ความอ่อนโยนต่อชีวิต และความอ่อนน้อมต่อธรรมชาติ

โดย ดร.นพ.โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 19 มิถุนายน 2547

มนุษย์ในทุกวัฒนธรรมมีความพยายามที่จะทำความเข้าใจและอธิบายการดำรงอยู่ของสรรพสิ่ง ทฤษฎีต่าง ๆ เกี่ยวกับโลกและจักรวาลจึงถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้อธิบายว่าสรรพสิ่งมีความเป็นมาอย่างไร ดำรงความเป็นอยู่ด้วยกฎเกณฑ์อะไร และจะมีความเป็นไปอย่างไรในอนาคต สังคมต่างวัฒนธรรมมักมีวิธีคิดที่ใช้อธิบายจักรวาล (หรือที่เรียกว่า จักรวาลวิทยา) แตกต่างกัน

บางวัฒนธรรมถือว่าโลกและจักรภพมีกำเนิดมาจากพระผู้สร้าง

ซึ่งอาจเรียกขานต่าง ๆ กันไปในนามของ พระเจ้า พระพรหม หรือ พญาแถน

ในขณะที่บางวัฒนธรรมความคิดอธิบายว่าโลกและจักรภพนั้นเกิดจากการระเบิดครั้งใหญ่ที่เรียกกันว่า บิ๊กแบง (Big Bang)

ทฤษฎีเกี่ยวกับจักรวาลหรือจักรวาลวิทยาที่แตกต่างกันเหล่านี้ อธิบายกฎเกณฑ์การดำรงอยู่ของโลกและจักรวาลไม่เหมือนกัน บ้างถือว่าสรรพสิ่งเป็นไปตามเจตจำนงของพระผู้เป็นเจ้า บ้างว่าสรรพสิ่งเป็นไปตามกรรม บ้างก็ว่าผีหรืออำนาจศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้กำหนดให้สิ่งต่าง ๆ เป็นไปอย่างที่มันเป็น

ทัศนะเกี่ยวกับจักรวาลนี้ หากดูเผิน ๆ อาจเห็นเป็นเรื่องไกลตัวหรือไม่เกี่ยวกับชีวิตประจำวัน แต่แท้ที่จริงแล้ว คำอธิบายชุดใหญ่เกี่ยวกับจักรวาลนี้เป็นกรอบอ้างอิงสำหรับสร้างคำอธิบายชุดเล็ก ๆ ที่ใช้ทำความเข้าใจโลกในชีวิตประจำวัน เช่น จักรวาลทัศน์ตามคติพื้นบ้านอีสานนั้นถือว่าสรรพสิ่งไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ ป่าเขา หรือลำธารล้วนมีผีหรืออำนาจศักดิ์สิทธิ์ดูแลรักษา ชาวบ้านอีสานจึงมีความเคารพยำเกรงต่อธรรมชาติ จะเข้าป่าหาสมุนไพร หรือล่าสัตว์ ตัดไม้ ก็ต้องขออนุญาตจากอำนาจศักดิ์สิทธิ์ เรียกว่า ต้องนอบน้อมขอเอาจากท่านก่อน

ไม่ใช่นึกจะฆ่า จะฟัน จะตัด จะโค่น ก็เอากันเลย อย่างนี้ ไม่ได้

หรืออย่างในยุโรป คติพื้นบ้านดั้งเดิมนั้นถือว่าสรรพสิ่งมีเทพคุ้มครอง โลกคือพระแม่ธรณีที่อุ้มชูหล่อเลี้ยงมนุษย์ แร่ธาตุ โลหะ หรืออัญมณีเป็นสิ่งมีค่าที่เกิดขึ้นและถูกบ่มจนสุกอยู่ในมดลูกของพระแม่ธรณี ผู้ที่จะเข้าไปขุดแร่ในเหมืองจึงต้องถือศีลและประพฤติพรหมจรรย์ให้ร่างกายและจิตใจบริสุทธิ์ไร้มลทินเป็นเวลาสามวันห้าวัน ก่อนที่จะรุกล้ำเข้าไปในมดลูกของพระแม่เพื่อขุดแต่งเอาสินแร่เหล่านั้นมาใช้ประโยชน์

ในจักรวาลทัศน์พื้นบ้าน การทำลายล้างธรรมชาติขนานใหญ่ หรือแม้แต่การละเมิดธรรมชาติในชีวิตประจำวันจึงเป็นสิ่งที่ผิดศีลธรรมจรรยา

เพราะจักรวาลและสรรพสิ่งถูกรับรู้และเข้าใจในฐานะของสิ่งมีชีวิต

คนไทยสมัยก่อนจึงเคารพนบนอบต่อข้าว ซึ่งไม่ใช่มีแค่คาร์โบไฮเดรต แต่มีพระแม่โพสพดูแลรักษาอยู่ เราจึงไม่เดินเหยียบและไม่ก้าวข้ามข้าวสารหรือข้าวเปลือกที่หกหรือตกหล่นอยู่ตามพื้น แต่เดินอ้อม และไม่ใช้ไม้กวาดขยะมาปัดกวาด แต่ใช้มือของเรากอบเอาจากพื้น

เป็นการแสดงความเคารพอ่อนน้อมต่อพระแม่โพสพที่หล่อเลี้ยงโอบอุ้มชีวิตเรามา

ทัศนะต่อจักรวาล (หรือจักรวาลทัศน์) จึงกำหนดท่าทีของมนุษย์ต่อชีวิตและธรรมชาติ


ในสังคมสมัยใหม่ วัฒนธรรมความคิดแบบวิทยาศาสตร์ ได้นำเสนอจักวาลวิทยาอีกแบบหนึ่งที่แตกต่างออกไปจากคติพื้นบ้านอย่างสิ้นเชิง สำหรับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่นั้น จักรวาลเป็นเพียงจักรกลที่เคลื่อนไหวไปตามกฎแห่งสสารและพลังงาน

จักรวาลในทัศนะเช่นนี้จึงไม่มีที่ทางสำหรับความศักดิ์สิทธิ์หรือจิตวิญญาณ เพราะทุกสิ่งถูกลดทอนลงมาอธิบายด้วยคุณสมบัติทางเคมีและฟิสิกส์ของสสาร

จักรวาลจึงไม่ได้เป็นอย่างคติพื้นบ้านที่ว่า มีเขาพระสุเมรุ เขาไกรลาส และป่าหิมพานต์ จากสวรรค์ลดหลั่นลงมาเป็นโลกมนุษย์และนรกภูมิ ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงนี้ถูกกำกับไว้ด้วยกฎเกณฑ์ของการเวียนว่ายตายเกิดและกรรมดี กรรมชั่ว ที่ลิขิตชะตาชีวิตของผู้คน จักรวาลในทัศนะสมัยใหม่นั้นไม่มีเมขลาที่ร่ายรำกับดวงแก้วจนเกิดเป็นแสงระยิบระยับของฟ้าแลบ หรือรามสูรที่ขว้างขวานไปปะทะโคนเขาไกรลาสจนเกิดฟ้าร้องดังลั่นสนั่นหวั่นไหวไปทั้งไตรภพ

หากแต่ฟ้าแลบและฟ้าร้อง เกิดขึ้นตามคุณสมบัติทางกายภาพและทางเคมีของน้ำที่ระเหยกลายเป็นไอ และจับตัวกันเป็นก้อนเมฆเมื่อไอน้ำลอยขึ้นไปกระทบกับความเย็นในชั้นบรรยากาศ เมื่อก้อนเมฆเสียดสีกับอณูของอากาศ ก็เกิดประจุไฟฟ้า ฟ้าผ่าจึงเกิดจากการที่ประจุไฟฟ้าวิ่งแหวกอณูของอากาศจนเกิดเป็นประกายแสงและเสียงที่ดังสนั่นหวั่นไหว ส่วนสาเหตุที่เราเห็นฟ้าแลบก่อนได้ยินเสียงฟ้าร้องก็เพราะแสงเดินทางได้เร็วกว่าเสียงในตัวกลางที่เป็นอากาศ

จักรวาลทัศน์เช่นนี้ไม่มีเทพเทวดาให้ต้องบูชากราบไหว้

ไม่มีนรกสวรรค์ และที่สำคัญไม่มีกรรมดีกรรมชั่ว ที่จะตัดสินให้มนุษย์ต้องตกไปอยู่เพื่อชดใช้ผลกรรมที่ได้ทำมาในภพภูมิต่าง ๆ

มีแต่สสารและพลังงานที่มนุษย์สามารถควบคุมได้ เพราะมนุษย์สามารถรู้ถึงกฎเกณฑ์ที่กำกับความเป็นไปของสสารและพลังงานเหล่านี้

ในจักรวาลทัศน์แบบวิทยาศาสตร์ที่ไม่มีความผิดถูก ชั่วดี และสรรพสิ่งถูกลดทอนให้เป็นเพียงวัตถุธรรมนี้ ธรรมชาติและชีวิตถูกทำให้หมดความศักดิ์สิทธิ์ ทุกอย่างจึงเป็นเพียงวัตถุที่เคลื่อนไหวไปตามกฎเกณฑ์ทางฟิสิกส์เคมีอย่างเครื่องยนต์กลไก

และชีวิตก็ไม่มีมิติของความดี ความงาม หรือความเป็นมนุษย์

เพราะสิ่งเหล่านี้หากจะมีอยู่ ก็เป็นเพียงปฏิกิริยาทางชีวเคมีในโครงสร้างสมองของมนุษย์เท่านั้น

ธรรมชาติที่เคยถือกันว่ายิ่งใหญ่จึงหมดสิ้นความศักดิ์สิทธิ์ เพราะเอาเข้าจริง ๆ ก็เป็นแค่ปรากฏการณ์ที่เป็นไปตามกฎเกณฑ์ไม่กี่ข้อ ที่สำคัญ กฎเกณฑ์เหล่านี้ มนุษย์สมัยใหม่รู้ได้ เข้าใจได้ และยังสามารถใช้จัดการกับสรรพสิ่งได้ตามใจมนุษย์อีกด้วย

มนุษย์สมัยใหม่ในวัฒนธรรมความคิดเช่นนี้ จึงมีความอหังการ มมังการ

และสิ่งที่เหือดหายไปจากจักรวาลทัศน์แบบวัตถุนิยมกลไกนี้ ก็คือ

ความอ่อนโยนต่อชีวิตและความอ่อนน้อมต่อธรรมชาติ

Back to Top