จักรวาลวิทยาใหม่ ทุกสิ่งคือดนตรีที่มาจากการสั่นทั้งนั้น



โดย ศ.นพ.ประสาน ต่างใจ
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 19 มีนาคม 2554

จักรวาลวิทยาใหม่ วิชาที่มีมาไม่ถึงสิบปี แต่มีความสำคัญยิ่งจากการสั่นหรือการสั่นสะเทือนของเชือก – สตริงที่เล็กละเอียดที่สุด จนผู้เขียนคิดว่าอาจจะเป็นจิตจักรวาล ที่ทางพุทธเราเรียกว่าความจริงทางโลกที่พิสูจน์ได้เต็มร้อยโดยคณิตศาสตร์ของทฤษฎีซุปเปอร์สตริง แต่น้อยคนนักที่จะรู้ ทั้งๆ ที่มีความสำคัญที่สุดที่มนุษย์ทุกคนจะต้องรู้ โดยเฉพาะนักชาตินิยมและทหาร ซึ่งรู้จักรากเหง้าหรือกำพืดของมนุษย์เราแค่ครึ่งๆ กลางๆ ทำให้มนุษยชาติเกิดความแตกแยกกันเป็นชาติพันธุ์ต่างๆ สำคัญกว่าศาสนา วัฒนธรรม และภาษาซึ่งตามมาทีหลัง โลกจะได้สงบเมื่อมนุษยชาติเลิกแบ่งแยกจากกัน และยุติการสะสมอาวุธยุทโธปกรณ์ที่หาประโยชน์อันใดไม่ได้

นั่นคือเรื่องที่นักจิตวิทยาและนักคิดนักเขียนในปัจจุบันบอกเรา และผู้เขียนได้พูดได้เขียนมาตลอดว่ามนุษยชาติที่มีเผ่าพันธุ์เดียวเท่านั้นได้มีวิวัฒนาการทางจิตตามสเปคตรัมของจิต (spectrum of consciousness) ตั้งแต่การตั้งหลักแหล่งถิ่นฐานเมื่อราวๆ ๑๒,๐๐๐ ปีก่อนเรื่อยมา กระทั่งเรามีอารยธรรม “สมัยใหม่” หรือยุคแห่งเหตุผล มนุษยชาติไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลงวิวัฒนาการทางด้านจิตเลย ดังที่โพลตินัสกล่าวไว้เมื่อร่วมสองพันปีมาแล้วว่า “มนุษย์ยืนอยู่ระหว่างสัตว์ร้ายกับเทวดา” ยังคงเห็นแก่ตัว “ตัวกูของกู” กับ ความดีงามที่น่าใจหาย (self) มิไยว่าเราจะยกยอปอปั้นหรือกฎหมายจะลงโทษอย่างไร “คนย่อมเป็นคนอยู่วันยังค่ำ” เว้นเสียแต่เราจะมีวิวัฒนาการทางจิตไปตามสเปคตรัมที่สูงขึ้น เข้าสู่สภาวะจิตวิญญาณมากขึ้น คือจะต้องมีวิวัฒนาการเกิดขึ้นมาก่อน บางทีอาจจะภายในสองสามปีข้างหน้า หากเราสังเกตดูประชาโลกที่หันไปหาวัด เข้าโบสถ์ และทำสมาธิมากกว่าแต่ก่อนมาก อาจจะเพราะเรารู้ตัวว่าได้ทำกรรมต่อโลกไว้มากด้วยอวิชชาก็เป็นได้

นั่นคือรากเหง้าของมนุษยชาติที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับคำถามแรกสุดว่า “เราคือใคร? และมาจากไหน?” นั่นคือจักรวาลวิทยาใหม่ซึ่งมีลักษณะพิเศษ คือมีจำนวนจักรวาลไม่สิ้นสุด เฉพาะจักรวาลของเราเพียงแห่งเดียวมีเพียงร้อยละ ๔ เท่านั้นที่มองเห็น ส่วนอีกร้อยละ ๙๖ มองไม่เห็น ประกอบด้วยพลังงานมืด (dark energy) ร้อยละ ๗๓ อันเป็นพลังงานที่ให้การพองตัว (inflation) ที่นับวันยิ่งรวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ และอีกร้อยละ ๒๓ เป็นสสารมืด (dark matter) ที่ให้แรงโน้มถ่วง ที่ป้องกันไม่ให้ทุกสิ่งทุกอย่างหลุดลอยหายไป นอกจากนี้จักรวาลยังประกอบไปด้วยกาแลคซี่มากมายถึงสิบยกกำลังสิบเอ็ด และแต่ละกาแลคซี่ประกอบด้วยดาวจำนวนสิบยกกำลังสิบเอ็ดหรือหนึ่งร้อยพันล้านดวง เท่ากับจำนวนเซลล์สมองของมนุษย์พอดี

ฉะนั้นในความเห็นของผู้เขียน มนุษย์คือจักรวาล จึงไม่มีคำว่าโลกแตก มีแต่ดับๆ เกิดๆ และมนุษย์จะต้องอยู่คู่ไปกับจักรวาล (คุณภาพของมนุษย์สำคัญที่สุดและสำคัญกว่าปริมาณมากนัก) จนกระทั่งเข้าถึงนิพพานเท่านั้นที่เป็นจุดมุ่งหมายสุดท้ายของจักรวาล

ผู้เขียนคาดหวังว่าเราและเด็กทุกๆ คนในโลกสามารถจะเรียนกับรู้ว่ามนุษย์ทุกคนมาจากแหล่งเดียวกันและมีเผ่าพันธุ์หนึ่งเดียวเท่านั้น จักรวาลนี้คือประเทศชาติหนึ่งเดียวของมนุษย์ มนุษย์เราจะต้องเรียนและรู้รากเหง้าหรือกำพืดของตัวเอง ไม่ใช่รู้เพียงครึ่งๆ กลางๆ เช่นเมื่อก่อน เรียนกับรู้จักรวาลวิทยาใหม่ซึ่งเหมือนดนตรีหรือออร์เคสตราของจิตไร้สำนึกของจักรวาลที่เหมือนกับเชือกหรือสตริงที่เล็กละเอียดอย่างที่สุด (ขนาดเล็กว่าสิบยกกำลังลบยี่สิบสี่) นั่นคือ จิต (ไร้สำนึก) ที่พุทธศาสนาบอกว่ามีมาตั้งแต่ก่อนจักรวาลกำเนิดเสียอีก และแยกออกจากพลังงานไมได้

พุทธศาสนาโดย ดเวน เอลยิ่น (Duane Elgin) นักจิตวิทยาซึ่งปฏิบัติสมาธิแนวพุทธศาสนามานาน บอกในหนังสือ The Living Universe ว่าจักรวาลวิทยาใหม่ที่ได้มาจากทฤษฎีซุปเปอร์สตริง มีความละม้ายคล้ายคลึงกับพุทธศาสนาตรงที่มีจักรวาลหลากหลายไม่สิ้นสุด เกิดๆ ดับๆ ไปเรื่อยๆ และ บี. อลัน วอลเลซ (B. Alan Wallace) นักปรัชญาชาวพุทธได้กล่าวไว้ในหนังสือ Hidden Dimension ว่าจิต (ไร้สำนึก) นั้น - ซึ่ง คาร์ล ซี. จุง เรียกว่าจิตร่วมจักรวาล (universal unconscious continuum) เพราะนักจักรวาลวิทยาในสมัยนั้นยังเชื่อว่าจักรวาลมีหนึ่งเดียว – จะโผล่ปรากฏออกมาจากสุญตา (เป็นอทวิภาวะหรือวิมุตติ) เกิดๆ ดับๆ ไม่มีที่สิ้นสุด แต่ใครเล่าจะเชื่อในพุทธศาสนา หรือเชื่อจักรวาลวิทยาในตอนนั้นหรือแม้แต่ในตอนนี้!!

ผู้เขียนยังเชื่อต่อไปว่า ศาสนาใหญ่ๆ แทบจะทุกศาสนามีกล่าวไว้เหมือนๆ กันว่าคลื่นแห่งการสั่นสะเทือน ไม่ว่าเป็นแสง หรือเป็นเสียง หรือเป็นเสียงดนตรี หรือเป็น “ศัพท์” ที่คุรุนานักในศาสนาซิกห์ หรือเป็นคำพูด (the Word of God) ที่จอห์นหรือธอมัส (นาร์ก แฮมมาร์ดี) หรือที่นบี มูหะหมัด ได้ยิน ทั้งหมดนี้ได้อธิบายถึงสัจธรรมความจริงแท้ หรือพระเจ้าของศาสนานั้นๆ ผู้เขียนคิดว่าจะมีหรือไม่มีพระเจ้าก็ไม่ได้แตกต่างกัน หากว่าในศาสนานั้นๆ พระเจ้าหมายถึงความจริงแท้ที่มีเพียง “หนึ่ง” เท่านั้น

อย่าลืมว่าสิ่งที่อยู่ข้างหลังแสงอันกระจ่างใส อยู่ข้างหลังศัพท์หรือคำพูด หรือเชือกสตริงแห่งโน้ตเพลง หรือดนตรีออร์เคสตรา คือความสั่นไหวหรือสั่นสะเทือน (vibration) คือคลื่น (frequency) ฉะนี้แล้ว การสั่นสะเทือนก็คือความไม่เที่ยงแท้ ไม่แน่นอน หรือการเปลี่ยนแปลงวิวัฒนาการอันเป็นความจริงทางโลก ทางสังคม ความจริงที่มองเห็น หรือรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัส ตา หู จมูก ลิ้น กายสัมผัส และจิตใจ (วิญญาณขันธ์) ความจริงของจิตสำนึกหรือจิตรู้ที่เป็นผลผลิตของจักรวาลน้อยๆ (microcosmos) หรือมนุษย์ หรือสมองของมนุษย์ - จักรวาลภายใน - อันเป็นตัวรู้ของจิตรู้ที่บริหารโดยสมองไปตามสเปคตรัมของจิต ที่สุดท้ายคือวิมุตตินิพพานที่คงที่ถาวรและไม่ตายไม่เปลี่ยนแปลงทางจิตอีกตลอดกาล (อสังขตธรรม) นั่นเป็นสภาวธรรมที่ตรงกันข้ามกับจักรวาลภายนอก (macrocosmos)

นั่นคือจักรวาลวิทยาใหม่ที่เราต้องเรียนเพื่อจะรู้ว่า เราคือใคร?

พุทธศาสนาบอกว่าจักรวาลที่มองเห็น (ไม่ได้บอกว่ามีเพียงร้อยละ ๔) คือความจริงทางโลก – แยกจากความจริงทางธรรมหรือความจริงแท้ - ที่วิทยาศาสตร์บอกกับเราว่าประกอบด้วยวัตถุที่แข็งกระด้าง ซึ่งเราเชื่ออย่างปราศจากข้อสงสัยใดๆ ทั้งสิ้น เพราะว่าตรงกับประสบการณ์และการรับรู้ของเรา แต่ทว่านั่นไม่จริงเลย ถ้าเราลงลึกไปจนถึงระดับควอนตัมเมคคานิกส์ เราจะพิสูจน์โดยสิ้นข้อสงสัยว่าความแข็งกระด้างจะละลายหายไปจนเกือบทั้งหมด นั่นแสดงว่าการรับรู้ของเรา ประสบการณ์ของเรา ตัวรู้หรือสมองของเราจะคำนึงถึงการดำรงรอดของเราในโลกหรือในจักรวาลสามมิติ (บวกหนึ่ง) เป็นสิ่งสำคัญที่สุด

ทั้งหมดที่เล่าไปนั้น แปลก! ที่ทุกๆ ศาสนาเท่าที่ได้อ่านมา ไม่จำเพาะแต่พุทธศาสนา และนักวิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่มากหลายต่างล้วนบอกว่าแสงหรือเสียง แสงที่พุทธศาสนากล่าวว่า จักรวาลที่มองเห็น แม้จะไม่มีแสงอาทิตย์หรือแสงจันทร์แต่ไม่เคยมืด และเสียงคือดนตรีออร์เคสตรานั้น อีกนัยหนึ่งคือการสั่นไหวของคลื่นความถี่ หรือเสียงก้องสะท้อน

นั่นคือธรรมชาติทั้งสองระดับ หรือธรรมะของพุทธศาสนา หรือพระเจ้านั่นเอง จึงอาจเป็นไปได้ที่ทุกๆ ศาสนาโดยเฉพาะพุทธศาสนา คือวิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่หรือควอนตัมเมคคานิกส์ ที่นักฟิสิกส์ใหม่แห่งมหาวิทยาลัยโอเรกอน อมิต โกสวามี บอกเราในการประชุมใหญ่ที่เบิรก์เลย์เมื่อเดือนพฤษภาคม ปีค.ศ.๑๙๙๖ ว่า “ทั้งสองเหมือนกันยังกับแกะมาจากพิมพ์เดียวกัน” (in complete agreement)

ธรรมะของพระพุทธองค์นั้น ไม่ว่าจะเป็นความจริงทางโลกหรือความจริงทางธรรม ล้วนต้องอาศัย “การเห็นกับความเข้าใจ” เพราะลึกล้ำและเป็นสิ่งที่ปรากฏออกมาเองโดยธรรมชาติ คือปฏิบัติได้จริงๆ

Back to Top