงมีความสำคัญยิ่งสำหรับสัตว์โลกโดยเฉพาะมนุษย์ แม้ว่ามันจะไม่ใช่จิต เพราะสมองคือตำแหน่งแหล่งที่บริหารจิตไร้สำนึกให้เป็นจิตสำนึกใหม่ๆ ตลอดเวลา
จิตของสัตว์แต่ละตัวและคนแต่ละคนจะประกอบด้วยสองส่วน คือหนึ่ง จิตจักรวาลหรือจิตไร้สำนึกร่วมโดยรวมของจักรวาลที่กล่าวมาแล้ว กับสอง จิตสำนึกที่ผ่านการบริหารของสมองไปแล้ว แต่มนุษย์แต่ละคนนั้น ได้ตายไปแล้วมาเกิดใหม่ในภพภูมิที่มีสมอง เช่นในโลกมนุษย์อีก จิตสำนึกเก่าในชาติก่อน จะถูกสะสมเป็นจิตไร้สำนึกในชาติใหม่ที่มีสมองใหม่ในชาติใหม่ - ที่เรียกว่า “บารมี” - ซึ่งจะเกิดเป็นคนที่มีสมองที่พร้อมจะบริหารจิตไร้สำนึกให้เป็นจิตสำนึกตลอดเวลา จึงเป็นผู้ที่มีปัญญาหรือ “พรสวรรค์” ในรูปแบบต่างๆ
ไม่ถึงสามสี่ปีที่ผ่านมา ในเมืองนอกมีผลงานวิจัยใหม่ๆ โดยเฉพาะเรื่องจิตและสมอง หรือประสาทวิทยาศาสตร์จำนวนไม่น้อย ที่ต่างชี้บ่งไปในทางจิตไม่ใช่สมอง หรือสมองเป็นอวัยวะที่มีหน้าที่บริหารจิตไร้สำนึกให้เป็นจิตสำนึกเท่านั้น เช่น Amit Goswami: Creative Evolution, 2008 and 2007 Shift Reports, Mario Beauregard: The Spiritual Brain, Matthieu Recard: Personal Communication
กลุ่มจิตวิวัฒน์ก่อตัวมาราวเจ็ดปีแล้ว โดยมีเป้าหมายที่จะ “เร่ง” ให้มนุษย์มีวิวัฒนาการทางจิตที่ควบคุมพฤติกรรมหรือความประพฤติทั้งหลายของมนุษย์เรา แน่นอนที่สมาชิกของกลุ่มจะรู้ดี เช่นเดียวกับนักวิทยาศาสตร์และนักจิตวิทยาส่วนมากในปัจจุบันรู้ จากงานวิจัยมากหลายที่ชี้บ่งเช่นนั้นแทบจะเป็นเอกฉันท์ หมอประเวศ วะสี ผู้เป็นเสมือนประธานของกลุ่มบอกคล้ายๆ กับว่า วัตถุประสงค์คือการระดมความคิดของสมาชิกเพื่อหาทางสื่อให้ประชาชนในวงกว้างสนใจ และเร่งขบวนการวิวัฒนาการธรรมชาติของจิตให้มีจิตสำนึกใหม่หรือ “จิตใหญ่” จะได้ควบคุมความประพฤติของคนและสังคมไทย – ซึ่งในสายตาของหลายๆ คนคิดว่าในขณะนี้คนทั้งโลก รวมทั้งและโดยเฉพาะคนไทยและสังคมไทย - มีความเสื่อมสลายทางศีลธรรมและจริยธรรมลงไปกว่าแต่ก่อนมาก การแก้ไขวิกฤตอันใหญ่หลวงครั้งนี้ ไม่มีทางที่จะใช้มาตรการอะไรได้นอกจากจิตสำนึกของชาวโลกและชาวไทยเองเท่านั้น
บทความนี้มีความสำคัญมากสำหรับจักรวาล โลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทยเรา เพราะว่ามีถึง ๔ เรื่อง ที่ดูเผินๆ อาจจะไม่เกี่ยวกัน แต่ผู้เขียนเข้าใจว่าเกี่ยวกันและจัดมารวมกันเพื่อนำเสนอท่านผู้อ่านได้ช่วยพิจารณาว่า ถูกต้อง ชอบธรรม และควรปฏิบัติหรือไม่? ประการใด?
เรื่องที่หนึ่ง ชาวโลกประมาณหนึ่งในสาม ต่างรู้แล้วว่า กระบวนทัศน์ใหม่ทางสังคม (Alexander King’s Social Revolution ที่เยอรมัน Paul H. Ray’s Cultural Creative ที่อเมริกา ประเวศ วะสี คลื่นลูกที่สามแห่งสมัยรัตนโกสินทร์ ที่ประเทศไทย ประสาน ต่างใจ สู่มิติที่ห้า และ บุพนิมิตกระบวนทัศน์ใหม่ ประเทศไทยเหมือนกัน และ Jose Arguelles and Stephanie South’s Cosmic History ที่อเมริกา) นั่นคือวิวัฒนาการของจิตสู่จิตวิญญาณ และการย่างเท้าก้าวถึงยุคแห่งจิตวิญญาณ ในปี ค.ศ.๒๐๑๓ ไปแล้ว
เรื่องที่สอง นักการเมืองและนักเศรษฐกิจ นักธุรกิจ เพราะความเชื่อมั่นในวัตถุรูปธรรมและวิทยาศาสตร์กายภาพ จึงเป็นวัตถุนิยมอย่างไม่รู้ตัว หรือไม่มีความรู้ในเรื่องวิทยาศาสตร์ใหม่ หรือเป็นนักวิทยาศาสตร์แต่ติดตามวิทยาศาสตร์ใหม่ไม่พอ หรือไม่ได้พิจารณาอย่างลึกซึ้งว่า วิทยาศาสตร์ใหม่หรือฟิสิกส์แห่งยุคใหม่นั้นมีความสอดคล้องอย่างที่สุด โดยหลักการ กับศาสนาที่อุบัติขึ้นที่อินเดียและจีน เช่น ศาสนาพุทธหรือศาสนาเต๋า ซึ่งวิวัฒนาการของจิตสู่จิตวิญญาณ คือคนส่วนใหญ่ของโลก รวมทั้งนักวิทยาศาสตร์สังคม นักธุรกิจ นักการเมือง ฯลฯ เมื่อถึงยุคดังกล่าว โดยเฉพาะในประเทศไทยจะมีศีลธรรม คุณธรรม และจริยธรรมแทบทั้งสิ้น
เรื่องที่สาม นักคิดใหญ่ๆ พวกนิวเอจ รวมทั้งผู้เขียน ล้วนแล้วแต่ถือว่า กระบวนทัศน์ใหม่หรือการปฏิบัติเปลี่ยนแปลงรูปแบบทางสังคมใหม่ในครั้งนี้ คือวิวัฒนาการของจิตสู่จิตวิญญาณ หรือสู่ระดับที่สูงกว่า เช่นเดียวกับวิวัฒนาการทางกายจากหมา สู่ลิง และมนุษย์
ส่วนเรื่องสุดท้าย คือการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของระบบที่เป็นธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของระบบทุกระบบที่มีในจักรวาลแห่งนี้ โดยกฎของทฤษฎีไร้ระเบียบ เราคงต้องการตัวดึงดูดหรือตัวเร่งที่มีความสำคัญต่อการ “โผล่ปรากฏ” ของรูปแบบระบบใหม่ ตัวดึงดูดหรือตัวเร่งนี้ มีความสำคัญอย่างยิ่งกับทฤษฎีไร้ระเบียบ และเป็นกลไกธรรมชาติที่วิทยาศาสตร์ค้นพบ ตัวดึงดูดจะทำหน้าที่เร่งให้มีการเปลี่ยนแปลงโดยกฎข้อที่สองของเทอร์โมไดนามิกส์ ที่เป็นกฎของธรรมชาติที่วิทยาศาสตร์ค้นพบเช่นกัน จนไปถึงขอบของจุดแห่งทางสองแพร่ง (margin of chaos) ซึ่งทางสองแพร่งนี้ (bifurcation) จะนำสู่ความล่มสลายจบสิ้นของกระบวนทัศน์ “เก่า” และการ “โผล่ปรากฏ” (emergent) ของกระบวนทัศน์ใหม่ที่มีรูปแบบใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง การหาตัวดึงดูดที่ให้การเปลี่ยนแปลงที่แน่นอนและเหมาะสมจึง “สำคัญอย่างยิ่ง” คือจะต้องเป็นธรรมชาติหรือเป็นบุคคลที่มีบารมีสูง การโผล่ปรากฏกระบวนทัศน์ใหม่ทางจิต จึงจะมีวิวัฒนาการทางจิตสู่จิตวิญญาณขึ้นมาได้
เพราะฉะนั้น หัวเรื่องของบทความนี้ หมายความว่าโลกมนุษย์กำลังย่างเท้าเข้าสู่ยุคสมัยแห่งจิตวิญญาณ นั่นคือจะเป็นประวัติศาสตร์ของทั้งโลกเลย ผู้เขียนเชื่ออย่างยิ่งว่า ถึงเวลาที่มนุษยชาติจะได้ผ่านพ้นวัยเด็กหรือวัยรุ่นมาเป็นผู้ใหญ่เสียที เรามนุษย์โลกทั้งผองรวมทั้งในประเทศไทยที่กำลังแตกแยกอยู่ในขณะนี้ ซึ่งนับวันยิ่งซับซ้อนเป็นทวีคูณ เพราะว่าทุกคนจะมีความทุกข์ยิ่งกว่าเก่า – ที่ผู้เขียนคิดเอาเองว่า - ความทุกข์ที่มนุษย์ในยุค ๒,๕๐๐ ปีก่อน หรือยุคสมัยที่พระพุทธองค์ค้นพบและสอนเรื่องของ “ทุกขา” ซึ่งคิดว่าจะมีหลักการคล้ายๆ กัน เพราะว่าสังคมใหญ่และซับซ้อนมากขึ้นกับจำนวนประชากรของโลกที่มีมากขึ้นยิ่งนัก ความแตกแยกขัดแย้งของคนไทยกันเองหรือระหว่างประเทศ รวมทั้งมนุษย์โลกทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นยิวกับปาเลสไตน์ เกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ หรือระหว่างพวกสุดโต่งทางชาติ-ศาสนาที่แตกแยกกัน กระทั่งฆ่าแกงกัน ฯลฯ ทั้งหมดทำให้โลกมีความทุกข์มากขึ้นๆ โดยมองทางออกไม่เห็น
ผู้เขียนเชื่อว่ามีสาเหตุจากประชากรโลกที่มีมากขึ้นเร็วมากๆ หนึ่ง วิทยาศาสตร์กับเทคโนโลยีวัตถุนิยมกายภาพหนึ่ง และระบบเศรษฐกิจทุนนิยมการตลาดเสรีทำให้คนทั่วทั้งโลกเห็นแก่เงินมากยิ่งกว่าอื่นใดทั้งสิ้น อีกหนึ่ง ความแตกแยกกันหรือ “ทุกขา” เมื่อไล่ไปแล้วคือ เงิน จนกระทั่งทำให้ผู้เขียนเชื่ออย่างยิ่งว่าจิตจักรวาลคงจะลงโทษมนุษยชาติอย่างสาสม นั่นเป็นการมองในทางวิทยาศาสตร์ที่ไม่เดินเป็นเส้นตรง กับเหตุที่ก่อผลข้างล่างหรือข้างล่าง (downward causation) นั่นคือสิ่งที่นำทฤษฎีไร้ระเบียบ ทฤษฎีที่ไม่เคยผิดเลย ซึ่งผู้เขียนคิดว่าตรงกับพุทธศาสนาว่า “ตถตา” “มันเป็นเช่นนั้นเองง”
ผู้เขียนขอรับรองว่า ท้ายที่สุดแล้ว ธรรมชาติระดับบนหรือ “ธรรมชาติที่สุดของธรรมชาติ” โลกจะต้องมีรูปแบบของสังคมรูปแบบใหม่ หรือยุคสมัยจิตวิญญาณโลกานุวัตร “โผล่ปรากฏ” ออกมา (หลังจากผ่านพ้นทางสองแพร่งแล้ว) ซึ่งผู้เขียนเชื่อว่าระบบสังคมใหม่ซึ่งเป็นระบบแห่งจิตวิญญาณที่จะต้องเกิดขึ้น (noosphere) ซึ่งนักคิดนักปรัชญาหลายคน รวมทั้งปิแอร์ เตยา เดอ ชาดัง และศรีอรพินโท จะต้องเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ การเปลี่ยนแปลงทางจิตสู่จิตวิญญาณและยุคสมัยแห่งจิตวิญญาณโลกานุวัตร ต้องเกิดขึ้นและกระบวนทัศน์ใหม่จะต้องเกิดขึ้น เพราะว่าวัฏจักรของธรรมชาติ “เป็นไปเช่นนั้นของมันเอง”
อย่าลืมว่า อย่างดีความเคยชินหรือสามัญสำนึกที่ทำให้เราเชื่อมั่นในสิ่งหรือเรื่องใดๆ นั้น เพิ่งอยู่กับเราจริงๆ เพียงอย่างมากเมื่อเราตั้งหลักฐานบ้านช่องแล้ว หรือเมื่อ ๑๕,๐๐๐ ปีมานี้เอง แต่ธรรมชาติไม่ว่าระดับไหน อยู่กับโลกเรามาพร้อมๆ กับธรรมชาติด้านลบเพื่อรักษาดุลยภาพของโลกไว้ ผู้อ่านทุกคนที่ได้อ่านบทความนี้ ย่อมจะคิดออกว่า จักรวาลหรือโลกมนุษย์ เรามีทั้งรูปกับนาม หรือมีทั้งกายกับจิต เราคงจะคิดแต่เฉพาะสิ่งที่ตาเรามองเห็นหรือที่เรารับรู้ไม่ได้ เพราะย่อมมีสิ่งที่มองไม่เห็น ไม่มีทางเห็นไม่ว่าจะขยายอย่างไร เหมือนกลางวันที่สว่างจ้า กับกลางคืนที่มืดมิด ธรรมชาติจะต้องมีอยู่คู่กันเสมอ ถ้าหากว่ากายมีวิวัฒนาการทางรูปกายได้ จิตย่อมต้องมีวิวัฒนาการได้ มนุษย์เราไม่ได้เป็นเช่นปัจจุบันเป็นแสนเป็นหมื่นปีเสียเมื่อไหร่? ทุกวันนี้ เหลียวไปมองประเทศไหนจะมีผู้แสวงหาการอยู่รอดและความจริงที่แท้อยู่ทุกหัวระแหง รวมทั้งที่บ้านเรา มีคนเข้าวัด ปฏิบัติศาสนาทำสมาธิ หรือเข้าป่าแสวงหาธรรมชาติกันมากขึ้น
ในทางอ้อม มนุษย์เราเริ่มรู้ว่าเราอยู่กับมายาแสงสีและความไม่จริงมาตลอดตั้งแต่ต้นเลย กลุ่มจิตวิวัฒน์และการเตรียมพร้อมเพื่อยุคสมัยจิตวิญญาณโลกานุวัตร ซึ่งในบ้านเราจะเริ่มมาถึงภายในสองหรือสามปีนี้ ก็เพื่อการณ์นั้น
แสดงความคิดเห็น