มหาอุทกภัยสร้างจิตสำนึกใหม่



โดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 5 พฤศจิกายน 2554

คอลัมน์จิตวิวัฒน์มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมจิตสำนึกใหม่ (New Consciousness) หรือจิตใหญ่ ผู้เขียนหลายท่านได้พูดถึงวิกฤตใหญ่ของมนุษยชาติหรือวิกฤตของโลกทั้งใบ บางท่านได้พูดถึงคำพยากรณ์ว่า โลกาวินาศที่จะเกิดขึ้นในปีนั้นปีนี้ ตามสถิติ ภัยพิบัติทางธรรมชาติเกิดมากขึ้นและถี่ขึ้น เช่น พายุรุนแรง แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด ฝนตกหนัก น้ำท่วมฉับพลัน ในขณะที่บางที่บางเวลาก็แห้งแล้งและมีไฟป่าลุกลาม ทั้งหมดนี้จะนำไปสู่การขาดแคลนอาหาร โรคระบาด การขัดแย้งแย่งชิง สงคราม และการเสียชีวิตของคนจำนวนมาก

มหาอุทกภัย ๒๕๕๔ ได้ก่อความเสียหายทุกๆ ทาง และความทุกข์ยากแสนสาหัสแก่คนไทยจำนวนมากอย่างไม่เคยมีมาก่อน มวลความทุกข์มหึมาของคนทั้งชาติจะมาสั่นคลอนโลกทรรศน์ วิธีคิด และจิตสำนึกเก่าๆ ที่หมักหมมมานาน

ทุกคนได้ตระหนักว่า อำนาจของธรรมชาติยิ่งใหญ่ที่สุด เกินอำนาจอื่นใด ไม่ว่าจะเป็นอำนาจรัฐ อำนาจการเมือง อำนาจเงิน อำนาจความรู้ หรือแม้อำนาจของเทวดา อำนาจเหล่านี้ดูจิ๊บจ๊อยไปเมื่อเทียบกับอำนาจของธรรมชาติ และไม่สามารถเอาชนะกฎของธรรมชาติได้

เราจึงควรเรียนรู้ให้เข้าใจธรรมชาติ กฎของธรรมชาติ และปฏิบัติตามกฎของธรรมชาติ

ธรรมชาติของสรรพสิ่งล้วนเกี่ยวข้องสัมพันธ์ ไม่มีอะไรอยู่โดดๆ แบบแยกส่วน

ความสัมพันธ์ที่ถูกต้องนำไปสู่ความสมดุล

ความสมดุลคือความลงตัว ความสงบ ความไม่รุนแรง

ถ้าธรรมชาติเสียสมดุล ก็จะพยายามปรับไปสู่สมดุล การปรับไปหาสมดุลใหม่เกิดเป็นความรุนแรงขึ้น เช่น พายุ แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด อุทกภัย สงคราม

การอยู่ร่วมกันอย่างสมดุล ระหว่างคนกับคนและระหว่างคนกับสิ่งแวดล้อม ควรเป็นเป้าหมายสูงสุดของมนุษยชาติ

แต่ที่ผ่านมา เราเอาอย่างอื่นเป็นเป้าหมาย เช่น กำไรสูงสุด อำนาจสูงสุดของตน ของพรรคของพวก ของประเทศ ของกลุ่มประเทศ หรือแม้แต่เอาความรู้และทฤษฎีต่างๆ เป็นตัวตั้ง ที่ไม่ใช่การอยู่ร่วมกันอย่างสมดุล เมื่อไม่เอาการอยู่ร่วมกันอย่างสมดุลเป็นตัวตั้ง โลกก็ขาดสมดุล โลกที่ขาดสมดุลจึงรุนแรงและไม่ยั่งยืน นี่เป็นกฎของธรรมชาติที่ตรงไปตรงมาและเที่ยงตรงที่สุด

การที่มนุษย์เอาอย่างอื่นเป็นตัวตั้ง ไม่เอาการอยู่ร่วมกันอย่างสมดุลเป็นตัวตั้งก็เพราะมีจิตเล็ก ไม่เห็นทั้งหมด เห็นแบบแยกส่วน และเอาตัวเองเป็นตัวตั้งอย่างคับแคบ

จิตสำนึกใหม่คือจิตใหญ่ ที่เห็นว่ามนุษย์และธรรมชาติทั้งหมดเป็นหนึ่งเดียวกัน

เมื่อทั้งหมดเป็นหนึ่งเดียวกัน จึงควรอยู่ร่วมกันอย่างสมดุล

ศาสนาต่างๆ ล้วนสอนให้ลดความเห็นแก่ตัว ถ้ามีความเห็นแก่ตัวน้อย ก็เห็นแก่ทั้งหมดได้มากขึ้น แต่ในช่วง ๓๐๐ ปีที่ผ่านมา เพราะการค้นพบความรู้ทางวิทยาศาสตร์อันทรงอำนาจ มนุษย์เกิดอหังการว่าตัวมีอำนาจเหนือธรรมชาติ ได้ทำการต่างๆ ที่รบกวนสมดุลของธรรมชาติ เมื่อธรรมชาติเสียสมดุล ก็เกิดภัยพิบัติรุนแรงเหนือการควบคุมของมนุษย์

๓๐๐ ปีเป็นเวลานานพอที่จะกำหนดโลกทัศน์ วิธีคิด และจิตสำนึกของมนุษย์หมดทั้งโลกให้อยู่ในโมหภูมิ หรือภูมิที่หลงไป หรือจะเรียกว่าอยู่ในความโง่เขลาหรืออวิชชาก็ได้ โมหภูมินี่หนาแน่นมาก จนไม่มีมนุษย์หรือครูบาอาจารย์ไม่ว่าจะเก่งเพียงใด ที่สามารถสอนให้มนุษย์ออกมาจากภพภูมิแห่งอวิชชาได้

ธรรมชาติเป็นครูที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

ธรรมชาติจะเข้ามาสอนมนุษย์ในสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถสอนกันเองได้

มหาภัยพิบัติทางธรรมชาติกวาดล้างทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ใช่เฉพาะวัตถุสิ่งของต่างๆ เท่านั้น แต่กวาดล้างโลกทัศน์ วิธีคิด และจิตสำนึกเก่าๆ ออกไปด้วย

ท่ามกลางหายนภัยอันยิ่งใหญ่ สิ่งที่มีคุณค่าที่สุดมีอยู่อย่างเดียวเท่านั้น คือน้ำใจของเพื่อนมนุษย์ที่มีต่อกัน

คลื่นน้ำใจ ใหญ่กว่าคลื่นน้ำท่วม

การร่วมทุกข์ การพยายามช่วยเหลือ ไม่ทอดทิ้งกัน ทำให้ผู้คนมีกำลังใจ และเห็นว่าทุกข์เท่าใดก็พอทนได้ถ้าคนไทยไม่ทอดทิ้งกัน จะเห็นได้ว่าการสื่อสารสาธารณะในช่วงนี้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง แสดงให้เห็นว่าโลกทัศน์ วิธีคิด จิตสำนึก เปลี่ยนไปจากเดิม อย่างน้อยก็ในช่วงนี้ กล่าวคือ พื้นที่ของการสื่อสารเต็มไปด้วยเรื่องความทุกข์และเรื่องน้ำใจที่ผู้คนมีต่อกัน ถ้าใครยังสื่อสารเพื่อตัวเองหรือเพื่อการเมืองของตัวเอง จะได้รับความรังเกียจ คนทั้งหมดเห็นคุณค่าของการที่เราเป็นสังคมที่คนไทยไม่ทอดทิ้งกัน

การที่คิดถึงคนทั้งหมด การที่คิดถึงการไม่ทอดทิ้งกัน คือจิตใหญ่

การเห็นแก่เงิน การเห็นแก่อำนาจของตัว การเอาความเห็นของตัวเป็นใหญ่คือจิตเล็ก

ที่แล้วมา การเห็นแก่เงิน การเห็นแก่ยศฐาบรรดาศักดิ์และอำนาจของตัว การเอาความเห็นของตัวเป็นใหญ่ ก่อให้เกิดสังคมที่คนไทยทอดทิ้งกัน ขาดความเป็นธรรม การแย่งชิงและทำลายธรรมชาติแวดล้อม ความขัดแย้ง ความรุนแรงประเภทต่างๆ รวมทั้งความรุนแรงทางการเมืองที่เพื่อนคนไทยต้องเสียชีวิตลงอย่างเอน็จอนาถ และปริ่มๆ จะเข้าไปสู่มิคสัญญีกลียุค

คนไทยควรจะเห็นกันว่า การมีจิตเล็กนำไปสู่ความเสียหายร้ายแรงเพียงใด

อุดมการณ์ทางการเมือง การแบ่งข้างแบ่งขั้ว ไม่ว่าจะมีเหตุผลมารองรับอย่างวิเศษเพียงใด ก็ยังเป็นจิตเล็ก ถ้าเทียบกับอุดมการณ์ที่ใหญ่กว่านั้น

อุดมการณ์ที่ใหญ่ที่สุด คือการอยู่ร่วมกันอย่างสมดุลระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ และระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติแวดล้อม

อุดมการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจต่างๆ ที่ผ่านมา ถ้าไม่ถือการอยู่ร่วมกันอย่างสมดุลเป็นตัวตั้งแล้วไซร้ ล้วนนำไปสู่การเสียสมดุล ความไม่ยั่งยืน และความรุนแรง

หายนภัยต่างๆ ในโลกที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จะก่อให้เกิดการทำลายเหลือคณานับ แต่ขณะเดียวกัน จะมาเขย่าและสั่นคลอนมนุษยชาติให้ออกจากจิตสำนึกเดิมซึ่งเป็นจิตเล็ก ไปสู่การมีจิตสำนึกใหม่หรือการมีจิตใหญ่ ที่เข้าถึงความเป็นทั้งหมด ว่าทั้งหมดคือหนึ่งเดียวกัน (The Same Oneness) การอยู่ร่วมกันอย่างสมดุลต้องเป็นเป้าหมายสูงสุดของมนุษยชาติ

ระบบสังคม เศรษฐกิจ การเมือง การศึกษา ต้องปรับตัวใหม่เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสมดุลระหว่างมนุษย์กับมนุษย์และระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ

เรื่องที่คนไทยควรเรียนรู้มาตั้งนานแล้ว แต่ได้มาเรียนรู้ใหญ่ในคราวนี้ คือเรื่องประโยชน์ของความเป็นชุมชนเข้มแข็ง ถ้าอยู่แบบตัวใครตัวมันก็จะเผชิญกับภัยพิบัติรุนแรงได้ยาก แต่ถ้ามีการรวมตัวกัน ช่วยเหลือพึ่งพิงกัน ทำให้เผชิญภัยพิบัติได้ดีกว่า และฟื้นตัวได้ดีกว่า ผู้รู้ได้พยายามบอกเตือนมานานแล้วว่า “ชุมชนเข้มแข็ง” คือคำตอบ ชุมชนคือระบบชีวิตร่วมกันเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสมดุล ทั้งระหว่างคนกับคนและระหว่างคนกับสิ่งแวดล้อม เพราะความสมดุล วิถีชุมชนจึงมีความยั่งยืนมานับหมื่นปี

วิถีชีวิตชุมชนมาพังทลายลงเพราะอำนาจของอวิชชา ที่มาในรูปของอำนาจรัฐ อำนาจเงิน และอำนาจความรู้ที่ไม่รู้ (เรื่องวิถีชีวิตที่สมดุล) จึงเกิดสภาพการทอดทิ้งกัน ทั้งระหว่างคนกับคนและระหว่างคนกับสิ่งแวดล้อม เกิดภัยพิบัติและหายนภัยมากขึ้นๆ ทุกๆ ทางอย่างที่ปรากฏ อวิชชาทำลายโลกได้เห็นปานนี้

การอยู่ร่วมกันอย่างสมดุลต้องเริ่มที่ชุมชน

ชุมชนมีขนาดเล็กพอที่จะเกิดความถูกต้องได้ง่าย เซลล์เป็นหน่วยพื้นฐานของระบบร่างกายที่มีความซับซ้อนมากฉันใด ชุมชนก็เปรียบประดุจหน่วยพื้นฐานของสังคมที่มีขนาดใหญ่และซับซ้อน

ระบบที่ใหญ่และซับซ้อนจะมีความถูกต้องได้ ต่อเมื่อเกิดมาจากหน่วยเล็กที่มีความถูกต้อง
ร่างกายมนุษย์ซึ่งซับซ้อนสุดประมาณจึงเกิดมาจากเซลล์เซลล์เดียวที่มีความถูกต้อง

ไม่มีใครที่ไหนสามารถเสกความซับซ้อนขึ้นมาทันทีทันใด โดยไม่มีหน่วยพื้นฐานที่ถูกต้อง

สังคมต้องประกอบด้วยชุมชน ซึ่งเป็นระบบการอยู่ร่วมกันอย่างสมดุล ถักทอกันขึ้นมาเป็นลำดับ ไม่มีใครสามารถเสกประเทศไทยให้เป็นสังคมศานติสุขได้จากข้างบน ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลสมบูรณาญาสิทธิราชย์ รัฐบาลทหาร รัฐบาลพ่อค้า ล้วนทำไม่ได้ทั้งสิ้น ภัยพิบัติรุนแรงจะบอกคนไทยว่า ไม่มีรัฐบาลพรรคใดๆ จะมีน้ำยาพอที่จะแก้ปัญหาได้ ไม่คุ้มที่คนไทยจะไปฆ่ากันตายเพราะพรรคใดๆ หรือคนใดคนหนึ่ง เราต้องการจิตใหญ่กว่านั้น

จิตที่เห็นมนุษย์และธรรมชาติทั้งหมดเป็นหนึ่งเดียวกัน

เมื่อจิตบรรลุความเป็นหนึ่งเดียวกัน จะเป็นอิสระ หลุดพ้นจากความบีบคั้นของความคับแคบในตัวเอง มีความสุขท่วมท้น ประสบความงามอันล้นเหลือ มีความรักอันไพศาลต่อเพื่อนมนุษย์และธรรมชาติทั้งหมด เป็นไปเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสมดุลและศานติ

นี้คือวัตถุประสงค์ของคอลัมน์ “จิตวิวัฒน์” ในหนังสือพิมพ์มติชนที่มีมาตั้งแต่ต้น หวังว่าภัยพิบัติอย่างใหญ่หลวงจากมหาอุทกภัย ๒๕๕๔ จะไม่ได้มีแต่ด้านทำลายเท่านั้น แต่มีด้านที่สร้างสรรค์ด้วย ความสร้างสรรค์ที่ใหญ่ที่สุดคือสร้างสรรค์จิตสำนึกใหม่ อันจะทำให้เพื่อนคนไทยทั้งมวลมีความสวัสดี

Back to Top