สู่ชีวิตเดิมแท้ (Soul Journey)



โดย ณัฐฬส วังวิญญู
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 21 มกราคม 2555

สำหรับปีที่ผ่านมา ประสบการณ์ที่ถือว่าเป็นรางวัลชีวิตที่ล้ำค่าที่สุดของผมคือการได้กลับมาภาวนาในพื้นที่ป่าต้นน้ำแม่ขานอันศักดิ์สิทธิ์ ที่ผู้เฒ่าผู้แก่และคนหนุ่มสาวปกาเกอญอช่วยปกปักษ์รักษาไว้มาตลอด สำหรับผม ที่นี่คือวิหารใหญ่ที่ช่วยให้จิตวิญญาณของผู้คนที่มาเยี่ยมเยียนและพำนักได้รับการหล่อเลี้ยงและฟื้นฟู

It’s not part of the plan because it’s the path that call us to make our journey.

เป็นเรื่องน่าแปลกว่าหลังจากน้ำท่วมกรุง กิจกรรมหลายอย่างถูกยกเลิก หลายคนตกงาน หรือว่างจากงาน กลายเป็น “โลกเว้นวรรค” หลายคนรอคอยการกลับคืนสู่ชีวิตปกติ หลายคนที่ตั้งใจจะมาเข้าร่วมนิเวศภาวนาก็ยกเลิกไปเหลือเพียง ๓ คน จนทางสถาบันขวัญแผ่นดินที่เป็นผู้จัดต้องขอยกเลิกการจัดไปด้วยความจำเป็นทางเศรษฐกิจ แต่เมื่อผมได้โทรคุยกับผู้เข้าร่วมทั้งสามคนที่ล้วนแล้วแต่เป็นผู้หญิง ก็ได้รับรู้ถึงความตั้งใจดีที่จะเข้าร่วมหลักสูตร ที่จะได้ใช้ชีวิตลำพังกับธรรมชาติและอดอาหารถึงสองวัน ความตั้งใจที่จะละทิ้งโลกที่เอื้ออำนวยความสะดวกสบาย และความปลอดภัย แล้วเดินทางไปสู่ความไม่รู้ ความลำบากและธรรมชาติเพื่อแสวงหาพลังและความเข้าใจให้กับชีวิต ทำให้ผมได้ตระหนักรู้ถึง “วาระชีวิต” ของแต่ละคน ว่าร้องเรียกชัดเจนถึงการเดินทางที่จำต้องเกิดขึ้น ราวกับเป็นฤดูชีวิตที่หมุนเวียนเปลี่ยนมาถึงวาระแห่งการเปลี่ยนผ่านภายใน

ผมตกลงทำตามแผนการใหม่ที่มาจากผู้เข้าร่วมและใจของตัวเอง มันดูไม่มีเหตุผลทางเศรษฐกิจ แต่มันสอดคล้องกับจิตใจลึกๆ ที่อยากทำอะไรบางอย่างที่เป็นเหมือนกับการมอบของขวัญที่งดงาม และประณีตลึกซึ้งให้กับชีวิต เป็นการส่งท้ายปีเก่าที่ลงตัว เพราะจะว่าไปแล้วชีวิตของการเป็นนักจัดฝึกอบรมในเรื่องการเรียนรู้ภายในให้กับผู้คนและองค์กรต่างๆ ก็เปรียบได้กับช่างฝีมือที่ช่วยสร้างสรรค์ชิ้นงานให้กับผู้คนในเวลาและพื้นที่อันจำกัด แต่สำหรับการทำนิเวศภาวนานั้น ด้วยเวลาและสถานที่ที่ยาวนานและกว้างใหญ่ขึ้น ชิ้นงานหัตถกรรม ทางจิตจึงมีโอกาสประณีตและทรงค่ายิ่งขึ้น

เราเริ่มต้นเดินทางออกจากเมืองเชียงใหม่โดยขับรถมุ่งหน้าสู่ดินแดนแห่งขุนเขา อ.สะเมิง ระหว่างทางเราแวะพักดื่มกาแฟและเช็คอินเพื่อรับรู้ความตั้งใจของแต่ละคน ว่าวาระชีวิตที่นำพาเรามาร่วมกันจาริกครั้งนี้คืออะไร มันเป็นบทสนทนาที่ช่วยทำให้แต่ละคนชัดเจนกับความปรารถนาเบื้องลึกภายในตัวเอง เพราะความชัดเจนนี้ จะช่วยทำให้คำตอบที่เราจะได้รับจากธรรมชาติชัดเจนและทรงพลังเช่นกัน ดังที่เราได้ค้นพบถึงความปรารถนาของแต่ละคนที่ต้องการข้ามพ้นความกลัวภายในใจ แล้วใช้ชีวิตอย่างเปิดเผย กล้าเผชิญ การเข้าถึงสมดุลของชีวิต หรือการก้าวออกมาจากความโดดเดี่ยวแล้วกลับคืนสู่การสร้างสัมพันธภาพที่เกื้อกูลกับคนรอบข้าง เมื่อเรารู้อย่างกระจ่างชัดแล้วว่าเราต้องการละโลกไปชั่วคราวนี้เพื่อจะรับพลังวิเศษใดกลับมา เราก็ออกเดินทางกัน

ในนิเวศภาวนา การละโลกคือการละโลกแห่งสมมติ ที่เต็มไปด้วยเงื่อนไข ข้อผูกมัดและพันธนาการทั้งมวลที่เราและสังคมมีต่อกัน และที่ก่อประกอบขึ้นมาเป็น “ตัวเรา” ไม่ว่าเราจะมี “ฐานะ” เป็นอะไรในสังคม เช่น เป็นพ่อหรือแม่ สามีหรือภรรยา ลูกหรือพี่น้อง หัวหน้าหรือลูกน้อง ละอำนาจและฐานที่มั่นของตัวตน แล้วดำเนินกลับไปสู่โลกแห่งธรรมชาติเดิมแท้ที่ดำรงอยู่ทั้งภายนอกและภายใน คล้ายกับการเข้าสู่ “ความตาย” ของตัวเอง เป็นความไม่มีเหลือซึ่งความมั่นคง ความรู้หรือแม้แต่สติแบบที่เคยเป็น นี่ไม่ใช่การไป “ฝึกสติในธรรมชาติ” แต่ฝึก “ทิ้ง” ตัวตนที่อยากมีสตินั้นอีกชั้นหนึ่ง เพื่อให้เห็นว่าเมื่อเกิดความว่างและสูญสิ้นแล้วจะเหลือสิ่งใด เมื่อไร้อำนาจและพลังในชีวิตแล้ว จะมีแรงอะไรเหลือ นี่ไม่ใช่การฝึกสร้างความแข็งแกร่งทางกายและใจอีกเช่นกัน เพราะเป็นการเดินทางที่จะไม่มีการรับประกันสิ่งใด ไม่ว่าจะเป็นรางวัลและผลลัพธ์ตอบแทน มีแต่จะเรียกร้องให้เราได้อุทิศชีวิตและยอมรับความสิ้นสูญอย่างศิโรราบ ดังนั้นจึงเป็นการเดินทางเพื่อเผชิญกับความกลัวที่เกิดจากการอดและความไม่รู้

แนวทางปฏิบัติเช่นนี้มีที่มาจากวิถีปฏิบัติดั้งเดิมของชนเผ่าต่างๆ ในโลก ซึ่งแม้ดูจะแตกต่างจากการปฏิบัติเพื่อพัฒนาจิตโดยทั่วไปในท่าทีและวิธีการบางอย่าง เพราะโดยทั่วไป การปฎิบัติธรรมที่มุ่งเป้าสู่การละตัวตน เพื่อยกระดับจิตให้สูงขึ้นจนหลุดพ้นและเป็นอิสรภาพจากโลกมนุษย์ที่ดำเนินไปด้วยอาสวกิเลส คือ ความโลภ โกรธ หลง ดังที่มีอยู่แล้วในศาสนา ซึ่งเปรียบกับการเดินทางขึ้นจากโลกมนุษย์สู่ดินแดนชีวิตที่เหนือสามัญ (ขึ้นฟ้า) ในขณะที่นิเวศภาวนามีท่าทีของการลดทอนและละทิ้งตัวตน จนน้อมต่ำลงสู่ความเป็นธาตุดั้งเดิมที่แปรเปลี่ยนไปตามกระแสธารของธรรมชาติและแผ่นดิน (ลงดิน) เหมือนกับการยอมให้ชีวิตตกให้ต่ำเพื่อหยั่งถึงรากฐานเดิมแท้ของชีวิต นั่นคือ ความแปรเปลี่ยน ความสูญสิ้นและเอกภาพของชีวิตทั้งมวล หากมองแนวทางทั้งสองก็จะเห็นว่า หากตกได้ต่ำเท่าไร ก็จะยิ่งสามารถหยั่งรากลงลึก และเพื่อหยัดยืนคืนสู่โลกมนุษย์ได้อย่างมั่นคงเท่านั้น


เพื่อนวัยเยาว์ชาวอเมริกันคนหนึ่งชื่อ แซม ไวน์สต็อค (อายุ ๒๒ ปี) ได้เล่าให้ฟังถึงประสบการณ์การข้าม ผ่านเขตชีวิต ว่าเมื่อเขาอายุครบยี่สิบ เขาได้อธิฐานเพื่อขอพลังแห่งการเติบใหญ่จากชุมชนและธรรมชาติ โดยก่อนเข้าสู่การเข้าเงียบ และอด เขาปาวารณาเว้นจากเครื่องมึนเมาทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นบุหรี่ สุรา รวมทั้งสื่อโทรทัศน์และอินเตอร์เนท เพื่อบ่มเพาะพลังแห่งการตื่นรู้ภายในให้มั่นคง แล้วเมื่อชุมชนมารวมตัวกัน ก็ได้ทำพิธีผูกข้อมือเขากับแม่ด้วยเชือกอย่างแน่นหนา หลังจากนั้นให้ทั้งสองตัดพันธนาการที่ผูกติดกันอยู่ทั้งทางกาย และทางใจออกจากกันให้ได้ คล้ายกับการตัดครั้งแรก คือตัดสายสะดือตอนคลอด เพื่อให้ทั้งสองได้เติบโตและมีชีวิตอยู่ต่อไป (หากไม่ตัดจะตาย) แล้วเข้าไปสู่ห้วงเวลาแห่งการอด และนิเวศภาวนา บนยอดเขาเป็นเวลา ๔ วันเพื่อรับภารกิจ ชีวิตและพลังจากธรรมชาติ เมื่อกลับคืนสู่โลกมนุษย์ ชุมชนก็จะรับฟังเจตนาแห่งการใช้ชีวิตของเด็กหนุ่มผู้นี้และสนับสนุนเกื้อกูล เขาเดินทางไปสู่โลกมืดและเผชิญกับมารภายในตน คือความกลัว ความหิว ความเบื่อหน่ายและจิตตารมณ์ทั้งหลายให้รอดด้วยตัวเอง แล้วน้อมรับพลังวิเศษกลับมาใช้ให้เกิดคุณในโลกแก่สังคมในโลก

สำหรับการเดินทางของพวกเราครั้งนี้ มีผู้เฒ่าปกาเกอญอที่ผ่านราตรีแห่งขุนเขามายาวนาน ได้ช่วยขอพรจากผืนดิน และสายน้ำ ให้เราแต่ละคนได้เข้าสู่การเข้าเงียบและอดอาหารลำพังเป็นเวลา ๒ วัน ๒ คืนเพื่อเปิดรับพลังวิเศษ หรือโอสถทางจิตวิญญาณ (Medicine) จากธรรมชาติ ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร นี่จะเป็นห้วงเวลาที่ความโดดเดี่ยว ความหิว ความกลัว ความโหยหา ความไม่สบายเนื้อสบายตัว หรือแม้แต่ความเบื่อหน่ายจะเผยผุดได้อย่างชัดเจน การอดอาหารจะเป็นการตัดกำลังออกจากร่างกายที่เป็นฐานความมั่นคงอันหนึ่งให้กับจิต แล้วพิธีกรรมในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ที่จะเกิดขึ้นทั้งอย่างตั้งใจและแบบธรรมชาตินี้ จะช่วยทำให้เกิดพื้นที่ภายใน และความสัมพันธ์ใหม่ที่จิตมีต่อตัวเองและธรรมชาติ บางคนทำการก่อไฟ หรืออาบน้ำ ตัดผม หรือเหลาไม้ ปีน มุด เดิน นอน ยืน ร้องเพลง ร่ายรำหรือแม้แต่การหลับใหลไปกับความเหน็ดเหนื่อย ก็ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างพื้นที่พร้อมรับปัญญาและพลังของธรรมชาติ

เมื่อได้กลับเข้ามาแบ่งปันถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงของการภาวนาให้กับวงของผู้อาวุโสได้รับรู้ และสะท้อนทวน ก็จะทำให้แต่คนได้เห็นว่าพลังวิเศษที่ตัวเองได้รับคืออะไรอย่างชัดเจนขึ้น พลังวิเศษนี้จะเกิดผลอย่างแท้จริงเมื่อนำกลับมาใช้ในโลกของมนุษย์ เป็นการตายเพื่อเกิดใหม่ หากตายจริงก็จะเกิดใหม่จริง พร้อมกับพลังวิเศษที่ติดตัวมาพร้อมกับเป้าประสงค์หรือภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์ของการถือกำเนิดทางจิตวิญญาณ โลกมนุษย์อาจจะยังต้องการตำนานและการเดินทางทางจิตวิญญาณเหล่านี้เพื่อไม่หลงลืมรากเดิมแท้ของชีวิต คือธรรมชาติที่เรียบง่ายและไม่แบ่งแยก เพื่อว่าอารยธรรมของโลกจะไม่ดำเนินไปสู่การทำลายหรือทำร้ายตัวเองไปมากกว่าที่เป็นอยู่นี้

Back to Top