X-Ray จิต พิชิตความไม่รู้



โดย ดร.พงษธร ตันติฤทธิศักดิ์
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2554

ตั้งแต่นำเสนอแนวคิด “ภูมิต้านทานการเปลี่ยนแปลง” ให้กับสังคมไทยมาหนึ่งปีกว่า ผมและทีมงานได้มีโอกาส X-Ray จิต ให้กับคนไทยมากว่าพันคน การ X-Ray จิต เป็นการสืบค้นภูมิต้านทานการเปลี่ยนแปลงของจิต ที่คนส่วนใหญ่มักไม่รู้ว่ามีอยู่ในตัวเอง ประเด็นสำคัญอยู่ที่การเปิดเผยให้คนได้เห็นด้วยตนเอง ว่ามีความรู้สึกนึกคิดอะไรที่กำลังทำงานอย่างเป็นระบบ ซ่อนอยู่ในจิตใต้สำนึก ทำให้คนมีพฤติกรรมและการแสดงออกต่างๆ ขัดแย้งกับใจที่อยากให้เกิดอะไรดีๆ ในชีวิต

ยิ่ง X-Ray จิตมาก ประสบการณ์และเรื่องราวที่ได้รับฟังก็ยิ่งมากตามไปด้วย สิ่งที่ผมพบก็คือ เอาเข้าจริงแล้ว คนปรับตัวยาก แม้ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงเร็ว ในยุคนี้ใครว่า “ไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก” ก็คงจะพูดได้ไม่เต็มปากเต็มคำกันแล้ว เพราะไม่ว่าจะวัยไหนก็ “ดัดยาก” ไปตามๆ กัน ในยุคข้อมูลข่าวสาร ยิ่งรู้มาก ยิ่งดัดยากเสียด้วย

คนในยุคนี้เรียนรู้ทักษะใหม่ในการดำรงชีวิตท่ามกลางข้อมูลข่าวสารจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นทักษะค้นหากูเกิล หรือทักษะอัพเดตสถานะบ้างอะไรบ้าง แต่จากข้อเท็จจริงที่พบ ผมกลับคิดว่า คนยุคนี้ต้องการทักษะในการปรับตัว (adaptive skills) พูดให้ง่ายก็คือ ให้แต่ละคนหันกลับมาฝึกตัวเองให้เป็น “ไม้อ่อนดัดง่าย” ไม่ว่าจะอยู่ในวัยไหนก็ตาม

ทักษะในการปรับตัวนี้มีอยู่ในตัวทุกคนอยู่แล้ว เพียงแต่หลับใหลอยู่เท่านั้นเอง การปลุกทักษะนี้ให้ตื่นขึ้น อาศัยแนวทางการ X-Ray จิต จนเจอกับภูมิต้านทานการเปลี่ยนแปลง ที่ทำงานอย่างเป็นระบบ โดยมีความเชื่อผิดๆ เป็นเหตุ ก่อให้เกิดความรู้สึกนึกคิดที่ซ่อนอยู่ จนนำไปสู่พฤติกรรมขัดแย้ง เมื่อเรารู้ตัวแล้วว่ามีภูมิต้านทานอะไรอยู่ เราจึงสามารถทำงานต่อไปได้ โดยเริ่มจากการกล้าเผชิญความเชื่อผิดๆ ของตนเอง ลงมือทำอะไรบางอย่างที่ท้าทายความเชื่อนั้น เพื่อรับข้อเท็จจริง จนจิตใต้สำนึกยอมจำนนกับข้อเท็จจริง เป็นการเรียนรู้ไปปรับเปลี่ยนไป

กล่าวโดยรวม กระบวนการ X-Ray จิตและทำงานกับภูมิต้านทาน เพื่อพิชิตความไม่รู้ ทั้งที่ไม่รู้เรื่องและไม่รู้ตัว (ดูภาพประกอบ) พื้นที่ทางจิตคนเรามี ๔ ด้าน แบ่งอย่างง่ายๆ ออกเป็นสองเกณฑ์คือ จิตผู้รู้ (subject) กับ สิ่งที่ถูกรู้ (object) จิตผู้รู้มีสองกลุ่มใหญ่ๆ คือ รู้ตัว กับไม่รู้ตัว ในขณะที่สิ่งที่ถูกรู้มีสองกลุ่มใหญ่ๆ คือ รู้เรื่อง กับไม่รู้เรื่อง รวมกันเป็น “หน้าต่างความ (ไม่) รู้” พื้นที่ที่เรารู้ตัวว่าเรารู้เรื่องอะไรเรียกว่า “ฉลาด” พื้นที่ที่เรารู้ตัวว่าไม่รู้เรื่องอะไรเรียกว่า “โง่” อันนี้เป็นฝั่งที่เรารู้ตัว ส่วนฝั่งที่เราไม่รู้ตัว มีพื้นที่ที่เราไม่รู้ตัวว่าเรารู้เรื่องอะไร เรียกว่า “หลง” เช่น หลงเชื่อ หลงรัก หลงคิด หลงกลัว เป็นต้น ในขณะที่พื้นที่สุดท้ายคือพื้นที่ที่เราไม่รู้ตัวเลย ว่าเราไม่รู้เรื่องอะไร เป็นสุดยอดของความไม่รู้ เรียกว่า “หลับใหล” เป็นที่เก็บของศักยภาพและทักษะต่างๆ ในตัวเรา


หน้าต่างความ (ไม่) รู้

สงวนลิขสิทธิ์โดย สถาบันปลูกรัก


หน้าที่ของเราในยุคนี้คือ ขยายพื้นที่ทางจิตในช่อง “ฉลาด” ให้กว้างขึ้น

ผมพบว่า เพียงแค่คนได้เจอความเชื่อผิดๆ ที่ตนหลงเชื่อมานาน ชีวิตเขาก็เริ่มเห็นช่องทางในการพ้นจากความทุกข์ในใจ คล้ายกับคนมีอาการป่วย แต่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นโรคอะไร พอแค่ได้รู้ต้นเหตุที่แท้จริง ก็สบายใจขึ้น เพราะรู้ว่าจะรักษาอย่างไรให้ถูกวิธี

หลังจากนั้นคือ ลงมือรักษา ในที่นี้คือ ท้าทายตัวเองให้ทำนอกเหนือจากความหลงเชื่อ เพื่อรับข้อเท็จจริง ที่นอกเหนือการรับรู้ตามความเชื่อเดิม ผลลัพธ์ในเบื้องต้นเมื่อจิตเริ่มคลี่คลายจากความหลงเชื่อ คือ คนมีความสุขในชีวิตมากขึ้น ผลลัพธ์ในเบื้องปลายคือ คนปรับตัวง่ายขึ้น

ความสามารถในการปรับตัว (adaptive capacity) ให้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก เป็นสิ่งที่เก็บซ่อนอยู่ในพื้นที่ “หลับใหล” คนที่ทำงานกับภูมิต้านทานจะเริ่มมีทักษะในการปรับตัวติดตัวไปด้วย ได้แก่ ทักษะการสังเกต ทักษะการตีความหมายใหม่ ทักษะการจัดลำดับความสำคัญใหม่ในการลงมือทำ เป็นต้น

เปรียบเทียบกับทักษะชีวิตของคนเราหลายอย่างๆ ก็มีลักษณะหลับใหลคล้ายคลึงกัน เมื่อเหตุปัจจัยเหมาะสม ทักษะนั้นก็จะถูกปลุกขึ้นมา เช่น ทักษะการขี่จักรยาน ทักษะการว่ายน้ำ เป็นต้น เราอาศัยการลองลงมือทำ ขี่ล้มๆ ว่ายจมๆ วันดีคืนดี เราก็ขี่ได้ ว่ายเป็นขึ้นมา อย่างผมเองเคยมีประสบการณ์ตรงกับเรื่องว่ายน้ำ จากเดิมที่ลอยตัวไม่เป็น กลัวจมน้ำ แต่ก็อาศัยไปสระว่ายน้ำอยู่เป็นประจำ วันดีคืนดี ผมฝันว่า ผมลอยน้ำได้ วันรุ่งขึ้น ผมก็ลองเอาตัวไปลงน้ำ วันนั้นกลับลอยน้ำได้เลย เราลองทบทวนดูว่าชีวิตของเรามีทักษะอะไรบ้างที่ถูกปลุกขึ้นมา

เวลาเรามองขึ้นไปบนท้องฟ้ายามเช้า เรามองไม่เห็นดวงจันทร์ เรามองไม่เห็นดวงดาว แต่ถามว่ามีดวงจันทร์ดวงดาวอยู่ไหม มีอยู่ ที่มองไม่เห็นเพราะมีแสงบดบังอยู่ ภูมิต้านทานการเปลี่ยนแปลงของเราก็เหมือนกัน มีอยู่ แต่มองไม่เห็น เพราะมีจิตสำนึกบดบัง ความจริงคือ มันทำงานกับเราตลอดเวลา เหมือนดวงจันทร์ดวงดาวที่ส่องแสงอยู่ตลอดเวลา เราจึงมักกระทำพฤติกรรมและแสดงอารมณ์ที่ขัดแย้งกับความตั้งใจดีๆ ในชีวิต เช่น ตั้งใจว่าจะใช้จ่ายอย่างประหยัด แต่เอาเข้าจริง เวลาเดินไปในห้าง เจอสินค้าออกใหม่ สินค้าลดราคา เราก็แวะดูสักหน่อย รู้ตัวอีกทีก็มีของติดตัวกลับบ้านมาเสียแล้ว รู้ตัวอีกทีก็มานั่งรู้สึกผิด ทั้งหมดทั้งปวงมันเกิดจากเราไม่รู้ตัวว่ามีอะไรทำงานอยู่ใต้จิตสำนึก

จากตัวอย่าง หากนักช็อปปิ้งทำงานกับภูมิต้านทานได้แล้ว เขาจะมีความสุขมากขึ้นที่ไม่หลงซื้อโดยไม่รู้ตัว และเขาจะมีความสามารถในการปรับตัวอย่างเหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของแฟชั่น สังเกตกระแสการเปลี่ยนแปลงออก รู้ว่าอะไรควรซื้อหรือไม่ควรซื้อ เป็นผู้บริโภคที่ฉลาดมากขึ้น

X-Ray จิต พิชิตความไม่รู้ ทำให้จิตฉลาดขึ้น ยิ่งทำงานกับภูมิต้านทานจริง จิตก็จะยิ่งฉลาดขึ้นอีก เป็นความฉลาดทางการปรับตัว (ไม่ใช่มีแต่ข้อมูลความรู้) ยุคความรู้แบบทุกวันนี้ ต้องการจิตฉลาดปรับตัวแล้วนะครับ

Back to Top