ในระบบมีคน



โดย ดร.จารุพรรณ กุลดิลก
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 18 ตุลาคม 2551

จากบทความที่มีเพื่อนผู้หวังดีส่งมาให้ผู้เขียนชื่อ “Democracy on the wane” (http://www.boston.com/bostonglobe/ideas/articles/2008/09/14/democracy_on_the_wane) ซึ่งแปลได้ประมาณว่า ประชาธิปไตยข้างแรม หรือ แสงสว่างของประชาธิปไตยลดน้อยถอยลง แสดงให้เห็นว่าชาวโลกกำลังมองเหตุการณ์ในประเทศไทยขณะนี้ไม่ต่างไปจากเรา ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่คาดเดาได้ การย้อนถามและตรวจสอบระบบประชาธิปไตย เป็นคลื่นระลอกที่สามที่มีอยู่ทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศที่มีประชาธิปไตยเพียงรูปแบบ แต่ในรายละเอียดมีความอ่อนแอในทุกๆ จุด และไม่แปลกหากคนจะย้อนถามหาระบบที่ดีที่สุดอีกครั้งหนึ่ง แต่แท้จริงแล้ว ไม่มีระบบใดดีที่สุดในโลก หากลืมเห็น คน ที่อยู่ในระบบ

ระบบคนขนาดใหญ่โดยทั่วไปประกอบด้วย ผู้นำ ผู้ตาม เนื้อหาสาระ และการสื่อสาร นั้น หากผู้นำดี ผู้ตามดี เนื้อหาสาระดี การสื่อสารดี ระบบก็ย่อมดี ซึ่งถ้าผู้นำคือผู้ปกครองประเทศ ผู้ตามคือประชาชน เนื้อหาสาระคือรัฐธรรมนูญ และการสื่อสารคือการสื่อสารทุกภาคส่วน ทั้งปัจเจกและองค์รวม เมื่อผู้นำดี ประชาชนมีคุณภาพ รัฐธรรมนูญสอดคล้องกับความเป็นจริงของระบบการอยู่ร่วมกันอย่างสันติของมนุษย์ และสามารถนำไปปฏิบัติได้จริง การสื่อสารเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ ประเทศก็น่าจะดี

แต่ในขณะนี้ประเทศเรากำลังพุ่งประเด็นไปที่ ผู้นำ เสียส่วนใหญ่ เราวุ่นวายอยู่กับการสรรหาผู้นำ ส่วน เนื้อหาสาระ ก็มองกันแต่เพียงหลักการและกรอบกติกา ในทางปฏิบัติ ว่าจะต้องทำอะไรอย่างไร ไม่ได้พูดคุยกันสักเท่าไร ส่วน ผู้ตาม คือประชาชน แทบจะไม่มีการมอง กระบวนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีความรู้ความเข้าใจ ที่จะสามารถพัฒนาตนให้มีความเป็นผู้นำและผู้ตามที่ดีในระบอบประชาธิปไตยถูกลืมไปเลย และ การสื่อสาร ระหว่างกันอยู่ในระดับสอบตก

ผู้นำที่ดีที่จะเป็นผู้นำของระบบคนขนาดใหญ่ได้นั้น ต้องเข้าใจและเข้าถึงธรรมชาติของคนเป็นอันดับแรก ผู้เขียนต้องการเห็นผู้นำที่เข้าใจและเชื่อมั่นในความเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง อย่างน้อยผู้นำต้องสามารถเข้าใจความเป็นมนุษย์ของตนเองว่า มนุษย์ผิดพลาดได้ เรียนรู้สื่อสารกันได้และให้อภัยกันได้ และที่สำคัญเห็นความเป็นมนุษย์ในผู้อื่น เห็นความเท่าเทียมกันในฐานะมนุษย์กับมนุษย์ และชี้ให้ผู้อื่นเห็นว่าทุกปัญหามีทางออกโดยไม่ใช้ความรุนแรง ทั้งทางวาจาและการกระทำ สามารถหาทางออกร่วมกันอย่างผู้เจริญแล้วทางสติปัญญา สามารถแก้ปัญหาที่ต้นตออย่างตรงจุด คือ การแก้ที่คน เชื่อว่าคนสามารถพัฒนาได้ทั้งจิตใจและปัญญา หากเวลานี้ คนในประเทศเราไม่มีความสามารถที่จะคุยกันอย่างสันติ ต้องเรียกสติคน ให้ความเชื่อมั่นกับคนในประเทศว่า เราต้องคุยกันได้ ไม่ปล่อยให้ปัญหาบานปลายเป็นปัญหาปลายเปิด และกลายเป็นบาดแผลที่เยียวยาไม่ได้

ในส่วนของเนื้อหาสาระหรือรัฐธรรมนูญ ผู้เขียนเห็นว่า ไม่ว่าจะร่างกรอบกติการัดกุมอย่างไร หากมองไม่เห็นคนปฏิบัติ ว่าจะเข้าใจได้หรือไม่ จะปฏิบัติอย่างไร ก็รังแต่จะเป็นการสร้างกติกาที่ทำให้เกิดความแตกแยกทั่วบ้านทั่วเมือง เพราะปฏิบัติอย่างไรก็ผิดไปหมด คนชั่วก็เต็มเมือง คุกก็ไม่มีพอที่จะขังคนทั้งเมือง นั่นเป็นเพราะมองแต่กติกาแต่มองไม่เห็นคน ยิ่งร่างกติกา ยิ่งทำให้คนคุยกันได้น้อยลง สื่อสารกันได้น้อยลง คนเกลียดกันมากขึ้น เนื้อหาสาระที่เกี่ยวกับศักยภาพและการพัฒนาคุณภาพของคนในระบอบประชาธิปไตยไม่มีการกล่าวถึงเลย ทำอย่างไรจะให้คนคุยกันได้มากขึ้น เห็นความแตกต่างหลากหลายอย่างเป็นมิตรในระบอบประชาธิปไตย เข้าใจหน้าที่ของตนเองอย่างเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย ทำอย่างไรที่จะมีการยกระดับและให้คุณค่าการพัฒนามนุษย์ที่เป็นทรัพยากรสำคัญที่สุดของประเทศร่วมกันทุกภาคส่วน

ส่วนผู้ตามหรือประชาชน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของระบบ แต่ละคนต้องมีสติ ใคร่ครวญสิ่งต่างๆ ด้วยตัวของท่านเอง ไม่ควรใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา ทั้งทางวาจาและการกระทำ โดยเฉพาะผู้ใหญ่ในสังคม ท่านสมควรแสดงตัวอย่างการเป็นผู้ใหญ่ที่ดีให้คนรุ่นใหม่เห็นว่า ผู้ใหญ่นั้นคุยกันอย่างมนุษย์กับมนุษย์ได้ เรียนรู้ร่วมกันได้ และให้อภัยกันได้ ความผิดพลาดเป็นบทเรียน และการพัฒนาศักยภาพของมนุษย์เริ่มจากความผิดพลาด ที่พึงแก้ไขร่วมกันไป ใช้วิกฤตให้เป็นโอกาสในการเรียนรู้ร่วมกันของสังคม หากประชาชนเชื่อมั่นในการช่วยกันทำนุบำรุงบ้านหลังใหญ่ ย่อมไม่ท้อแท้ที่จะช่วยกันสื่อสารอย่างสันติในระดับตัวต่อตัว เริ่มจากครอบครัว โรงเรียน ฯลฯ ว่าปัญหาทุกอย่างมีทางออกอย่างสันติ หากหันหน้าคุยกัน ลดการพูดคุยในปมในประเด็นที่เป็นเรื่องคลุมเครือ เพราะไม่มีประโยชน์อันใดต่อคนทั้งหมด แสดงให้เห็นศักยภาพของคนไทยว่าเป็นผู้ที่สามารถผ่านพ้นวิกฤตไปด้วยปัญญา และสามารถเป็นผู้นำของชาวโลกได้ในเรื่อง สันติวิธี

สุดท้าย ไม่มีระบบที่ดีที่สุดในโลก หากปราศจากการมองเห็นคนในระบบว่า คนพัฒนาได้ เรียนรู้ได้ ทั้งจิตใจและปัญญา ผู้เขียนเชื่อว่าคนไทยเข้าใจเรื่องนี้ได้ดี จากการมีพื้นฐานจิตใจที่ละเอียดอ่อน หากเพียงตั้งสติ และเป็นสติให้แก่กันและกัน จะสามารถมองเห็นทางออกจากวิกฤตได้ทะลุปรุโปร่งอย่างแน่นอน

Back to Top