จิตปฐมภูมิในพุทธศาสนากับสนามแห่งรูป



โดย ศ.นพ.ประสาน ต่างใจ
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2554

จอร์จ วอลด์ นักชีววิทยารางวัลโนเบลจากฮาวาร์ดบอกว่า เขาคิดว่าจิตมาก่อนกระบวนการวิวัฒนาการของจักรวาล “มันอยู่ของมันมาตลอด” (ตั้งแต่ก่อนจะมีจักรวาลเสียอีก) องค์ดาไล ลามะที่ ๑๔ ผู้นำสูงสุดของพุทธศาสนาวัชรยาน ของทิเบตพลัดถิ่นที่ไปอยู่ธรรมศาลาประเทศอินเดีย ก็บอกในทำนองนั้น และ บี. อแลน วอลเลซ ได้กล่าวในหนังสือของเขา (B. Alan Wallace: Hidden Dimensions, 2007) เช่นเดียวกันว่า ในพุทธศาสนาพูดว่า จิตปฐมภูมิ (ญาณ) – ซึ่งแยกออกจากพลังงานปฐมภูมิไม่ได้ – นั้น มีมาก่อนจักรวาลนี้เสียอีก บี. อแลน วอลเลซ นั้นเป็นชาวพุทธและติดตามองค์ดาไล ลามะมาตลอด เขาเป็นนักปรัชญาที่มีชื่อเสียงและจบปริญญาตรีทางฟิสิกส์

ถ้าจำไม่ผิดในปี พ.ศ.๒๕๓๙ ผู้เขียนได้รับเชิญให้ไปพูดกับพระสงฆ์ที่เรียนปริญญาโทในมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยฟังที่วัดบวรนิเวศ แต่จำรายละเอียดไม่ได้ จำได้เพียงว่าเกี่ยวกับพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์ และมีคุณสุชีพ ปุญญานุภาพผู้ล่วงลับไปแล้ว หรือสุชีโวภิกขุเมื่อยังบวชเป็นพระ - ผู้เชี่ยวชาญในพุทธศาสนาอย่างยิ่งคนหนึ่ง - นั่งฟังอยู่ด้วย ผู้เขียนได้พูดว่าวิทยาศาสตร์ (เฉยๆ) ที่เราใช้กันในบ้านเรามานานนั้น และประสบความสำเร็จมาก เพราะมันไม่มีนามหรือจิตที่มองไม่เห็นอย่างหนึ่ง กับมันเป็นความจริงตามที่ตาของมนุษย์ทุกๆ คนเห็นและได้ประโยชน์จริงๆ อีกอย่างหนึ่ง มนุษย์เรานับวันถึงได้เชื่อมากขึ้นเรื่อยๆ จนแม้แต่คนที่บวชพระและอยู่ในศาสนาเอง บางทีก็เชื่อในวิทยาศาสตร์โดยแบ่งความจริงออกเป็นสองอย่าง คือความจริงทางโลก กับทางธรรมหรือความจริงแท้ ทั้งๆ ที่ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น

ผู้เขียนได้พูดต่อไปว่าวิทยาศาสตร์ที่เราเรียนรู้และใช้กัน โดยคิดว่าเป็นความจริงนั้น เราต้องระวังที่จะไม่เอาศาสนาไปเปรียบเทียบหรือทำให้เป็นวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะพุทธศาสนา เพราะว่าธรรมะเป็นอกาลิโก โอปนยิโก ความจริงหรือสัจธรรมไม่เคยเปลี่ยน แต่วิทยาศาสตร์อาจจะเปลี่ยนแปลงได้ มีทฤษฏีใหม่มาแทนทฤษฏีเก่าอยู่เรื่อยๆ

ต่อมาอีกนานหรือเมื่อหลายสิบปีมานี้ ในขณะที่ความรู้และวิชาการของมนุษย์ที่ก้าวหน้ามาโดยตลอดค้นพบว่า ความจริงที่ตาเราเห็น หูได้ยิน ที่ตั้งอยู่บนวัตถุเนื้อเยื่อ ซึ่งเราคิดว่ามันเป็นเช่นนั้นอย่างแท้จริงโดยไม่มีข้อสงสัยนั้น ที่จริงแล้วแสนจะหยาบกร้าน เมื่อวิทยาการลงลึกขึ้นหรือละเอียดขึ้น เราจะพบว่าแท้จริงแล้ว สิ่งที่เห็นเป็นวัตถุเนื้อเยื่อนั้นเป็นเพราะว่ามันหยาบกร้านนั่นเอง ถ้าหากเราลงไปที่ละเอียดจริงๆ แล้ว เราจะรับรู้ได้ว่า สิ่งที่เราเห็น หูได้ยิน และสิ่งที่เรารับรู้เมื่อลงไปที่ละเอียดกว่านั้น เป็นสิ่งเดียวกัน เราเรียกความรู้ใหม่นี้ว่า ควอนตัมเมคคานิกส์ หรือควอนตัมฟิสิกส์ หรือฟิสิกส์ใหม่ ตอนนั้นอาจารย์สุชีพบอกว่า เรื่องที่หมอพูดน่าสนใจ เพราะว่ามีคนมากมายชอบพูดว่าพุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์

ตรงนี้และเดี๋ยวนี้ ผู้เขียนขอพูดว่า จริงๆ แล้วควอนตัมฟิสิกส์จะพูดแต่สิ่งที่ละเอียดสุดทางวิทยาศาสตร์ในระดับที่ต่ำมากๆ ระดับอะตอมหรือต่ำกว่านั้น เช่น อนุภาคหรือควากส์ และจริงๆ แล้ว ผู้เขียนคิดเอาเองว่า สิ่งที่เล็กละเอียดสุดย่อมเหมือนกับสิ่งที่หยาบใหญ่ต่างๆ จนสุดที่จะหยาบ คือดาวเคราะห์ที่ใหญ่ เช่นโลกเรา ดวงอาทิตย์ หรือดาว (ฤกษ์) กาแล็กซี จนถึงจักรวาลเอง ย่อมมีคุณสมบัติหรือหลักการคล้ายๆ กัน เพียงแต่ผิดกันที่ขนาด แรงต่างๆ และมวลสาร ซึ่งยิ่งมีขนาดใหญ่กว่าก็ยิ่งมีมากกว่า

ฉันใดฉันนั้น สิ่งที่เล็กละเอียดก็เป็นอย่างนั้น อะตอมมีลักษณะสมบัติอย่างไร อนุภาคหรือควากส์ก็เป็นอย่างนั้นได้โดยหลักการ อะตอมมีสนามพลังงานได้หรือมีสนามควอนตัมได้ อนุภาคหรือควากส์ก็มีได้เช่นกัน ฉะนั้นจิตที่เล็กละเอียดสุดๆๆๆ ละเอียดยิ่งกว่าอนุภาคหรือควากส์ไม่รู้กี่เท่า ก็มีสนามพลังงานหรือสนามควอนตัมฟิลด์ ตลอดจนซุปเปอร์...ซุปเปอร์ ฯลฯ สนามควอนตัม จนไม่รู้ว่ากี่ซุปเปอร์กี่ซุปเปอร์ได้เหมือนกัน

รูเพิร์ต เชลเดรก นักชีววิทยาและนักวิจัย ได้สร้างทฤษฏีที่ก่อให้เกิดความโกลาหลวุ่นวายในวงการว่าด้วยวิทยาศาสตร์แห่งชีวิตมากมายเมื่อราวๆ ๓๐ ปีมาแล้ว จนบรรณาธิการวารสารวิทยาศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุดในอังกฤษและในยุโรป – ซึ่งเป็นอาจารย์ใหญ่ทางชีววิทยา - ถึงกับด่าว่า “เป็นหนังสือที่ควรเผาทิ้งทำลายมากที่สุด” แต่ต่อมา หนังสือและผลงานวิจัยกับทฤษฏีของเขากลับได้รับการอ้างอิงในทางบวกมากที่สุดคนหนึ่ง และผู้เขียนเชื่อว่า ท่านผู้อ่านบางคนคงเคยได้ยินชื่อของ รูเพิร์ต เชลเดรก บ้างไม่มากก็น้อย (Rupert Sheldrake: New Science of Life, 1981)

ว่ากันตามจริง ทฤษฏีของ รูเพิร์ต เชลเดรก ก็คล้ายคลึงกับความคิดของ เดวิด โบห์ม นักควอนตัมฟิสิกส์ผู้มีฉายานามว่า “ตัวแทนของไอน์สไตน์” (protégé) ที่คิดว่า โบห์มได้พิสูจน์สัจธรรมความจริงแท้ของพระพุทธองค์ดังที่ปรากฏในพระสูตรของพุทธศาสนามหายาน (อวตังสกสูตร) ที่กล่าวว่า ในจักรวาลนี้ ทุกๆ สิ่งและทุกๆ ปรากฏการณ์ล้วนแล้วแต่เชื่อมโยงต่อเนื่องซึ่งกันและกันเป็นหนึ่งเดียว (All is One and One is All) จริงๆ แล้วผู้เขียนคิดว่าความจริงทางควอนตัม (quantum reality) ทั้ง ๘ ข้อนั้น ล้วนแล้วแต่ตรงกับสัจธรรมความจริงของพุทธศาสนาทั้งนั้น นั่นคือวิทยาศาสตร์โดยฟิสิกส์ใหม่ซึ่งถูกต้องกว่าคลาสสิคัลฟิสิกส์ของนิวตันไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่านั้น ได้พิสูจน์แล้วพิสูจน์อีกจนหมดข้อสงสัยว่า สัจธรรมความจริงของพุทธศาสนาเป็นความจริงทางวิทยาศาสตร์ยุคใหม่อย่างไร? จึงไม่ควรที่ใครๆ จะเปรียบเทียบพุทธศาสนาว่าเป็นวิทยาศาสตร์เฉยๆ อย่างที่ผู้เขียนกล่าวมาข้างบนนั้น

ทฤษฏีของ รูเพิร์ต เชลเดรก มีใจความว่า สิ่งต่างๆ และปรากฏการณ์ทั้งหลายในโลกหรือจักรวาลทั้งหมด มีการกระทำที่มีรูปแบบแน่นอนตายตัว ที่ทำให้มันทั้งหลายมีรูปแบบหรือรูปร่างที่ต้องตายตัวเช่นนั้นโดยไม่มีทางเป็นอย่างอื่น คือพูดง่ายๆ มีรูปแบบหรือสนาม – เหมือนแท่งแม่เหล็กที่ไม่ว่าเราจะหักออกเป็นกี่แท่ง แต่ละแท่งก็จะยังคงลักษณะของแม่เหล็ก คือมีขั้วเหนือขั้วใต้อยู่เสมอไป - ที่จะต้องจัดการ (organize) ขยายข้ามมิติของเวลา-สถานที่ ให้มันเป็นเช่นนั้นอยู่วันยังค่ำ ลูกมะม่วงโดยธรรมชาติจะต้องมีรูปร่าง กลิ่น และขนาดของลูกมะม่วง ลูกจระเข้โดยธรรมชาติจะต้องเหมือนพ่อเหมือนแม่ของมันวันยังค่ำ

รูเพิร์ต เชลเดรก เรียกสนามที่ก็อปปี้รูปแบบนี้ว่า สนามรูปแบบของสรรพสิ่งทั้งหมด – รวมทั้งผลึกที่ไม่มีชีวิตด้วย - (morphic field) ซึ่งถ้าหากเป็นสิ่งมีชีวิต เขาจะเรียกว่าสนามรูปแบบของชีวิต (morphogenetic field) ส่วนการสะท้อนรูปแบบซึ่งทำให้ภาพของรูปแบบ (morphic resonance) ผ่านกาลเวลาเป็นล้านๆ ปี มีคนไปสัมภาษณ์ เดวิด โบห์ม ถึงในเรื่องนี้ในปี ค.ศ.๑๙๘๔ ว่าจะเกี่ยวข้องกับความต่อเนื่องเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกันหรือความเป็นทั้งหมด (all or wholeness) ของเขาหรือไม่ โบห์มตอบว่า ในทางควอนตัมฟิสิกส์ที่เขาเสนอนั้น เป็นเรื่องใหญ่ และทั่วไป และเกี่ยวกับจักรวาลทั้งหมด แต่หากเป็นเรื่องความคิดเห็นของ รูเพิร์ต เชลเดรก ในกรณีนี้แล้ว เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ ที่นักชีววิทยาตำหนิ รูเพิร์ต เชลเดรก เป็นเพราะเขาไปรื้อฟื้นความคิดของลามารค ที่นักชีววิทยาทั้งหมดไม่เชื่อ (แต่ตอนนี้ลามารคกลับมาแรงในวงการวิทยาศาสตร์)

ผู้เขียนคิดเอาเองว่า ที่นักชีววิทยาไม่ด่า เดวิด โบห์ม เพราะเขายิ่งใหญ่เกินไปประการหนึ่ง และเพราะว่าเป็นเรื่องของควอนตัมฟิสิกส์ที่นักชีววิทยาส่วนใหญ่ในเวลานั้นไม่ค่อยจะรู้อย่างลึกซึ้งเท่าใดนักอีกประการหนึ่ง จริงๆ แล้วนักฟิสิกส์จำนวนมากรวมทั้ง จอห์น เบลล์ นักฟิสิกส์รางวัลโนเบล (Bells’ theorem) เชื่อว่าการสร้างก็อปปี้รูปแบบ คือสนามควอนตัม (quantum field) รูปแบบหนึ่ง

บทความนี้มีเป้าหมายที่จะบอกท่านผู้อ่านว่า ความรู้ทั้งหมด - เช่นเดียวกับสรรพสิ่งสรรพปรากฏการณ์ทั้งหลายทั้งปวงในโลกในจักรวาล – ล้วนเชื่อมโยงต่อเนื่องเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่มีการแบ่งแยกระหว่างกัน หรือระหว่างอะไรต่อมิอะไร ในที่นี้คือศาสนากับศาสนา เพราะว่าทุกศาสนาเป็นเรื่องและสอนธรรมะหรือธรรมชาติ แต่คนเราทั่วไปมักจะคิดว่าธรรมชาติคือสิ่งแวดล้อมที่มองเห็น (หรือใช้อุปกรณ์เช่นกล้องจุลทรรศน์ช่วยขยาย) แต่ธรรมะนั้นรวมถึงธรรมชาติที่มองไม่เห็นและไม่มีทางมองเห็นด้วย ซึ่งก็คือความจริงที่แท้จริง (Absolute Mind หรือปรมัตถ์) หรือพระเจ้าที่อยู่สูงกว่าพระเจ้า หรือพระเจ้าที่เป็นส่วนตัว (personal God หรือผู้สร้าง ผู้ควบคุมและผู้ให้รางวัลกับลงโทษมนุษย์) หรือว่าศาสนากับวิทยาศาสตร์ ทั้งนี้ขอให้เป็นศาสนาหรือเป็นวิทยาศาสตร์จริงๆ

ผู้เขียนเชื่อว่าฟิสิกส์ใหม่มี ๒ ทฤษฏีคือ ทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ กับทฤษฏีควอนตัม คือความจริงที่แท้จริง ไม่เหมือนความจริงทางโลกที่อวัยวะประสาทสัมผัสของสัตว์โลกบอกกับสัตว์โลก (ที่รวมทั้งมนุษย์ด้วย) หรือคลาสสิคัลฟิสิกส์ของ ไอแซค นิวตัน และชีววิทยาดาร์วินิซึ่มของ ชาร์ลส์ ดาร์วิน แม้ว่าคลาสสิคัลฟิสิกส์และชีววิทยาดารวินิซึ่มจะใช้ได้ และผลิตเทคโนโลยีที่มีประโยชน์ สนองกิเลสตัณหาให้กับมนุษย์ได้ และทำให้คุณภาพของชีวิตมนุษย์ดีขึ้น แต่มันก็แค่ความจริงทางโลก ไม่ใช่ความจริงแท้ของจักรวาล ซึ่งไม่อาจจะอธิบายการพองตัว (inflation) ของจักรวาลอย่างทันทีทันใดได้ ไม่อาจจะอธิบายมวลสารและพลังงานมืด (dark energy) ได้ ไม่อาจจะอธิบายอัตราเร่ง (speed) ของกาแล็กซีที่นับวันนับวินาทีมีแต่จะเร็วขึ้น ๆ เรื่อยๆ ได้ หรือแม้ไม่อาจจะอธิบายการมีจักรวาลจำนวนไม่สิ้นสุดตามที่พุทธศาสนาบอกได้ ไม่อาจจะอธิบายความว่างเปล่าหรือสุญตาตามที่พุทธศาสนาบอกได้ ไม่อาจจะบอกการกำเนิดที่ไม่มีการกำเนิดของจิตและพลังงานปฐมภูมิ (primordial consciousness/primordial energy) ตามที่พุทธศาสนาบอกได้ ไม่อาจจะบอกการกำเนิดของสนามแห่งรูปหรือรูปแบบได้ ฯลฯ นอกจากการอธิบายด้วยควอนตัมเมคคานิกส์ ทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ และทฤษฏีซุปเปอร์สตริง นั่นคือจักรวาลวิทยาใหม่ที่มีอายุไม่ถึง ๑๐ ปี นั่นคือความจริงที่แท้จริงของจักรวาลหรือปรมัตถ์

Back to Top