ประชุมทำไม



โดย นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 16 มิถุนายน 2555

บ้านเรามีการประชุมจำนวนมากเกิดขึ้นทุกวัน จนกระทั่งเป็นที่น่าสงสัยว่าการประชุมส่วนใหญ่ทำให้คนทำงานเสียเวลาทำงานตรงหน้าโดยไม่จำเป็นเสียมากกว่า

การประชุมกลุ่มส่วนใหญ่เป็นการประชุมระดมสมอง อย่างที่เรียกว่า brain storming นั่นคือให้บุคลากรมาระดมของที่มีอยู่ในสมอง คือ ความคิด ความเห็น หรือข้อเสนอแนะ แต่บางครั้งก็อดไม่ได้ที่จะเสริมคำบ่น แย่กว่านี้คือคำต่อว่า แย่ที่สุดคือคำด่า

ความคิด หมายถึง กรอบความคิดหรือความคิดสำเร็จรูป การประชุมระดมความคิดเป็นการประชุมที่ดีหากที่ประชุมมีเสรีภาพที่จะให้ระดมความคิดอย่างเปิดกว้างและไม่เป็นภัย จะเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่าการต่อยอดทางปัญญา หมายความว่าตอนที่เริ่มเปิดประชุมแต่ละคนมีความคิดชุดหนึ่ง ระหว่างประชุมจะเกิดความคิดใหม่ๆ และหลังประชุมจะเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่าทุกคนและองค์กรมีปัญญา (wisdom) สูงขึ้นอีกระดับหนึ่ง กลับไปทำงานด้วยวิธีใหม่ที่ชาญฉลาดและได้ผลมากกว่าเดิม

แต่การประชุมระดมสมองในประเทศไทย โดยเฉพาะในระบบราชการมักมีปัญหา สาเหตุเพราะประเทศไทยมีชั้นอำนาจมาก ผู้น้อยไม่กล้าระดมสมอง ผู้ที่ระดมสมองก็มักได้รับบทเรียนหรือเรียนรู้ว่าเงียบไว้ปลอดภัยกว่า ผู้บริหารมักมีคำตอบในใจแล้วจึงทำให้การประชุมไร้ความหมาย การจัดกระบวนการกลุ่มประเภทให้บุคลากรระบายความในใจก็ประสบชะตากรรมเดียวกัน นั่นคือระบายแล้วก็แล้วไป ทั้งหมดนี้ทำให้การระดมสมองหรือระดมความคิดไม่เกิดผลอะไรมากนักในประเทศไทย

การระดมความเห็นโดยไม่มีข้อมูล เป็นที่ทราบว่าไม่มีประโยชน์เช่นกัน

การให้ข้อเสนอแนะที่ไม่เหมาะสมกับบริบทของคนทำงาน มักส่งผลให้คนทำงานทำท่าฟังไปเช่นนั้นเอง เพราะรู้ว่าเป็นข้อเสนอแนะประเภทเอาแต่ใจตัวคนเสนอแนะ คนเสนอมิใช่คนทำ

คำบ่น คำด่า มีประโยชน์ในแง่การระบาย แต่ไม่มีประโยชน์ต่อการพัฒนาปัญญา

การจัดกระบวนการที่เปิดโอกาสให้บุคลากรได้เล่า “วิธีทำงานของตนเอง” เป็นการประชุมอีกลักษณะหนึ่ง แตกต่างจากการประชุมระดมสมองอย่างสิ้นเชิง

หลักการคือทำให้บุคลากรรู้สึกภาคภูมิใจกับงานที่ตนเองทำอยู่ทุกวัน ดังนั้นเรื่องเล่าจึงควรเป็นเรื่องเล่าความสำเร็จ หากเป็นคุณหมอหรือพยาบาลอาจจะเล่าเรื่องที่ตนเองได้ช่วยเหลือผู้ป่วยคนหนึ่งอย่างดีที่สุด ทั้งทางร่างกาย จิตใจ ครอบครัว แม้กระทั่งด้านจิตวิญญาณ หากเป็นคุณครูอาจจะเล่าเรื่องที่ตนเองช่วยเหลือนักเรียนคนหนึ่งให้หยุดยาเสพติดและผลการเรียนดีขึ้น วิธีคือเตรียมเรื่องเล่าให้ดี เตรียมกลุ่มที่สนใจเรื่องราวคล้ายกันมาเป็นผู้ฟังและจะเป็นผู้เล่าในลำดับถัดไปด้วย

พูดง่ายๆ ว่านี่คือวงประชุมที่มีผู้เล่าและผู้ฟัง การฟังอย่างที่เรียกว่าตั้งใจฟังหรือฟังอย่างลึกซึ้ง(deep listening) เป็นทักษะสำคัญที่ผู้เข้าร่วมกลุ่มจะได้ฝึก

ผลจากการแลกเปลี่ยนเรื่องเล่าที่ดีจะทำให้เกิดปรากฏการณ์สองอย่าง หนึ่งคือ “แลกเปลี่ยนเรียนรู้” สองคือ “พัฒนาจิต”

แลกเปลี่ยนเรียนรู้หมายความว่า ผู้เล่าและผู้ฟังได้แลกเปลี่ยนวิธีทำงาน และได้เรียนรู้ซึ่งกันและกันจากทักษะตั้งใจฟังอย่างลึกซึ้ง ทำให้ทุกคนได้ความรู้ใหม่กลับไปทำงานของตน ที่ดีกว่าคือเป็นความรู้ใหม่ที่เหมาะสมกับบริบทขององค์กรและหน่วยงานของตนเอง ไม่มีใครบีบบังคับให้ฟังหรือสั่งการ แต่เป็นความรู้ที่เกิดขึ้นเองจากการตั้งใจฟัง ระหว่างประชุมผู้เข้ากลุ่มทุกคนจะได้พูดว่า “ตนเองเรียนรู้อะไร” การพูดออกมาว่าตนเองเรียนรู้อะไรเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการที่เรียกว่าการสะท้อน (reflection) นำไปสู่ปรากฏการณ์ที่สองคือ “พัฒนาจิต”

พัฒนาจิตเป็นคำกว้างๆ หมายรวมตั้งแต่คนทำงานภูมิใจในงานของตนเอง เห็นคุณค่าของงานที่ตนเองทำ นำไปสู่คุณค่าของตนเอง นำไปสู่คุณค่าของงาน นำไปสู่คุณค่าของอาชีพหรือวิชาชีพ นำไปสู่ความรู้สึกเป็นสุขกับการทำงาน สนุกกับการทำงาน ไม่เหนื่อยง่าย ไม่เบื่องาน ตัวกระบวนการกลุ่มเหนี่ยวนำให้เกิดเสรีภาพในการพูดและการฟัง เพราะเรื่องที่พูดมิใช่เรื่องของคนอื่น มิได้วิพากษ์วิจารณ์ใครหรืออะไร แต่เป็นเรื่องเล่าการทำงานของตนเองล้วนๆ ส่วนผู้ฟังอย่างตั้งใจมีโอกาสเจริญสติระหว่างการฟังโดยไม่รู้ตัว เหล่านี้ทำให้ผู้เล่าและผู้ฟังได้เรียนรู้จักใจตนเอง มีการพัฒนาจากภายใน มีการพัฒนาจิต มากกว่านี้คือพัฒนาทางจิตวิญญาณ

จะเห็นว่าสิ่งที่ได้จากการประชุมแบบนี้แตกต่างจากการประชุมระดมสมองที่ไม่มีเสรีภาพจริงๆ ให้ระดม การประชุมที่ไม่มีเสรีภาพมักทำให้เกิดผลตรงข้ามกับที่ว่ามา คือ ทำให้เหนื่อยหน่าย รู้สึกว่างานประจำเป็นภาระ ไม่เห็นคุณค่าของงาน ไม่เห็นคุณค่าของตนเอง หลงลืมอุดมการณ์ทางวิชาชีพของตนเอง ท้อแท้ง่าย และหมดไฟเร็ว

การประชุมที่เปิดโอกาสให้เล่าเรื่องการทำงานที่ได้ผลดีและการตั้งใจฟังอย่างลึกซึ้ง มีเนื้อหาที่อิงกับการทำงานของคนทุกคน เป็นประสบการณ์ตรง มิได้อิงกับเรื่องอื่นใด หากจัดกระบวนการดีๆ สามารถแปลงเรื่องเล่ากลายเป็นปัญญา

การประชุมที่ดีควรช่วยให้บุคลากรค้นพบตนเอง สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และได้รับความสุขทางปัญญา (spiritual health) พบว่าตนเองเป็นบุคคลมีศักยภาพที่จะสร้างนวัตกรรม (innovation) หรือคิดค้นวิธีทำงานใหม่ๆ ในการทำงานประจำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิม

การพัฒนามนุษย์ที่มีค่าสูงคือพัฒนาปัญญา

Back to Top