ชีวิตคู่: สวรรค์หรือนรก หรือเรื่องตลก



โดย สมพล ชัยสิริโรจน์
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 5 มีนาคม 2559

“ชายสองคนตายลงไปพบยมบาล ยมบาลถามชายคนแรกว่า แต่งงานหรือยัง เขาตอบว่า แต่งมาแล้วยี่สิบปี ยมบาลไล่คนแรกให้ไปขึ้นสวรรค์ ยมบาลถามคนที่สองคำถามเดียวกัน ชายคนที่สองบอกว่า ยังไม่ได้แต่งงาน ยมบาลสั่งให้คนที่สองไปลงนรก ชายคนที่สองประท้วงถามว่า ทำไมเขาต้องลงนรก ยมบาลตอบว่า เพราะคนแรกเขาลงนรกมาแล้วยี่สิบปี ส่วนเจ้าคนที่สองยังไม่เคย”

แม้นเรื่องเล่านี้จะเป็นเพียงเรื่องขำขันไว้เล่าบนโต๊ะอาหาร แต่ก็สะท้อนความรู้สึกลึกๆ ของผู้คนในสังคมยุคนี้ได้ไม่น้อยว่า เขารู้สึกอย่างไรกับชีวิตแต่งงาน ไม่ว่าตัวละครในเรื่องนี้จะเป็นชายหรือหญิงก็ตาม

ความรู้สึกแปลกแยกไม่สมหวังในการแต่งงาน นอกจากเกาะกินจิตใจของคนที่เกี่ยวข้อง ยังสั่นสะเทือนพื้นฐานของชีวิตครอบครัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และครอบครัวที่ไม่สามารถรับมือกับ “นรก” ของชีวิตแต่งงาน ก็แทบจะขาดทักษะที่จะรับมือกับวิกฤติของนรกรอบตัว จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิกฤติในที่สุด

อดตั้งคำถามไม่ได้ว่า อะไรทำให้การแต่งงานซึ่งต่างเป็นที่ปรารถนาของชายหญิง จนถึงกับเฉลิมฉลองกันอย่างเอิกเกริก เชิญแขกเหรื่อเพื่อนฝูงผู้หลักผู้ใหญ่มาร่วมอวยพร กลายเป็นเรื่องไม่สมปรารถนา จนเป็นนรกไปได้

อาจจะเป็นเพราะคู่แต่งงานต่างมีมโนจริตคิดไปเองว่า เมื่อปลงใจรักกันแล้ว จนตกลงอยู่กินด้วยกันนั้น เป็นเพราะต่างเข้าใจอกเข้าใจตรงกัน มีนิสัยใจคอที่ตรงกัน “น่า” จะเข้ากัน เพราะมีอะไรเหมือนกันจึงมารักกัน จนอยู่ด้วยกัน ดังนั้น เมื่อมีอะไรขัดแย้งกันไม่เข้าใจกันเกิดขึ้น ต่างคนต่างเห็นว่า “ไม่น่า” จะเป็นเช่นนั้น ต่างจึงผิดหวังในกันและกัน และสวรรค์ที่วาดไว้พังลงกลายเป็นนรก ความสุขสดชื่นหายไปกลายเป็นความขมขื่น คนรักที่คุ้นเคยใกล้ชิดแปลกแยกกลายเป็นคนแปลกหน้า

อะไรจะเกิดขึ้นเล่า หากเราวางจริตซึ่งคิดไปเองว่า เราเหมือนกันใจตรงกันจึงอยู่กินกัน แล้วกลับมองว่า เพราะเราต่างกัน แตกต่างอย่างคนละขั้ว สุดโต่งกันคนละข้างต่างหาก เราจึงโดนดึงดูดให้รักกัน ราวกับแม่เหล็กขั้วบวกดึงดูดขั้วลบ อะไรจะเกิดขึ้นหากเรารู้ทันความแตกต่างที่ว่านี้

อาศัยมุมมองของจิตวิทยาของเสียงภายใน หรือวอยซ์ไดอะล็อค ซึ่ง ดร.ซิดร้าและฮัล สโตน สองสามีภรรยานักจิตวิทยาชาวอเมริกันได้ใช้ความสัมพันธ์ของตนราวกับเป็นห้องทดลองค้นคว้าขึ้นมา ทั้งสองได้ให้แนวทางไว้ว่า เราต่างดึงดูดคนที่ต่างจากเรา เข้ามาในชีวิตเรา ยิ่งเป็นคนที่เรารู้สึกดี ดีมากจนถึงดีที่สุดจนคิดจะอยู่กินกัน เขาหรือเธอเหล่านั้นต่างมีบุคลิกนิสัยบางประการที่เราขาดหายไป เขาจึงดึงดูดใจเรายิ่งนัก

เช่น “ปรารถนา” เป็นหญิงสาวในวัยต้นสามสิบ หน้าตาดี เรียนดี รู้เร็ว กล้าแสดงออก เธอเป็นคนที่มุ่งมั่นตั้งใจ ทำอะไรแล้วต้องทำให้ได้ และบ่อยครั้งเธอลงมือได้โดยไม่ต้องยั้งหรือเกรงใจหน้าอินทร์หน้าพรหม จนกว่าจะบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ เธอจึงก้าวหน้าในการงานอย่างรวดเร็ว

แล้ว “ยอด” ชายหนุ่มเงียบขรึมๆ ก็ก้าวเข้ามาในชีวิตของปรารถนา ยอดค่อนข้างจะเป็นคนสุขุม สุภาพ พูดน้อยและค่อยคิดค่อยทำอะไรอย่างรอบคอบ ไม่รีบร้อนจนออกจะทำตัวตามสบายในสายตาของปรารถนา แต่เธอก็รู้สึกดีที่มีเขาอยู่เคียงข้าง รู้สึกตนเองช้าได้ พักได้ ผ่อนคลายและปลอดภัย ในขณะที่ยอดก็รู้สึกว่า ปรารถนานำพลังชีวิตชีวาเข้ามาในชีวิตของเขาซึ่งแสนจะเรียบๆ

ทุกอย่างสำหรับยอดและปรารถนาพัฒนาไปตามขั้นตอน ไปมาหาสู่กัน คบหากัน ตกหลุมรักกันจนตกลงปลงใจแต่งงานกัน ต่างคนต่างเข้าใจว่าต่างใจตรงกัน จนน่าจะอยู่ร่วมชีวิตกันได้

จากวันนั้น หน้าที่การงานของปรารถนาก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดดในฐานะผู้บริหาร และยอดก็เป็นเหมือนเดิม มีความพออกพอใจอย่างค่อยเป็นค่อยไปกับงานของเขาในห้องทดลองในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ที่ไม่ปรารถนาหรือไขว่คว้าอนาคตที่จะเป็นใหญ่เป็นโตมาไว้ในกำมือตน หากจะมีอนาคต อนาคตจะค่อยๆ เดินมาหาเขาเอง นั้นเป็นคตินิยมของยอด ขณะที่ปรารถนาเดินเข้าหาอนาคตที่เธอทะเยอทะยานตั้งไว้

และแล้ววันหนึ่งก็มาถึง ปรารถนาเริ่มรู้สึกว่า ยอดช้าเกินไป ไม่กระตือรือร้นสนใจกับชีวิตข้างหน้า ถ้าหากวันหนึ่งมีลูก เธอจะต้องรับภาระอีกเพียงใด ขณะเดียวกันยอดก็รู้สึกว่าพลังชีวิตชีวาที่ได้รับนั้น กำลังกดดันจนเผาผลาญเขาอยู่

ทั้งสองคนก็เริ่มมองเห็นว่า อีกคนเปลี่ยนไป ไม่เหมือนเดิม การต่อว่าต่อขานตั้งแต่เรื่องเล็กน้อยค่อยลามไปถึงเรื่องใหญ่โตเกิดขึ้นต่อเนื่องจนสวรรค์ที่เคยเข้ากันได้ดี กลายเป็นนรกย่อมๆ ที่ขยายตัว แล้วคนรักก็กลายเป็นคนแปลกหน้า

จนกว่าเขาและเธอจะตระหนักว่า คู่ของตนนั้นมีบุคลิกตัวตนที่แตกต่างจากตนโดยสิ้นเชิง เขาอาจจะเตรียมใจรับมือได้ดีกว่าคาดหวังจนเพ้อฝันว่า คบกันรักกันแล้ว แต่งงานกันแล้ว “น่า” จะเข้าใจกันจนไปกันได้เอง

ยิ่งไปกว่านั้น ความแตกต่างที่อีกคนมี คือความจำเป็นที่ตนเองต้องรู้จักมีรู้จักเป็น ปรารถนาอาจจะต้องฝึกฝืนตนเองให้มีชีวิตที่ช้าลง ไม่ต้องรุดหน้าจนตัดหน้าใครต่อใครเพื่อความก้าวหน้า เธอถึงจะเริ่มชื่นชมยอดที่ผ่อนคลายสบายๆ ได้เหมือนวันที่เธอตกหลุมรักเขา ยอดเองก็อาจจะต้องทำตัวให้กระฉับกระเฉง และพร้อมที่จะทำตัวให้ก้าวหน้าจะเป็นการงานหรือการบ้านก็ตาม เขาจึงจะตามปรารถนาได้ทัน

หากคนใดคนหนึ่งละเลยไม่ฝึกฝน ไม่ทำตัวให้ใกล้เคียงคู่ของเขาหรือเธอ แล้วทิ้งภาระนั้นไว้กับคู่ของตน จนวันหนึ่งหากไม่ใครก็ใครคนหนึ่งแบกรับภาระไม่ไหว ชีวิตคู่ก็จะเริ่มสั่นคลอน หวั่นไหว อย่างที่ต่างคนต่างไม่รู้สาเหตุ ได้แต่โทษกันและกัน โทษสถานการณ์ หรือมือที่สาม

แต่หากทั้งคู่ต่างรู้ทันว่า ความรักที่ก่อขึ้นนั้นเกิดจากความแตกต่าง แลเป็นความแตกต่างที่จำเป็นอย่างยิ่งยวด โอกาสที่จะต่างจะถนอมชีวิตแต่งงานไว้ แม้นจะไม่ถึงกับเหมือนอยู่ในสวรรค์ แต่ก็ไม่กลายเป็นนรก นั้นย่อมมีโอกาสมากกว่าที่จะมองข้ามความแตกต่างอันหลีกเลี่ยงไม่ได้ของคนที่เรียกว่า คู่ชีวิต

แล้วชีวิตคู่ที่ต่างเรียนรู้ที่จะรับมือความแตกต่างของกันและกัน ต่างชื่นชมคนที่อยู่ต่างขั้วกับตัวเอง จะช่วยให้เขาและเธอรับมือผู้คนรอบตัวในสังคมที่ไม่มีวันเหมือนเขาเลยได้ไหม ก็เป็นข้อที่น่าท้าทายต่อไป โดยเฉพาะเมื่อคนรอบตัวที่ว่านั้นคือ ลูกลูกผู้เป็นมรดกของ นรก หรือ สวรรค์ของเขาทั้งสองนั้นเอง

Back to Top