พลวัตรการปฏิวัติสู่การเปลี่ยนสังคมที่ยิ่งใหญ่


โดย ศ.นพ.ประสาน ต่างใจ
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 27 ธันวาคม 2551

บทความนี้ เป็นเรื่องสำคัญมากๆ ในความเห็นของผู้เขียน คือเป็นเรื่องของจิตวิวัฒน์ซึ่งเป็นวิวัฒนาการของจิตสู่จิตวิญญาณ หรือสู่กระบวนทัศน์ใหม่ของมนุษย์แต่ละคนและของทุกๆ สังคม รวมทั้งที่บ้านเรา – ที่แม้จะเริ่มไปบ้างแล้ว แต่ยังน้อยนิดเกินไปเมื่อเทียบกับเวลาที่เราอาจมีเพียงแค่ ๒๒ ปี ตามที่ อาร์โนลด์ ทอยน์บี (Arnold J. Toynbee) ว่าไว้ (Quoted by Fritjof Capra in The Turning Point, 1982) – เป็นเรื่องยิ่งใหญ่จริงๆ ที่ไม่สามารถจะอธิบายอย่างสั้นๆ ได้ ผู้เขียนจึงเขียนซ้ำๆ เพื่อย้ำถึงความสำคัญของเรื่องนี้ ซึ่งคนทั่วไปมักจะไม่เห็นหรือไม่มีเวลาคิด จะว่าไปแล้วเรื่องที่เขียน – แม้จะค่อนข้างหนักและกว้างใหญ่ไพศาล เพราะส่วนใหญ่มากๆ เป็นเรื่องของศาสนากับวิทยาศาสตร์ หรือเรื่องของจิตซึ่งเป็นองค์ความรู้ที่ตั้งอยู่บนความศรัทธาเพราะว่ามนุษย์มองไม่เห็น กับเรื่องจักรวาลที่เป็นกายวัตถุอันเป็นองค์ความรู้ที่ตั้งอยู่บนความจริง (ทางโลก เฉพาะที่ตาของมนุษย์มองเห็น)

แต่เรื่องหนึ่งที่ผู้เขียนย้ำนักย้ำหนาและเขียนมานาน คือเรื่องของการเปลี่ยนแปลงหรือการปฏิวัติสังคมวัฒนธรรมของมนุษยชาติ หาไม่แล้วมนุษย์จะเสี่ยงอย่างยิ่งต่อการสูญพันธุ์ไปทั้งหมด ในสมัยช่วงหลังของทศวรรษ ๑๙๘๐ กับช่วงต้นๆ ของทศวรรษ ๑๙๙๐ ซึ่งผู้เขียนเริ่มเขียนบทความและหนังสืออย่างเป็นกิจจะลักษณะนั้น ที่ยุโรปตะวันตกกับสหรัฐอเมริกามีปัญญาชนที่เป็นนักคิดนักเขียนระดับแนวหน้า รวมทั้งสโมสร ชมรมทางวิชาการพากันพูดถึงหรือเขียนหนังสือแนวนี้ รวมทั้งแนวระบบนิเวศธรรมชาติกันมาก โดยเฉพาะเรื่องของปัญญาตะวันออก กับการเปลี่ยนแปลงจิตของปัจเจกชนและกระบวนทัศน์ของสังคมโลกโดยรวม ที่มนุษยชาติจะต้องมีขึ้นโดยเร็วให้ได้ ถ้าหากต้องการให้เผ่าพันธุ์อยู่รอด ซึ่งตรงกับความคิดและวิถีชีวิตที่ไม่เห็นด้วยกับหลักการวัตถุนิยมแยกส่วนและมองธรรมชาติเป็นใหญ่ของผู้เขียนอยู่แล้ว แต่ในช่วงเวลานั้นที่บ้านเราแทบไม่มีคนพูดกัน

เมื่อต้นปี ๒๐๐๘ นี้ เอกฮาร์ท โทลเลอ ได้เขียนหนังสือขึ้นมาเล่มหนึ่งชื่อว่า โลกใหม่: การตื่นสู่ความมุ่งหมายของคุณ (Ekhart Tolle: New Earth: Awakening to Your Purpose, 2008) ทันทีที่วางขาย ก็กลายเป็นหนังสือขายดีที่สุดในอเมริกาไปและยังคงอยู่ในระดับนั้นต่อมาอีกหลายเดือน ผู้เขียนเข้าใจว่าอาจจะเป็นเพราะเหมาะสมกับช่วงเวลาที่ชาวอเมริกันกำลังแสวงหาการเปลี่ยนแปลงวิถีของสังคม ที่ทำให้นายบารัค โอบามา แห่งพรรคเดโมแครต ที่ชูและย้ำเน้นนโยบายเช่นเดียวกันนั้น สามารถเอาชนะนายจอห์น แมคเคน แห่งพรรครีพับลิกัน ในการเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีไปอย่างถล่มทลาย

เอกฮาร์ท โทลเลอ ได้เขียนเอาไว้ว่า “เมื่อต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตที่ร้ายกาจอย่างสุดกู่ ... สิ่งมีชีวิตแต่ละตัวหรือแต่ละเผ่าพันธุ์ หากว่าไม่ตายหรือสูญพันธุ์ไป ก็จำต้องเปลี่ยนตัวเองเหนือเงื่อนไขข้อจำกัดของตน ด้วยการ “ก้าวกระโดดทางวิวัฒน์” (Evolutionary leap) ... เพื่อสนองตอบต่อวิกฤตอันเลวร้ายเพื่อการ “อยู่รอด” – และนั่นคือสิ่งที่เผ่าพันธุ์มนุษยชาติกำลังถูกท้าทายอยู่ในขณะนี้และเดี๋ยวนี้ อันเกิดจากการล่มสลายของการทำหน้าที่คุ้มครองโลกที่เกิดจากจิตที่มีแต่ความอวดดีอหังการมมังการของเราเอง – ซึ่งรู้และสอนเตือนไว้โดยมหาปัญญาของครูโบราณเมื่อ ๒,๕๐๐ ปีมาแล้ว และบัดนี้ได้ตอกย้ำด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีว่าความอวดดีอหังการของมนุษย์นั้น ในที่สุดจะทำลายและทำร้ายดาวเคราะห์โลกของเราไป และจะแก้ไขได้ก็ด้วยการเปลี่ยนทางจิตวิญญาณเท่านั้น กระทั่งเมื่อเร็วๆ นี้เองที่บางคนเริ่มที่จะรู้และปฏิบัติเช่นนั้น เหตุผลที่ประชากรโลกโดยทั่วไปยังไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงทางจิตวิญญาณในตอนนี้ เพราะว่าส่วนใหญ่มากๆ ยังไม่รู้กัน หรือยังไม่ถึงเวลาถูกบังคับด้วยความทุกข์เข็ญลำเค็ญอย่างแท้จริง (imperative)”

ทำไม? เราส่วนใหญ่มากๆ ของโลกถึงไม่รู้ หรือว่าเราจะต้องรอคอยความทุกข์ยากลำเค็ญจริงๆ มาถึงเสียก่อน? รอคอยการถูกบังคับเสียก่อนถึงจะเปลี่ยนแปลงจิตวิญญาณและเปลี่ยนสังคมของเรา? เหตุผลก็คงเป็นไปตามความเห็นของชาวโลกในหลายๆ ประเทศที่บอกกับ ดเวน เอลยิ่น ในบทความก่อนหน้านั่นแหละ – เพราะว่ามนุษยชาติยังเป็นเด็กวัยรุ่น (Adolescence) และยังคงยึดมั่นในหลักการแยกส่วนและวิทยาศาสตร์กายภาพที่ตรงกับการรับรู้แต่ภาพลวง (ที่คิดว่าจริง) ของเรา หรือดังที่บรรณาธิการบริหารของโครงการการเปลี่ยนแปลงอนาคตของสถาบันวิทยาศาสตร์ทางจิตได้สรุปไว้ (The 2008 Shift Report, Institute of Noetic Science) ว่า “วิทยาศาสตร์แยกส่วนของเรากล้าหาญชาญชัยถึงกับทำให้ความจริงกลายเป็นสิ่งง่ายๆ โดยการแยกย่อยธรรมชาติทุกๆ อย่างให้เป็นชิ้นส่วนเล็กๆ พอที่มนุษย์สามารถจัดการได้” ตัวอย่างเช่น


  • ความมั่งคั่งคือความเด่นความดี และยิ่งรวยก็ยิ่งเด่นกว่าดีกว่า
  • ระบบเศรษฐกิจทุนนิยม คือสัญลักษณ์ที่จริงแท้ของความเจริญ
  • มูลค่าการตลาด (เป็นเงิน) ของทุกๆ สิ่งรวมสิ่งแวดล้อม คือสิ่งชี้วัดที่ดีที่สุด
  • โลกและธรรมชาติเป็นของมนุษย์ ฉะนั้น เราจะทำอะไรกับมันก็ได้
  • โลกประกอบด้วย “กูและพวกของกู” กับ “มึงและพวกของมึง”
  • โดยสันดาน มนุษย์มีพื้นฐานของสัตว์ที่เห็นแก่ตัวและเลวร้าย
    ฯลฯ


ทั้งนี้เพราะมนุษย์โดยทั่วไป “(ไม่รู้ว่า) ปัญหาและการแก้ปัญหาธรรมชาตินั้น ทุกๆ สิ่งและทุกๆ อย่างเชื่อมต่อโยงใยกันอย่างเป็นระบบ”

โชคดี (ภาษาพาไป) อยู่บ้างที่ทุกวันนี้ – อย่างน้อยในประเทศที่พัฒนามากๆ แล้ว - คนส่วนหนึ่งกำลังเห็นและกำลังโหยหา “การเปลี่ยนแปลง” ทั้งด้านปัจเจกบุคคลและของสังคมโดยรวมกันอย่างขะมักเขม้น สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ที่ไปเมืองนอกบ่อยๆ บอกว่า ที่เมืองนอกนั้นมีการพูดถึงการเปลี่ยนแปลง (Shift) กันมากในวงการที่ตนเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย

เพราะฉะนั้น ที่ผู้เขียนบอกว่าโชคดีก็มาจากการนี้ ที่เราในประเทศด้อยพัฒนาและกำลังพัฒนา รวมทั้งประเทศไทย มักจะทำตามหรือเลียนแบบอะไรที่ฝรั่งผิวขาวจากประเทศที่พัฒนาแล้วเขาคิด เขาทำ หรือปฏิบัติ ซึ่งไทยเราก็จะคิด ทำ หรือปฏิบัติตามมากกว่าคนผิวสีอื่น นั่นเป็นการคิดที่ผู้เขียนเชื่อว่าเป็นเช่นนั้นจริงจากประสบการณ์ที่อาจจะผิดก็ได้ แต่ถ้าเป็นจริงเช่นนั้น อีกไม่นานคนส่วนใหญ่ของประเทศที่กำลังพัฒนาก็จะพากันปฏิบัติตาม หรือพากันเลิกยึดมั่นในหลักการวัตถุนิยมแยกส่วนที่มองทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลเป็นเครื่องจักรเช่นนาฬิกา หรือพากันมีพฤติกรรมที่จะเอื้ออำนวยให้มีวิวัฒนาการทางจิตวิญญาณ ทั้งในด้านของปัจเจกและของสังคมวัฒนธรรมโดยรวม ซึ่งจะว่าไปแล้วและดังที่ เอกฮาร์ท โทลเลอ ว่าไว้ข้างบน เป็นมหาปัญญาที่รู้และชี้บ่งโดยครูโบราณมาตั้งแต่ ๒,๕๐๐ ปีก่อน ซึ่งจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากพระพุทธเจ้าของเรา ผู้ประกาศพุทธศาสนาเพื่อการเปลี่ยนแปลงทางจิตวิญญาณไล่สูงขึ้นไป ทั้งในแต่ละคนบุคคลและทั้งในสังคมโดยรวม

ทั้งนี้และทั้งนั้น นั่นคือองค์ความรู้และวัฒนธรรมของเราและของชาวตะวันออกมาแต่ไหนแต่ไร แต่เราได้เหินห่างไปบ้างโดยกระแสตะวันตกเก่าๆ โดยเฉพาะกับนักวิชาการและปัญญาชนส่วนหนึ่ง จนกระทั่งเมื่อเร็วๆ นี้ – และเหตุผลส่วนหนึ่งที่อาจเป็นไปได้ก็คือ เป็นเพราะฝรั่งในประเทศที่พัฒนามากๆ แล้ว เช่น อเมริกา แคนาดา อังกฤษ และออสเตรเลีย ฯลฯ ได้หันมารับองค์ความรู้ของตะวันออกและวัฒนธรรมของเรามากขึ้น โดยเฉพาะการปฏิบัติจิตและการเจริญสติ – เราจึงได้มีการรื้อฟื้นองค์ความรู้เก่าของเราเองที่เน้นการปฏิบัติศาสนาและการทำสมาธิสำหรับสาธารณชนคนทั่วไป โดยเฉพาะกับนักเรียน นักศึกษา และปัญญาชนที่อยู่ใต้กระแสตะวันตกและวัตถุนิยมเก่าๆ เดิมๆ มานาน เช่น จิตตปัญญาศึกษาที่ผู้เขียนเอามาเขียนลงที่นี่เมื่อสัปดาห์ก่อน

หลายๆ คนเป็นเช่นเดียวกับคนในกลุ่มจิตวิวัฒน์ที่เชื่อว่าสิ่งสำคัญสุดที่อยู่ในจิตใจกับหัวใจของเรา คือความสอดคล้องแนบประสานกันระหว่างสององค์ความรู้ นั่นคือความศรัทธาในศาสนาและภาวะจิตวิญญาณ กับความจริงทางโลกหรือวิทยาศาสตร์ ซึ่งรู้ได้ว่าเป็นเช่นนั้นจริงด้วยวิธีการตรวจวัด (Methodology or Measurement) ที่ใช้การชี้วัดตามที่ตาของมนุษย์มองเห็น นั่นคือ สององค์ความรู้ที่ถูกแยกจากกันมานานด้วยความไม่รู้ของเด็กวัยรุ่น

อย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้ ชมรมนักวิทยาศาสตร์ในประเทศตะวันตกทุกคนต่างรู้ดีว่า มีวิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่ที่ทำให้เราเข้าใจว่า เรื่องที่อยู่ภายในหรือสภาวะจิต (ที่ต้องมีวิวัฒนาการสู่สภาวะจิตวิญญาณไล่สูงขึ้นไป) กับเรื่องของกายภายนอกหรือวิวัฒนาการชีววิทยานั้น ต่างเป็นความจริงที่มนุษย์เราจะต้องรู้และนำไปประยุกต์เป็นระบบและโครงสร้างประกอบวิถีชีวิตของเราตลอดไป โดยมีจิตที่อยู่ภายใน – อาศัยพลังงานหรือแรงแห่งการวิวัฒนาการ หรือแรงกรรม – ในการนำการขับเคลื่อนปัจเจกก็เช่นนั้น สังคมโดยรวมก็เช่นนั้น

ความจริงก็กระจ่างชัดกับสาธารณชนคนทั่วไปโดยไม่ต้องชี้วัดอะไรหรือตรงไหนเลย ระดับจิตของเผ่าพันธุ์มนุษยชาติกำลังเปลี่ยนแปลงไปบ้างแล้วในขณะนี้และเดี๋ยวนี้ – ด้วยพลวัตรของพลังหรือแรงแห่งวิวัฒนาการของจักรวาล (หรือจะบอกว่าโดยพระเจ้าก็ไม่มีใครว่า) – และขณะนี้ การเปลี่ยนแปลงของความคิดจิตวิญญาณ และพฤติกรรมของกาย ร่วมกันเป็นบูรณาการ (integral) แทนที่จะเป็นกาย – ที่แยกส่วนเป็นตัวกูของกูและตัวมึงของมึงอย่างเดียวเช่นในอดีต – กับวัตถุนิยม มนุษยชาติโดยรวมกำลังรอคอย “มวลอันวิกฤต” (critical mass) อยู่ในขณะนี้และเดี๋ยวนี้ เราทั่วโลกกำลังรอคอยการเปลี่ยนแปลงจิตของมนุษย์และการปฏิวัติสังคมของมนุษย์ที่ยิ่งใหญ่อย่างใจจดใจจ่อ

นั่นคือ การเปลี่ยนแปลงของเราแต่ละคนเป็นปัจเจกและการเปลี่ยนแปลงของสังคมโดยรวม (Paradigm or Worldview) ในวันนี้และเดี๋ยวนี้ กำลังดำเนินไปกับบางคนบางกลุ่มในสังคมนั้นๆ และทุกๆ ประเทศชาติ เช่นเดียวกันกับจิตตปัญญาศึกษาและการปฏิบัติสมาธิที่บ้านเรา เพียงมากหรือน้อยเท่านั้น ซึ่งผู้เขียนเป็นเช่นเดียวกับคนไทยและชาวโลกทั้งผองที่หวังว่า การเปลี่ยนแปลงทางจิตและพฤติกรรมทางกายของเราอย่างบูรณาการในครั้งนี้ จะทันเวลากับอภิมหาวิกฤตโลกที่จะมาถึงในเร็ววันนี้

Back to Top