โดย
ศรชัย ฉัตรวิริยะชัย
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 24 มกราคม 2558
ในแต่ละวินาทีผู้คนทั่วโลกอัพสเตตัสในเฟซบุ๊ก โซเชียลมีเดียที่ใหญ่ที่สุดในโลกถึง ๕,๐๐๐ เรื่องราว (มิติของ ‘THEY’) แต่นั่นยังเป็นจำนวนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนครั้งที่นิวรอนในสมองยิงสัญญาณไฟฟ้าเข้าหากัน (อย่างน้อยหนึ่งร้อยล้านล้านครั้ง)
สัญญาณนิวรอนในสมองเป็นการมองในมิติ “IT” สำหรับ เคน วิลเบอร์ (Ken Wilber) ส่วนจิตสำนึก (Consciousness) ซึ่งคือมิติของ “I” แหล่งอ้างอิงทางพุทธศาสนาระบุเอาไว้ว่า ในเวลาอึดใจเดียว “จิต” เกิดดับไปแล้วถึงหนึ่งล้านล้านดวง
ในมิติของ “US” ซึ่งหมายถึง “พวกเรา” ในแต่ละวัน พวกเราต่างยิงถล่มกันด้วยความคิดจากจิตสำนึกของเราซึ่งถูกถ่ายทอดผ่านภาษาลงสู่โครงสร้างทางดิจิตอล คือโซเชียลมีเดียอันทันสมัย และเข้าถึงได้ทุกที่ ไม่เคยมีครั้งไหนในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ที่ความคิดของปัจเจกบุคคลจะถูกเข้าถึงและถูกถ่ายทอดให้แก่กันได้ง่ายดายเช่นนี้
แต่ถ้าหากอ่านในกระดานข่าว (News Feed) ของเฟซบุ๊ก หรือเรื่องราวที่ผู้คนส่งต่อให้กันในไลน์ ผมพบว่าเรากำลังแบ่งปันเรื่องราวขี้หมูราขี้หมาแห้ง ซึ่งไม่เป็นประโยชน์ต่อชีวิตของใคร เช่น หมาป่วย แมวไม่รัก ไอ้ตูบถูกรถชน อีเชอรี่ถูกหมาข้างบ้านกัด ฯลฯ พวกเขาจะรู้ไหมว่า ข้อความสัพเพเหระเหล่านี้ถูกส่งผ่านโครงข่ายใยแก้วดิจิตอลราคาสูงพอจะเลี้ยงเด็กขาดอาหารได้ทั้งโลก
เฮนรี เดวิด ทอโร ผู้สนใจวิถีธรรมชาติ ผู้แต่งหนังสือ วอลเดน ได้กล่าวไว้ในปี ค.ศ. ๑๘๔๙ ว่า “พวกเรารีบร้อนที่จะสร้างเสาโทรเลขจากรัฐเมน ไปรัฐเท็กซัส แต่ผมยังสงสัยว่าระหว่างรัฐเมน กับเท็กซัส จะมีอะไรสลักสำคัญนักหนาต้องสื่อสารกัน?”
เช่นเดียวกัน เราอยู่บนโครงข่าย 3G แล้วต่อไปจะเป็น 4G หรือ 5G แต่สิ่งที่เราสื่อสารกันมันยังอยู่ที่ 1G ซึ่งหนึ่งจีที่ผมพูดถึงก็คือขยะครับ ขยะดิจิตอลดีๆ นี่เอง พวกเราแต่ละคนสร้างเนื้อหากันเองไม่ได้ ต้องรอให้ใครที่ไหนไม่รู้ เขียนข้อความเก๋ๆ ซึ่งเอามาจากเศษซากของความรู้ที่หมุนเวียนกันไปไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง คล้ายกับชิ้นเนื้อหมูเสียๆ ซึ่งโรงงานห้องแถวของจีนเอามาแปรรูปเป็นหมูแผ่นเพื่อหลอกขายนักท่องเที่ยว
ขยะทางความคิดเหล่านี้ได้ถูกรีไซเคิลมาและน่าตกใจมากที่พบว่า สุดท้ายมันมาปรากฏในกระดานข่าวของเรา ซึ่งว่าแย่แล้ว แต่ก็ยังน่าตกใจกว่านั้น เมื่อพบว่าคนจำนวนมากได้รับเอาขยะเหล่านั้นมาเล่นซ้ำใน Mind Feed ของเขา ด้วยอัตราที่มากกว่าเฟซบุ๊กหลายเท่า
Mind Feed คืออะไร ก็คือความคิดที่อัพเดตตัวเองตลอดเวลา มันคือความคิดที่ไหลไปอย่างไม่มีวันสิ้นสุด เกิดจากจิตของเราที่ติดตามเรื่องราวที่เข้ามากระทบ อาจารย์ของผมท่านหนึ่งกล่าวว่า “ลำพังจิตมันคิดเองไม่ได้ มันต้องมีเรื่องราวเข้ามากระทบ แล้วจิตจะติดตามเรื่องราวไป จึงเรียกว่าจิตคิด”
Mind Feed ของเราเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องให้ความใส่ใจ เพราะมันคือตัวบงการชีวิตเรา สั่งให้เราทำนั่นทำนี่ ทำให้เราหวั่นไหวไปกับอำนาจของมัน เพราะรู้จุดอ่อนของเรา จึงหาเหตุผลมาประกอบการตัดสินใจของเราได้เสมอ ไม่ว่าเราจะทำหรือไม่ทำอะไรสักอย่างหนึ่ง การตกภายใต้อำนาจของมันจึงเป็นการตกอยู่ในอำนาจของอัตตาตัวตน (Self-righteous Ego) คุณจะไม่มีทางเรียนรู้หรือพัฒนาตัวเองได้ ต่อให้คุณเข้าคอร์สพัฒนาตนเอง พัฒนาจิตอะไรทั้งหลายทั้งปวงสักกี่คอร์สก็ตาม เพราะไอ้ตัวที่เข้าไปเรียนรู้ก็คือ “Ego” ที่พร้อมจะลูบหัวลูบหางตัวเองและรอให้คนอื่นมาลูบล้วนๆ
ผมเบื่อหน่ายคนที่ชอบพูดว่า ทำเพื่อสังคม ทำเพราะ “ไม่มีอัตตา” เพราะแค่พูดว่าตัวเองไม่มีอัตตา ก็อัตตามาเต็มแล้ว ดังนั้นยอมรับมันก่อน ยอมรับว่าเรามีอัตตา ยอมรับว่าเราทำอะไรไปด้วยความอยากที่จะสนองความต้องการของตัวเองเสียก่อน ชีวิตคุณจะสบายไปหนึ่งเปลาะ (ถ้าใครคิดว่าตัวเองไม่มีอัตตา ส่งเงินมาให้ผมสักล้านหนึ่งเดี๋ยวนี้ ขอเลขที่บัญชีจาก บ.ก.)
ต่อมาเมื่อเข้าใจถูกต้องเกี่ยวกับแรงจูงใจของชีวิตตัวเองแล้ว เราต้องหาทางเป็นอิสระจาก Mind Feed ให้ได้ ไม่อย่างนั้นมันเล่นงานเราไม่หยุดแน่ วิธีออกจาก Mind Feed นั้นไม่ยาก เพราะอาศัยความเข้าใจว่ามันทำงานอย่างไร มันทำงานผ่าน “ภาษา” ดังนั้นเราจะต้องพาตัวเองออกจาก “ภาษา” ให้ได้เสียก่อน
การพาตัวเองออกจากภาษา ก็คือการ “ออกจากความคิด” เพราะความคิดต้องใช้ภาษา ถ้าเราออกจากภาษา ความคิดก็ทำงานไม่ได้ Mind Feed จะหยุด อิสรภาพของเราจะเกิดทันที แน่นอนว่าเราออกมาแบบถาวรไม่ได้ เพราะคนเราถ้ายังไม่ตายก็ยังต้องมีความคิดอยู่ แต่เราสามารถออกจากความคิดได้เป็น “ครั้งคราว” แค่นี้ก็ถือว่าทำให้กระแสความคิด (Train of Thought) ของเราหยุดลงได้บ้าง Mind Feed ของเราก็จะหยุดอัพเดตตัวเอง และช่วงนั้นเราจะมีอิสระที่จะสร้างสรรค์ ชีวิตของเราให้หลุดออกจากความคุ้นชินเดิมๆ ได้ อย่าดูถูกชั่วขณะแห่งการหยุด Mind Feed นะครับ เพราะนวัตกรรมของทั้งโลกเกิดขึ้นมาได้เพราะแบบนี้
ลองคิดดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าโธมัส แอลวา เอดิสัน ต้องมาคอยอัพเดตสเตตัสทุกๆ สองชั่วโมง โลกของเราอาจจะอยู่ในความมืดจนถึงทุกวันนี้เพราะไม่มีหลอดไฟใช้
ผมพูดเล่นเรื่องหลอดไฟหรอกนะ แต่ผมไม่ได้พูดเล่นเรื่องการปรับเปลี่ยนองศาชีวิตของคุณเอง สำหรับวิธีการ “ออกจากความคิด” ทำอย่างไร ผมมีงานค้นคว้าวิจัยที่ได้ทำมาอย่างต่อเนื่องถึงห้าปีแล้ว มีผู้คนนำไปใช้ได้ผลและเขียนเป็นกรณีตัวอย่าง (Testimonial) ให้ผม ซึ่งผมได้รวบรวมเอาไว้เผยแพร่บนอินเทอร์เน็ตโดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ท่านผู้สนใจ โปรดค้นหาได้ที่ใน Google Play Store พิมพ์คำว่า “ตกตั้งใหม่” หรือเข้าไปที่ www.makuikan.com
แสดงความคิดเห็น