มนุษย์จำเป็นต้องมีจิตขนาดใหญ่
เพื่อที่จะบรรจุความเมตตา ความกรุณา
อันไม่มีที่ประมาณไว้ได้
ช่วงเย็นของวันพุธที่ ๒๙ มีนา มีการประชุมของกลุ่มเครือข่ายศาสนธรรมเพื่อธรรมาธิปไตย ซึ่งประกอบด้วยข่ายงานที่ทำงานด้านจิตวิญญานและหรือการภาวนาทั้งหลาย รวมทั้งจิตวิวัฒน์
โจทย์ใหญ่ก็คือ จะปลูกฝังจิตสำนึก ว่าด้วยเรื่องคุณธรรม จริยธรรม ให้กลับมาเป็นหลักของสังคมไทย ในภาวการณ์ปัจจุบันอย่างไร?
สสส. เตรียมจะเผยแพร่แนวคิดของพระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตโต) จากหนังสือ "ธรรมาธิปไตยไม่มา จึงหาประชาธิปไตยไม่เจอ (จุดบรรจบ: รัฐศาสตร์ กับ นิติศาสตร)์" ให้เป็นที่กว้างขวางออกไป
ท่านกล่าวถึง "วิกฤตร้อน" และ "วิกฤตลึก"
วิกฤติร้อนจำต้องใช้สติและอุเบกขาในการเผชิญหน้า เพราะของร้อนอย่างไรก็จะผ่านพ้นไป
วิกฤติลึกจำต้องใช้สติปัญญาใคร่ครวญอย่างลึกซึ้ง วิกฤติลึกมีมายาวนานแล้ว จำต้องใส่ใจให้มาก
และชัยชนะทั้งหลายทั้งปวงก็สู้ชัยชนะแห่งธรรมและชัยชนะโดยธรรมไม่ได้
วันเสาร์ที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๙ เครือข่ายศาสนธรรมเพื่อธรรมาธิปไตย ขอเชิญชวนเพื่อนฝูงพี่น้อง ไปร่วมเดินภาวนาเพื่อธรรมาธิปไตย
เริ่มเดินจากหน้าวัดพระแก้วมรกต ผ่านศาลหลักเมือง ไปยังอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ช่วงเวลา ๑๕.๐๐ - ๑๘.๐๐ น.
มาร่วมกันภาวนาให้กับบ้านเมืองท่ามกลางวิกฤตร้อน แผ่อำนาจความเย็นแห่งการภาวนาออกไปอย่างพร้อมเพรียงกัน
ห้าโมงเย็น ทีมถั่วงอกนัดกับทีมประเมินผล อ. อ๊อด - อรสม สุทธิสาคร พี่สุ้ย - วรรณา จารุสมบูรณ์ และปัญญา – ปัญญา วังใจโลก พบกันที่มูลนิธิโกมล คีมทอง ซ. บ้านช่างหล่อ
พูดคุยวันนี้น่าสนใจ พี่สุ้ยถาม เราตอบ พูดไปก็เห็นความคิดของตัวเองที่หลั่งไหลออกมา ใช้ได้มั่ง ใช้ไม่ได้มั่ง แต่ทำให้เรียบเรียงความคิดได้ดีขึ้น สงกะสัยต้องคุยบ่อยๆ (ฮ่า)
งานจิตวิวัฒน์ที่ผ่านมามีหลายส่วน ถ้าแยกดูตามยุทธศาสตร์ RCN – Research Communication Network เนื้องาน ๓ ส่วนมีดังนี้
๑. การประมวลความรู้ จากกลุ่มต่างๆ ที่โครงการจิตวิวัฒน์สนับสนุนดูแล เป็นต้นว่า กลุ่มจิตวิวัฒน์ กลุ่มเชียงใหม่สำนึก กลุ่มสุขวิหาร ยังทำได้ไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ดีนัก โครงการร้อยเล่มสู่จิตสำนึกใหม่ก็ไม่มีความคืบหน้าเอาเสียเลย
๒. การสร้างเครือข่าย ค่อนข้างน่าพอใจ เวทีสานแสงอรุณเสวนา และงานเสวนาอื่น ช่วยให้ได้พบปะกับผู้คนหลากหลายมากขึ้น แต่ยังขายไอเดียเรื่องกระบวนการรวมกลุ่มพูดคุยในทำนองเดียวกับจิตวิวัฒน์ไม่ใคร่ได้
๓. การสื่อสาร มีปัญหามาก ผู้คนส่วนใหญ่ยังไม่ใคร่เข้าใจกระบวนการจิตวิวัฒน์ดีนัก แถมยังสับสนระหว่างกลุ่มจิตวิวัฒน์ ซึ่งประกอบด้วยอาจารย์ผู้ใหญ่และผู้ทรงคุณวุฒิ กับตัวโครงการจิตวิวัฒน์ ซึ่งทำหน้าที่รับผิดชอบการจัดการความรู้ เพื่อขับเคลื่อนสังคมไปสู่จิตสำนึก หรือกระบวนทัศน์ใหม่ ความรู้ที่รวบรวมได้ยังไม่สามารถหาช่องทางสื่อสารกับคนในวงกว้างได้
พี่สุ้ยเห็นเราบ่นมาก ก็เลยถามว่า เจอข้อขัดข้องมากแล้วทำอย่างไร?
เราตอบแบบไม่ลังเล “เก๊าะปล่อยมันไป” - วงสนทนาก็ฮาครืน
หลังการภาวนาที่เรือนร้อยฉนำ เรามีนัดต่อที่ธรรมศาสตร์
พบพี่จู พี่อ้อย พี่นี – สมาชิกอาวุโสของกลุ่มสังฆะ – แอบมาภาวนาในห้องประชุมจิตติ ติงศภัทิย์ ตั้งแต่บ่าย
วงประชุมระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับอนาคตเมืองไทยหลังยุคทักษิณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขับเคลื่อนการเมืองภาคประชาชน
อ. ชัยวัฒน์ ถิรพันธ์ เคยนำเสนอในที่ประชุมจิตวิวัฒน์ครั้งหนึ่ง ว่าด้วยการคิดก่อนอนาคต – Presensing – การคิดเพื่อเตรียมรับมือกับสถานการณ์เบื้องหน้าที่มีความเป็นไปได้หลายแบบ
ครั้งนี้ ก็ไม่ต่างกับอีกหลายครั้ง อ. ชัยวัฒน์ ทิ้งคำถามเหมือนเดิม แต่คราวนี้ว่าด้วยอนาคตไม่ใกล้ไม่ไกลของบ้านเมือง
วิกฤติก็เหมือนกับภาวะยุ่งเหยิง – Chaos – ช่วงเปลี่ยนผ่านย่อมดูสับสน แต่ก็จะผ่านพ้นไปในที่สุด จำต้องเตรียมตัวไว้สำหรับระเบียบใหม่
ผู้คนหลายกลุ่มหลากความคิดเห็น นักวิชาการ ทั้งนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ วิทยาศาสตร์ บริหารธุรกิจ และผู้คนจากวิชาชีพอื่น
กลุ่มภาวนาเสนอเรื่องการภาวนา ซึ่งเป็นกิจกรรมเย็นที่ช่วยดึงอุณหภูมิการเมืองให้ลงมาได้บ้าง และน่าจะช่วยแผ่ขยายความเย็นออกไปให้ถ้วนทั่ว
หลายท่านเสนอว่า การภาวนาน่าจะเสริมเรื่องปัญญาภาวนา อย่างน้อยก็ต้องจับประเด็นเรื่องคุณธรรมจริยธรรมที่กำลังเลื่อนไหลไว้ให้มั่น
สรุปยังไม่ได้ – ก็คุยปัญหาบ้านเมืองกันแค่ห้าชั่วโมง จะรีบสรุปอะไร?
นัดคุยกันต่อวันอาทิตย์ที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๔๙ เวลาบ่ายสาม
ผู้คนบางตาลง แต่ความคิดร่วมเริ่มตกผลึกชัดเจนขึ้น
ยุคหลังทักษิณควรเป็นไปเช่นไร?
เราอาจจะต้องจัดการกับปัญหาว่าด้วยคุณค่า จริยธรรม คุณธรรม และโครงสร้างของความรุนแรงที่กดทับอยู่
ทั้งหมดทั้งนั้นอาจจะเป็นไปได้ด้วยระบบการศึกษา การขยายพื้นที่การเข้ามามีส่วนร่วมของประชาชน กลไกการตรวจสอบการทำงานแบบใหม่
เพื่อสร้างจิตสำนึกใหม่ ตลอดจนการมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องต่อระบอบประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน การเคารพศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ ฯลฯ ในบริบทของสังคมไทย
บางเรื่องมีกลุ่มรับผิดชอบทำงานอยู่แล้ว แต่ยังไม่มีผู้ร้อยโยงให้เห็นภาพรวม
การมองหาพื้นที่ว่างก็มีความสำคัญ เพื่อเสริมเติมเต็มกระบวนการปฏิรูปนี้
แผนปฏิบัติการอาจจะเป็นการประมวลความรู้จากกลุ่ม จัดเวทีสาธารณะ เอกสารเผยแพร่ ตลอดจนการตั้งประเด็นคำถามต่อสังคมเพื่อช่วยกันหาคำตอบ ฯลฯ
คำตอบของคำถามอาจจะเป็นงานที่ใช้เวลาหลายชั่วอายุคน – รู้สึกคุ้นเคยอย่างไรไม่รู้ได้
อยากได้เพื่อนช่วยคิดจัง ;-)