โดย
ชลนภา อนุกูล
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 10 สิงหาคม 2556
ดาลิต หรือ จัณฑาล เป็นคนนอกวรรณะ ถือเป็นกลุ่มคนระดับล่างสุดของระบบวรรณะตามศาสนาฮินดู คนจน ขอทาน คนไร้บ้าน ที่เราเห็นตามท้องถนนอินเดีย ส่วนใหญ่ก็คือดาลิต และถูกปฏิบัติไม่ต่างจากฝุ่นตีนของพระเจ้า เป็นต้นว่า ห้ามใช้ข้าวของหรือดื่มน้ำจากบ่อเดียวกับคนวรรณะอื่น เพราะจะทำให้เกิดเสนียดจัญไรแปดเปื้อน กระทั่งว่าหากไปเหยียบเงาเข้าก็ต้องทำพิธีสะเดาะเคราะห์ใหญ่โต เด็กดาลิตจึงไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือ งานที่ได้ทำจึงเป็นเพียงกุลี และงานบางอย่างเช่นเก็บขี้ ก็เป็นงานที่กำหนดให้ดาลิตทำ จึงยากนักหนาที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตตนเองและเลื่อนสถานะทางสังคมของตนขึ้นมาได้ หากมีดาลิตแหกขนบก็จะถูกชุมชนของคนวรรณะสูงกว่าลงโทษอย่างรุนแรง จิตสำนึกของดาลิตผูกติดกับโครงสร้างที่กำหนดให้จำยอมเช่นนี้มายาวนานหลายพันปี
อัมเบดการ์ถือว่าเป็นดาลิตที่ได้รับโอกาสพิเศษ ครูผู้กรุณาให้เขายืมนามสกุลไปใช้ เด็กหัวดีผู้นี้มีโอกาสเรียนหนังสือและได้รับทุนมหาราชาไปเรียนที่อังกฤษ จนจบปริญญาเอกด้านกฎหมาย เศรษฐศาสตร์ และรัฐศาสตร์ แต่เมื่อเขากลับมาทำงานชดใช้ทุน ก็ยังได้รับการปฏิบัติในฐานะดาลิตเช่นเดิม แม้แต่ในแวดวงของอาจารย์มหาวิทยาลัย เขาจึงเริ่มทำงานต่อสู้เพื่อความเสมอภาคผ่านปัญหาที่ดาลิตถูกเลือกปฏิบัติในสังคมอินเดีย จนเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางทั้งจากดาลิตและจากนานาชาติ เมื่อก้าวเข้าสู่แวดวงการเมือง เป็นหัวหน้าพรรคแรงงานอิสระและเป็นรัฐมนตรีกระทรวงกฎหมาย เขาก็มีส่วนสำคัญในการร่างรัฐธรรมนูญของอินเดียหลังจากได้รับเอกราชแล้ว แต่งานสำคัญที่สุดของเขาคือการปลดปล่อยดาลิตออกจากการกดขี่ทางสังคมและวัฒนธรรม เขาประกาศเปลี่ยนศาสนาจากฮินดูมาเป็นพุทธ และทำพิธีเปลี่ยนศาสนาพร้อมกับดาลิต ๖ แสนคนที่เมืองนาคปุระ และเรียกตนเองว่า “กลุ่มพุทธดาลิต” ถือเป็นการปลดแอกตนเองจากจิตสำนึกสยบยอมที่กดขี่มาหลายพันปีอย่างสิ้นเชิง ปัจจุบันมีประชากรกลุ่มพุทธดาลิตราว ๔๐ ล้านคน จากกลุ่มดาลิตราว ๔๕๐ ล้านคน
หลังจากรัฐธรรมนูญใหม่ และเปลี่ยนศาสนาใหม่ ประชากรกลุ่มพุทธดาลิตในอินเดียได้รับการศึกษามากขึ้น จากที่เคยได้เรียนถึงระดับประถมในยุคของอัมเบดการ์ ปัจจุบัน มีดาลิตเรียนจบเป็นวิศวกร เป็นแพทย์ เป็นคนทำงานเพื่อสังคม ฯลฯ มากขึ้น อย่างไรก็ดี ความรุนแรงต่อคนดาลิตยังดำรงอยู่ คนดาลิตยังถูกทำร้าย ผู้หญิงยังถูกข่มขืน เหตุอาชญากรรมในอินเดียจำนวนมากเกิดขึ้นด้วยเหตุผลเพื่อรักษากฎระเบียบของสังคมและชุมชนเดิม ดังเช่น ในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ครอบครัวพุทธดาลิต ๕ คนในรัฐมหาราชตะถูกฆ่า เพราะลูกสาวอยากเรียนหนังสือ เมื่อถามว่าชาวดาลิตรู้สึกอย่างไรกับความรุนแรงที่เกิดขึ้นนั้น เพื่อนชาวดาลิตท่านหนึ่งตอบว่า พวกเราเข้าใจ
คนพุทธดาลิตนับถืออัมเบดการ์มาก บ้านทุกหลังจะมีภาพของเขาแขวนอยู่คู่กับภาพของพระพุทธเจ้า โดยถือเป็นแรงบันดาลใจในฐานะผู้ที่แสดงให้เห็นว่าดาลิตสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้ เพราะมนุษย์ย่อมเกิดมาเสมอภาคเท่าเทียมกันในความเป็นมนุษย์ โดยนัยยะนี้ แม้คานธีจะได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งอินเดีย ในฐานะผู้ปลดปล่อยแผ่นดินอินเดียให้เป็นอิสระ แต่อัมเบดการ์ได้รับการยกย่องจากดาลิตทั้งหมด ในฐานะผู้ปลดปล่อยมนุษย์ให้เป็นอิสระ
ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมของชาวพุทธดาลิตถือเป็นความมหัศจรรย์อย่างหนึ่ง เพราะอัมเบดการ์เสียชีวิตหลังจากพิธีเปลี่ยนศาสนาไม่กี่วัน กลุ่มพุทธดาลิตซึ่งรวมตัวและยึดโยงเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่นั้นถือศีลและภาวนาแบบชาวพุทธ ส่งเสริมและสนับสนุนให้ลูกหลานเรียนหนังสือ จัดตั้งโรงเรียนผู้นำ และมีจิตสำนึกร่วมกันที่จะทำให้มนุษย์ทุกคนเข้าถึงอิสรภาพ ไม่ถูกเลือกปฏิบัติด้วยวรรณะที่ถือกำเนิด หรือศาสนาที่นับถือ ปัจจุบันมีพรรคการเมือง ๓–๔ พรรคเป็นของคนดาลิต หนึ่งในนั้นใหญ่เป็นอันดับ ๔ ของพรรคการเมืองในอินเดีย และเคยมีคนดาลิตก้าวสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีมาแล้ว คือ นารายานัน – การเปลี่ยนแปลงของผู้คนที่ถูกกำหนดให้เป็นฝุ่นตีนล่างสุดในสังคมมาหลายพันปี มาสู่ความเป็นเสรีชนผู้มีอำนาจตัดสินใจในชีวิตของตนเอง ในนามของพลเมืองของรัฐ นี้อาจจะถือได้ว่าเป็นความมหัศจรรย์อย่างยิ่ง
จะเห็นได้ว่า แม้รัฐธรรมนูญที่มอบความเสมอภาคให้กับผู้คนจะเป็นเครื่องเอื้ออำนวยในการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง แต่หากปราศจากผู้คนที่มีการเปลี่ยนแปลงทางจิตสำนึกอย่างลึกซึ้งเข้มข้นแล้ว ความเสมอภาคย่อมเกิดขึ้นไม่ได้ และการบังคับใช้กฎหมายต่างๆ ก็คงไม่อาจสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นการให้แต้มต่อทางการศึกษา/อาชีพ/สุขภาพกับกลุ่มประชากรดาลิตเพื่อยกระดับความเสมอภาคขึ้นมา
การสร้างจิตสำนึกอันตระหนักรับรู้ต่อโครงสร้างที่กดทับผู้คนนั้นอาจจะเรียกได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างการเปลี่ยนแปลงก็ว่าได้ การที่กฎหมายในประเทศไทยหลายฉบับแทบไม่มีผลในการบังคับใช้ เพราะไม่สอดคล้องกับจิตสำนึกและความตระหนักรับรู้ของผู้คน เป็นต้นว่า มาตรา ๔๐ ของกฎหมายประกันสังคม กฎหมายคุ้มครองผู้รับงานไปทำที่บ้าน ก็ในเมื่อผู้คนส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นหาบเร่แผงลอย คนขับมอเตอร์ไซค์และรถรับจ้าง ฯลฯ ยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตนเองเป็นแรงงานนอกระบบ และถูกเลือกปฏิบัติในการเข้าถึงบริการทางสุขภาพและทางสังคมอื่นๆ โดยเข้าใจไปว่ามันเป็นเรื่องปรกติอยู่แล้วที่ตนเองไม่ใช่ข้าราชการ ไม่มีเงินเดือน ก็ไม่มีประกันสุขภาพ ฯลฯ เหมือนคนอื่นเขา การสร้างจิตสำนึกของความเป็นแรงงานนอกระบบจึงสำคัญไม่แพ้การออกกฎหมาย เป็นงานที่ยากเย็นหนักหนากว่าด้วยซ้ำ แต่ถือเป็นการลงทุนที่สร้างผลกระทบและความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างได้อย่างยั่งยืน
ยิ่งคนอยู่ในระดับล่างสุดของโครงสร้างสังคมมากเท่าไหร่ การสร้างการเปลี่ยนแปลงในระดับจิตสำนึกก็ดูเหมือนต้องใช้แรงและกำลังมากขึ้น ลองนึกถึงสถานการณ์ของเกษตรกรในระบบพันธสัญญาที่ตกอยู่ในภาวะเป็นหนี้ การจะลุกขึ้นมาต่อสู้กับความไม่เป็นธรรมในระบบพันธสัญญาที่ดำรงอยู่นั้นจึงเป็นเรื่องยาก แรงงานข้ามชาติที่ตกอยู่ในภาวะเสี่ยงจากการคุกคามของผู้รักษากฎหมาย ก็ยากที่จะแสดงตนขึ้นมารักษาสิทธิแรงงานและสิทธิทางสุขภาพของตนได้ ฯลฯ การทำงานผู้คนเหล่านี้จึงต้องมีความละเอียดอ่อนและลงลึกเข้าไปในระดับจิตใต้สำนึก โดยคนทำงานเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงจำต้องมีทักษะในการจัดกระบวนการเพื่อเสริมสร้างพลังอำนาจของผู้คนเหล่านี้ นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงจิตสำนึกและเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงในที่สุด
นี้ไม่ได้หมายความว่า การเปลี่ยนแปลงจิตสำนึกจำเป็นต่อชนชั้นล่างหรือกลุ่มคนที่เสียเปรียบแต่ฝ่ายเดียว การเปลี่ยนแปลงจิตสำนึกยังจำเป็นต่อคนทุกกลุ่มในสังคม เนื่องจากจิตสำนึกร่วมหรืออุดมการณ์ร่วมกันของผู้คนในสังคมนั้น ก็คือการคัดกรองและกำหนดคุณค่าของสังคมร่วมกัน ทั้งเรื่องความเป็นธรรม การไม่เลือกปฏิบัติ การมีธรรมาภิบาลที่ดี การมีความกรุณาอันไม่มีที่ประมาณ เป็นต้น
เมื่อการเปลี่ยนแปลงจิตสำนึกเกิดขึ้นทั้งในระดับปัจเจกและระดับจิตสำนึกร่วมของสังคม นั่นคือ ความตระหนักรู้ในตัวในตนแบบเดี่ยว-เดี่ยว และความตระหนักรู้ในฐานะเป็นคนในโครงสร้าง นั้นแหละ การเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างถึงรากถึงโคนจึงจะเกิดขึ้นได้
แสดงความคิดเห็น