มันอาจจะมาตรงเวลาก็ได้



โดย ศ.นพ.ประสาน ต่างใจ
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 27 มีนาคม 2553

คาร์ล จุง ที่หลายคนเรียกว่าเป็นบิดาของจิตวิทยาพูดว่า “คนเราไม่ชอบได้ยินความจริง” น่าจะจริง ความแน่นอนกับความไม่แน่นอนนั้น หากยังไม่ได้เคลื่อนไปสู่จุดที่สุดของมันจริงจึงไม่แตกต่างกัน ที่พูดว่ามันอาจจะมาตรงเวลาก็ได้นั้น หมายถึงปี ค.ศ.๒๐๑๒ ที่ผู้เขียนได้ย้ำถึงความเป็นไปได้สองประการ ที่อาจเกิดกับโลกและมนุษย์กับสังคมของมนุษย์ทั่วทั้งโลก โดยไม่มีประชาชนคนใดหรือชุมชนไหนได้รับการยกเว้น แต่ไม่ใช่โลกแตกอย่างแน่นอน อาจจะพังไปบางส่วนโดยเฉพาะไบโอสเฟียร์ (biosphere - ชีวมณฑล) จะเกิดการเปลี่ยนแปลงยิ่งใหญ่ที่ดาวเคราะห์โลก อย่าว่าแต่ไม่เคยเห็นเลย แม้แต่ฝันถึงก็ไม่เคยฝันมาก่อน อย่างที่ เนชันแนลจีโอกราฟิก ฉบับเดือนธันวาคม ๒๐๐๙ นำโฆษณาของไอบีเอ็มมาลง “สนทนากับดาวเคราะห์โลกผู้ทรงปัญญา” ว่าต่อไปนี้ “คือบัญชาที่สั่งให้ (ใครสั่ง? สวรรค์รึ?) ดาวเคราะห์โลกจะต้องเปลี่ยนแปลง คือบัญชาที่สั่งให้ดาวเคราะห์โลกต้องมีปัญญา” นั่นคือ บัญชาที่ทำให้ดาวเคราะห์โลกหรือมนุษยชาติจำต้องเปลี่ยนแปลง และเปลี่ยนทั้งสองด้าน คือโลกกายกับจิตมนุษย์ อย่างหนึ่งไม่ดีกับอย่างหนึ่งดี กายอาจไม่ดี แต่จิตอาจจะเรียกว่าดี

นั่นคือสภาวะล่มสลายทางโลกแห่งรูปกายภาพ กับการวิวัฒนาการของจิตมนุษย์สู่จิตวิญญาณ (noosphere) มันเป็นเรื่องของดุลยภาพที่เป็นธรรมชาติปกติ ซึ่งจะเกิดขึ้นอาจเรียกว่าทันทีทันใด และผู้เขียนเชื่อว่า สภาพการณ์ทั้งสองอาจจะเกิดขึ้นจริงๆ ก็ได้ เพราะมีเหตุผลพร้อมมูลทั้งศาสนาและวิทยาศาสตร์ อย่าลืมว่าในทางปฐพีวิทยานั้น เราอยู่ในยุคแห่งอินเตอร์เกลเชียล มนุษยชาติมีความสุขกายสบายใจมานานนักหนา กับกายวัตถุนิยม กับความรู้ผิดๆ ที่คิดว่าถูก คิดว่าจริง อยู่กับระบบทุกๆ ระบบที่ได้มาจากความรู้ผิดๆๆๆ นั้น ไม่ว่าจะเป็นระบบของสังคม ระบบการเมือง ระบบเศรษฐกิจ ระบบการศึกษา กระทั่งระบบการแพทย์แผนปัจจุบัน ที่มีเงินและบริษัทยาเป็นนาย ประชาชนทั้งโลกเป็นทาส

ผู้เขียนได้พูดได้เขียนเรื่องปี ๒๐๑๒ มานานร่วม ๑๐ ปีแล้ว และที่เขียนเพราะมีเหตุผลที่เป็นความรู้ทั้งทางวิทยาศาสตร์ ศาสนา ทั้งหมดไม่ใช่ว่ามีเจตนามองโลกในแง่ร้าย เพราะว่าจริงๆ แล้วการที่มองโลกด้านหนึ่งด้านใดโดดๆ เพียงด้านเดียวนั้นไม่มี มันจะมีสองด้านเสมอ เป็นดีกับชั่ว เป็นซ้ายหรือเป็นขวา เป็นข้างบนหรือล่าง เป็นหน้าหรือหลัง สองสุดโต่งเสมอไป ดุลยภาพหรือมัชฌิมาปฏิปทาคือชีวิต ฉะนั้นเอง ความทุกข์ทรมานไม่ชอบใจกับความสุขความพอใจ - ในความเห็นส่วนตัว - เป็นเรื่องที่มีผ้าคลุมบางๆ กั้นขวางไว้เท่านั้นเอง ทำไมชีวิตถึงจะต้องสนุกอย่างเดียว? ประเด็นคือมันมีเหตุผลที่เป็นภาพรวมของชีวิตและมนุษยชาติจริงๆ คิดดูให้ดีๆ

ที่ผู้เขียนจำเรื่อง ๒๐๑๒ ได้แม่น ส่วนหนึ่งเพราะเป็นผู้เขียนเองที่แปลวิทยานิพนธ์ของ ซูซาน แคนนอน ตอนที่เธอทำปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย และนิตยสาร อนาคตที่เป็นบวก (Yes! The Positive Future, 2000) เอาวิทยานิพนธ์ของเธอ (ที่ได้รับรางวัลยอดเยี่ยม) มาลง กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงของสังคมและอารยธรรมโลก “สมัยใหม่” ที่จะเกิดขึ้นและจำต้องเกิดขึ้นในศตวรรษที่ ๒๑ นี้ ในรูปแบบหนึ่งรูปแบบใดในสี่รูปแบบ ซึ่งเธอได้เสนอไว้ในวิทยานิพนธ์ ซึ่งสังคมอารยธรรมที่เรามีเราใช้กันอยู่มาช้านานจนถึงในขณะนี้ จะจบสิ้นลง - ขึ้นกับสถานภาพของชุมชน สังคมของประเทศทั่วทั้งโลก กับสภาพการณ์ของระบบยุติธรรมและจิตสำนึกโดยรวมของประชาชนในขณะนั้นๆ

ถ้าว่ากันจริงๆ แล้ว ซูซาน แคนนอน ดูจะเขียนไปในทำนองว่า น่าจะเป็นรูปแบบของสังคมอนารยธรรมและความป่าเถื่อนมากกว่ารูปแบบใด เพราะว่าเธอคงจะเอาจิตใจของคนในขณะนี้ กับสภาพของระบบเศรษฐกิจ ของรัฐบาล และของประชาชนในเมือง - นครใหญ่ๆ ของประเทศตะวันตก เช่น อเมริกา หรือยุโรป มาเป็นบรรทัดฐาน (ไม่มีคนอยากเป็นรัฐบาล เพราะไม่มีเกียรติและต้องรับผิดชอบสูง แถมไม่มีเงินเพราะเอาไปช่วยประชาชนที่เดือดร้อนจากภัยธรรมชาติหมด) ในวิทยานิพนธ์ของ ซูซาน แคนนอน นั่นเอง ที่ผู้เขียนได้ความคิดเรื่องปี ๒๐๑๒ ของพวกนิวเอจ ที่ประชากรจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของโลกเชื่อ (“The Crash of 2012!”)

นั่น - เสริมเติมคำทำนายของทุกศาสนากับความคิดทางวิทยาศาสตร์ที่ว่าโลกจะร้อน “ดุจนรก” หรือน้ำท่วมโลก หรือยุคน้ำแข็งใหม่ หรือการย้ายขั้วโลก อุกกาบาตและอื่นๆ ที่ผู้เขียนค้นหามาเขียนเล่าว่า ทั้งหมดอาจจะเกิดขึ้นได้ในเร็วๆ วันนี้ หรือวันที่ ๒๑ ธันวาคม ค.ศ.๒๐๑๒ เมื่อดวงอาทิตย์โคจรมาตรงกับจุดศูนย์กลางของกาแล็กซี โดย ดร.โฮเซ อาร์กีเลส (Jose Arguelles: Galactic Research Institute) กล่าวว่า “วันที่ ๒๑ ธันวาคม ค.ศ.๒๐๑๒ คือวันที่ดวงอาทิตย์ของเราจะเคลื่อนมาทับจุดศูนย์กลางของกาแล็กซีของเราพอดี (ระบบสุริยะจะโคจรไปรอบๆ จุดศูนย์กลางของกาแล็กซีทางช้างเผือกครบหนึ่งรอบ โดยใช้เวลา ๒๕๐ ล้านปี) ซึ่งวันนั้นคือวันสำคัญที่สุดของการเปลี่ยนแปลงวิวัฒนาการของจักรวาลจากกายมาสู่จิต - สำหรับประชาชนส่วนที่รอดพ้นธรณีประตู (ของความตายและความล่มสลายระดับโลกมาได้)” นั้น

โฮเซ อะกีเลส บอกว่าโลกไม่ได้แตก หากแต่เป็นวิวัฒนาการของโลก ของจักรวาล จากสิ่งไม่มีชีวิต (physicosphere) มาเป็นวิวัฒนาการของชีววิทยา หรือสิ่งมีชีวิตในอดีต (biosphere) ซึ่งโฮเซบอกว่าได้ก้าวมาถึงจุดจบแล้ว - และกล่าวว่า “ความสำเร็จของเทคโนโลยี (technosphere เป็นส่วนของ ไบโอสเฟียร์) - ซึ่ง “ข้อมูล” นั้นคือ “ความหมาย” ที่จะต้องแปลด้วยจิตรู้หรือจิตสำนึก ซึ่งได้เปลี่ยนแปลงวิวัฒนาการสู่จิตวิญญาณ ตามสเปกตรัมของจิตไปเรียบร้อยแล้ว จึงจะแปลความหมายได้ถูกต้องตามเจตนาของจักรวาล

เพราะฉะนั้นปี ๒๐๑๓ เป็นต้นไป จะเป็นปีที่จะมีวิวัฒนาการของจิตสู่จิตวิญญาณหรือธรรมจิต ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายของวิวัฒนาการของโลกแห่งชีวิต ซึ่งมีจิตของมนุษยชาติเป็นจุดหมายปลายทางนั่นเอง (physicosphere – biosphere - noosphere) ถามว่ารู้ได้อย่างว่าจิตมนุษย์ คือจุดหมายปลายทางของวิวัฒนาการของจักรวาล หรือถามว่ารู้ได้อย่างไรว่าวิวัฒนาการมีแค่สาม spheres เท่านั้นเองหรือ? แล้วโลกพัง และประชาชนจำนวนมากที่ตายด้วยภัยธรรมชาติหลากหลายที่ว่านั่น เกี่ยวข้องกับจักรวาลอย่างไร? คำตอบที่ถามทั้งหมดนั้นได้อธิบายไว้แล้วในย่อหน้านี้ กรุณาอ่านซ้ำๆ หลายๆ หน เพราะว่าอาจจะเป็นที่ผู้เขียนเองเขียนไม่กระจ่างพอก็ได้

ไล่มาตั้งแต่โลกได้มีชีวิตเกิดขึ้นมา จนกระทั่งมีมนุษยชาติเมื่อประมาณสองแสนปีที่แล้ว มนุษยชาติในภาพรวมเพิ่งจะย่างเท้าเข้าสูวัยรุ่น ไม่เคยทำอะไรถูกต้องตามธรรมชาติเลย หากว่าสิ่งที่ผู้เขียนคิด วิเคราะห์ เชื่อมั่น ตามที่ได้เขียนเล่ามาในบทความต่างๆ ซึ่งผู้เขียนได้มาจากศาสดา ปราชญ์ นักวิทยาศาสตร์ที่อ้างอิงมาทั้งหมด ล้วนแสดงภาพใหญ่และภาพรวมของวิวัฒนาการ (ของจักรวาล ของโลกมนุษยชาติ กับสังคม) อย่างน่าสนใจยิ่ง คือแสดงภาพลักษณ์ที่สอดคล้องต้องกันกับวิวัฒนาการ และการเจริญเติบโตของเด็ก หรือมนุษย์แต่ละคนเป็นปัจเจกอย่างใดอย่างนั้น (ดู ฌอง เปียเจต์ และโจเซฟ ชิลตัน เพียร์ซ ด้วย)

ในความเห็นของผู้เขียน มนุษยชาติยังเป็นเด็กที่เพิ่งย่างก้าวเข้าสู่วัยรุ่น ความรู้เรื่องของโลกรอบๆ ตัวและตัวตนของตัวเอง ส่วนใหญ่ที่ได้มาจากประสบการณ์ตรงตั้งแต่ครบ ๓ ขวบบริบูรณ์ ในช่วงการเจริญเติบโตระหว่างนั้น ทำให้ตัวเองมั่นใจว่า ได้เรียนรู้โลกรอบๆ ตัวที่สำคัญต่อ “การอยู่รอด” กับเรียนรู้ตัวตนของตัวเองได้ทั้งหมดแลัว เพราะไม่รู้ว่าที่ตัวเองคิดอย่างมั่นใจนั้นเป็นแต่เพียงได้เรียนรู้เฉพาะที่สำคัญๆ ของหนึ่งการเรียนรู้ ซึ่งมีอยู่ทั้งหมดถึงสามการเรียนรู้ - รู้รอด รู้เพื่อรู้ (intellectual การเข้าโรงเรียน) และรู้แจ้ง - ดังนั้นเด็กวัยรุ่น (ซึ่งได้รับการสนับสนุนด้วยฮอร์โมนเพศ) จึงทะนงตนว่า “ข้าใหญ่” ไปตามเพศนั้นๆ นั่นคือธรรมชาติของวิวัฒนาการ ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลจะต้องเป็นไปตามนั้น

ฉันใดฉันนั้น มนุษยชาติโดยเผ่าพันธุ์ก็ต้องเป็นเช่นนั้น ตามที่ ปิแอร์ เดอ ชาดัง ศรีอรพินโธ วลาดิเมีย เวอนาดสกี และนักจิตวิทยาแทบทุกคน รวมทั้ง เคน วิลเบอร์ จะมองเรื่องของวิวัฒนาการไม่ว่าของสิ่งใด มีชีวิตหรือไม่มีชีวิต จักรวาลกับโลก หรือมนุษยชาติกับสังคมของมนุษย์ ไปทำนองนั้น นั่นคือ physicosphere - biosphere - noosphere ที่กล่าวมาข้างต้น ซึ่งก็คือหัวใจของอิทัปปัจจยตา การคลี่ขยายเป็นวัฏจักรอันไม่มีที่สิ้นสุดที่วิทยาศาสตร์เพิ่งค้นพบ

เพราะฉะนั้น ผู้เขียนจึงคิดว่าครั้งนี้ “มันอาจจะมาตรงเวลาก็ได้” คือความล่มสลายบางส่วนที่อาจเป็นส่วนใหญ่ของโลกแห่งรูปกาย กับการเปลี่ยนแปลงวิวัฒนาการของจิตสู่จิตวิญญาณ ซึ่งหมายความว่าต่อไปนี้มนุษยชาติและสังคมของมนุษย์โดยรวมจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างสุดใหญ่หลวง จนเราไม่อาจมองเห็นหรือคาดเดาได้แม้แต่น้อย เพราะไม่เคยมีมาก่อน ปัญหาและวิกฤติต่างๆ การขัดแย้งแตกแยก ปัญหาแยกดินแดน ปัญหาข้าราชการกับนักการเมืองคอรัปชั่น กระทั่งปัญหาเศรษฐกิจ การศึกษา ยาเสพติด ฯลฯ ในประเทศไทยจะไม่มีหรือมีน้อยลงๆ

ครั้งแรกที่ physicosphere เปลี่ยนเป็น biosphere หรือวงจรแห่งชีวิตนั้นเกิดขึ้นเมื่อร่วม ๓,๕๐๐-๔,๐๐๐ ล้านปีมาแล้ว และโลกก็ไม่แตกด้วย ในทางวิทยาศาสตร์คาดกันว่า มีการเคลื่อนย้ายของแผ่นเปลือกโลกขนานใหญ่ มีดาวหางอุกกาบาตวิ่งมาชนโลก มีการย้ายขั้วโลกหรือบางส่วนมาแล้ว - เฉกเช่นครั้งนี้ - ทั้งหมดจึงมากกว่าเป็นไปได้ อย่าลืมว่าการอธิบายปฏิทินของชาวมายา โฮปี อียิปต์ และฮินดูโบราณนั้น ล้วนเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญยิ่งกว่าประวัติศาสตร์ที่บุคคลเขียนขึ้นมากนัก ความล่มสลายโลกในครั้งนี้ หากจริงคงจะได้พิสูจน์เสียทีว่า ระหว่างบังเอิญและกายวัตถุนิยม กับจิตและจิตวิญญาณนั้น อันไหนคือความจริงแท้กว่ากัน

Back to Top