มนุษย์จำเป็นต้องมีจิตขนาดใหญ่
เพื่อที่จะบรรจุความเมตตา ความกรุณา
อันไม่มีที่ประมาณไว้ได้
โดย ศ.นพ.ประสาน ต่างใจ
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 17 กรกฎาคม 2553
เป้าหมายแท้จริงของมนุษย์คือ เรียนรู้ความจริงที่แท้ของโลกและตัวเอง เดี๋ยวนี้เราคิดว่าเรารู้แล้วว่าเพื่ออะไร? คือเราสงสัยว่า แท้ที่จริงมนุษย์ต้องการเรียนรู้ความจริง เพราะเราปรารถนาจะทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ตามเจตนารมณ์ของจักรวาล ซึ่งมีเพียงเป้าหมายเดียวคือวิวัฒนาการ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ประกอบขึ้นมาเป็นจักรวาล ต้องมีวิวัฒนาการหรือการเปลี่ยนแปลงทั้งนั้น และเดี๋ยวนี้ นักวิทยาศาสตร์และนักปรัชญาหลายต่อหลายคนเชื่อว่าวิวัฒนาการสำหรับมนุษย์นั้น เป็นวิวัฒนาการของกายและจิต วิวัฒนาการทางกายภาพนั้นมองเห็นได้ จึงเป็นการง่ายที่คนทั่วไปจะเชื่อหรือเข้าใจ แต่วิวัฒนาการของจิตนั้นมองไม่เห็นจึงเชื่อหรือเข้าใจยาก
สรุปง่ายๆ มนุษย์จะเปลี่ยนแปลงวิวัฒนาการไปเรื่อยๆ เรียนรู้ความจริงไปเรื่อยๆ ประวัติศาสตร์กับวิวัฒนาการของวัฒนธรรมและอารยธรรมบอกเราเช่นนั้น วิวัฒนาการและเรียนรู้เพื่ออะไรหรือ? ก็เพื่อกระบวนการเปลี่ยนแปลงของมนุษย์น่ะสิ! วิวัฒนาการของกายนั้นเรารู้ว่าแทบจะจบสิ้นสมบูรณ์ เมื่อเราเรียนรู้การเรียงลำดับของพันธุกรรมหมดสิ้นแล้ว แต่วิวัฒนาการทางจิต (จิตสำนึกใหม่ที่บริหารที่สมองซึ่งจะมีใหม่…และมีใหม่...ไปเรื่อยๆ) นั้น ยังห่างไกลจากคำว่าเสร็จสิ้นสมบูรณ์นัก
กระบวนการเปลี่ยนแปลงตัวเองของมนุษย์ในวันข้างหน้าจึง “จำเป็น” ซึ่งกระบวนการเปลี่ยนแปลงอันเป็นการบริหารของสมองต่อจิตไร้สำนึก (ทั้งโดยรวมหรือจิตจักรวาล กับปัจเจกหรือบารมี) ให้เป็นจิตสำนึก ความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์ของสมอง เช่น ประสาทวิทยาศาสตร์ ในปัจจุบันที่ศึกษาวิจัยการโยงใยระหว่างกันของเซลล์สมอง (wiring) ซึ่งไม่เคยเป็นเส้นตรงเลย แต่เป็นสามมิติทั่วทิศทั่วทาง และกระบวนการโยงใยของเซลล์สมอง (ที่จะใหม่ตลอดเวลา) ก็คือการสร้างจิตสำนึกใหม่ตลอดเวลานั่นเอง
แต่สังคมของมนุษย์ให้ความจริงทางโลกทางสังคมผิดๆ และผิดทุกระบบ ไม่ว่าจะเป็นระบบการเมือง เศรษฐกิจ สังคม การศึกษา ฯลฯ ดังได้พูดมาแล้วหลายครั้งหลายหน เราจึงต้องเปลี่ยนแปลงสังคมด้วย นอกจากตัวเอง ตามที่หลายๆ คนกำลังทำอยู่ คือหันไปเข้าวัด ทั้งๆ ที่บางคนไม่รู้ว่าตัวเองต้องการปลี่ยนไปทำไม? หรือกระบวนทัศน์ใหม่คืออะไร? รู้แต่ว่าต้องเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรมของตนและสังคม เพราะโลกกำลังจะพัง? และการเปลี่ยนแปลงทั้งสองนั้นจำต้องเปลี่ยนที่จิต
บทความต่างๆ ที่ผู้เขียนเอามาเขียนซ้ำแล้วซ้ำอีก เช่น เรื่องตะวันตกตะวันออก เรื่องสิทธิมนุษยชนกับความก้าวหน้า ฯลฯ หรือเรื่องดิน มนุษย์ ฟ้า ย่อมมีเหตุผล เพื่อท้าทายท่านผู้อ่านว่าเนื้อหาสาระของเรื่องที่เขียนนั้นมีเหตุผลหรือไม่? เห็นด้วยหรือไม่? และถ้าหากเห็นด้วยแล้ว เราควรทำอย่างไร? และสำหรับบทความนี้ หากเห็นด้วยแล้ว เราควรเปลี่ยนแปลงโลกทัศน์ของตัวเองโดยด่วนหรือไม่? เป็นต้นว่า เราสมควรจะคิดว่าจิต – ตามที่นักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบลหลายต่อหลายคน เช่น จอร์จ วอลด์ เซอร์อาร์เธอร์ เอ็ดติงตัน เซอร์เจมส์ จีนส์ – หรือเห็นว่าจิต (consciousness) มาก่อนและสำคัญกว่าวัตถุ (matter) หรือไม่? หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่า ศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งพุทธศาสนานั้น สำคัญกว่าวิทยาศาสตร์ (กายภาพ) หรือไม่? และถ้าหากว่าเราได้คิดอย่างลึกซึ้งแล้วว่า ศาสนาทั้งมาก่อน (ไม่ใช่ด้วยเวลานะครับ) และสำคัญกว่าวัตถุแล้วไซร้ เราจะต้องคิดเช่นนั้น ทั้งโดยปัจเจกบุคคลและทั้งมนุษยชาติ เป็นสังคม ชุมชน ประเทศชาติโดยรวม
แต่เรา – โดยเฉพาะคนไทยส่วนใหญ่มากๆๆ ที่ปากอย่างใจอย่าง – ไม่ได้ทำเช่นนั้นเลย เราส่วนใหญ่มากๆๆ ดูเหมือนจะเชื่อพุทธศาสนากันแต่ปาก
ฟรานซิส เบคอน นักปรัชญาผู้รักษาตราประทับราชสำนักของพระเจ้าเจมส์ที่สาม แห่งราชวงศ์อังกฤษ เป็นผู้มีอิทธิพลอย่างยิ่งไม่จำเพาะในอังกฤษแต่ทั้งยุโรปเลย ฟรานซิส เบคอน คงจะเกลียดหรือกลัวธรรมชาติมาก เพราะเขียนหนังสือเชิงเรียกร้องให้มนุษย์ ซึ่งเขาคิดว่าไม่ใช่ธรรมชาติ – จะต้องเอาชนะธรรมชาติให้ได้ – และจากความมุ่งมั่นประกอบกับอิทธิพลของเขา ทำให้ผู้เขียนเชื่อว่าคงมีนักวิชาการและปัญญาชนจำนวนไม่น้อยพลอยเชื่อตามไปด้วย และความคิดของเขามีส่วนอย่างสำคัญในการสร้างโลกทัศน์วัตถุนิยมแทนธรรมชาตินิยมให้กับนักวิชาการและปัญญาชนเมื่อกว่าสี่ร้อยปีมาแล้ว ที่ค่อยๆ แพร่เป็นวงกว้างขึ้นจนกระจายไปทั่วยุโรป อย่าลืมว่า ฟรานซิส เบคอน มีอายุแก่กว่า ไอแซค นิวตัน ไม่กี่ปี เรียกว่าเป็นคนรุ่นเดียวกันก็ได้ ฉะนั้น โลกทัศน์ของ ฟรานซิส เบคอน อาจพูดได้ว่า ได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นความจริงหรือเป็นวิทยาศาสตร์แยกส่วนที่พิสูจน์ได้ทั้งหมดในสมัยนั้น ด้วยกฎแห่งการเคลื่อนที่ของนิวตัน เพราะร่างกายสามารถแยกย่อยต่อไปให้เล็กละเอียด เช่น สสารวัตถุได้
ในสมัยนั้นก็เช่นเดียวกับนักวิทยาศาสตร์วัตถุนิยมในสมัยนี้ รวมทั้งนักเทคโนโลยีส่วนใหญ่มากๆๆ ของประเทศกำลังพัฒนาหรือพัฒนาใหม่ๆ ที่มักเห็นว่าอะไรๆ เป็นวัตถุทั้งนั้น แม้ว่าเรามีฟิสิกส์ใหม่แล้ว มีแควนตัมแมคคานิกแล้ว มีซุปเปอร์สตริงธีออรีแล้ว เราก็ยังคิดว่าองค์ความรู้ใหม่เหล่านี้เป็นแค่สิ่งสวยๆ งามๆ หรือแปลกดี แต่ไม่มีประโยชน์โดยสิ้นเชิงสำหรับมนุษย์และสังคมกับโลกที่หยาบใหญ่ โดยมีน้อยคนเหลือเกินที่คิดว่านั่นคือกฎการทำงานของธรรมชาติที่แท้จริง คนเหล่านี้ ทั้งๆ ที่เรียกตัวเองว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการ และปัญญาชน รวมทั้งสาธารณชนคนทั่วไปส่วนหนึ่ง ถึงได้เป็นวัตถุนิยมกันแทบจะหมดทั่วทั้งโลก รวมถึงไทยเราที่หลงใหลในเทคโนโลยีทั้งประเทศ...อนิจจัง...อนิจจา
เพราะฉะนั้น เราจึงไม่รู้ว่าองค์ความรู้เก่าหรือวิทยาศาสตร์กายภาพที่ใช้กันมาตั้งกว่า ๔๐๐ ปีนั้น ส่วนใหญ่ใช้อธิบายธรรมชาติที่ละเอียดสุดจริงๆ ไม่ได้เลย เราทำได้หรืออธิบายได้แต่เพียงหยาบๆ หรือระดับโลกหรือระดับวัตถุ เพื่อนำธรรมชาติของโลกมาใช้งาน เท่านั้น คือเราส่วนใหญ่จะรู้แต่เทคโนโลยี แต่เราจะต้องเรียนและรู้ธรรมชาติทั้งหมด ถึงระดับจักรวาลจริงๆ ทุกสิ่งทุกอย่างทั้งหมดทั้งสิ้นเลย
สาเหตุที่ไม่ได้กระทำเช่นนั้นมีอยู่สามประการคือ หนึ่ง ผู้เขียนเชื่อว่า เราทั้งรักและกลัวธรรมชาติระดับบน หรือจิตจักรวาล หรือเทวดาพระเจ้าโดยไม่รู้ตัว รักและกลัวการให้รางวัลและการลงโทษ ซึ่งก็คือที่มาของกรรมนั่นเอง สอง เราเชื่อตา หู ของตัวเองว่าให้ความจริงที่แท้ โดยไม่แยแสสนใจว่าสัตว์อื่นใด จะเห็นหรือได้ยินเหมือนกับเราเปี๊ยบหรือไม่ สาม ด้วยอิทธิพลของ ฟรานซิส เบคอน และ ไอแซค นิวตัน หรือวิทยาศาสตร์ (เฉยๆ ในสมัยนั้น) ที่พิสูจน์ได้เบ็ดเสร็จว่าตรงกันเป๊ะกับข้อสองอันเป็นของมนุษย์เราแท้ๆ หากว่าเราไม่เชื่อตัวเราเอง (self and ego) แล้วจะให้เชื่อใครที่ไหน?
ทั้งสามข้อคือสาเหตุที่เราส่วนใหญ่มากๆๆ พากันยอมรับและกลายเป็นสามัญสำนึก และยิ่งเรามีเทคโนโลยีที่เอามาใช้ได้จริง ในระดับที่หยาบ-ในระดับโลกแห่งวัตถุ เราเลยยิ่งลืมเลือนความหยาบกระด้างของมันไปโดยสิ้นเชิง ทั้งๆ ที่เรามีแควนตัมฟิสิกส์ใหม่ๆ แล้ว แต่เราส่วนใหญ่ยังคิดว่าแค่เป็นทฤษฎีที่แปลก เอามาใช้ไม่ได้ สำหรับมนุษย์แล้ว ธรรมชาติมีประโยชน์เพียงอย่างเดียว คือเป็นขี้ข้ารับใช้ที่ไม่มีคุณค่าและความหมายโดยสิ้นเชิง กว่ามนุษย์จะรู้ตัวว่าธรรมชาติระดับล่างที่เรามองเห็น กับธรรมชาติระดับบนที่มองไม่เห็น คือหนึ่งเดียวที่เราไม่สามารถจะแยกออกจากกันได้ เพราะว่าทั้งหมดคือจิตจักรวาล และคือธรรมะของพุทธศาสนาก็สายเกินไป ดังที่เราส่วนใหญ่ที่ยิ่งยากไร้หรืออยู่ในประเทศด้อยพัฒนายิ่งประสบอยู่ในทุกวันนี้
โดยเหตุผลและประสบการณ์เท่าที่ตาเห็น หูได้ยิน ที่มนุษย์ทุกคนมีมาตั้งแต่ต้น ปรัชญาธรรมชาติของกรีกจึงบอกมานาน ตั้งแต่ก่อนจะมีคริสต์ศาสนาเสียอีกว่า ความจริงมีอยู่อย่างเดียวเท่านั้น เป็นดั่งที่ตาเห็นหูได้ยินนั่นแหละ เดโมคริตัสบอกมากว่า ๒,๓๐๐ ปีแล้วว่า โลกมีแต่วัตถุเท่านั้น และสสารประกอบเป็นวัตถุที่เล็กละเอียดที่สุด หรืออะตอมจะไม่มีทางแยกต่อไปได้อีก ตรงกันข้ามกับปรัชญาของอินเดียโบราณรวมทั้งลัทธิพระเวทที่มีมาก่อนชาวกรีกนานนักหนา แม้ในทางพุทธศาสนาเองที่มาทีหลัง ยังบอกว่าอะตอมหรือปรมาณูนั้นยังแยกย่อยออกไปได้อีกเรียกว่า “จุลปรมาณู” แถมยังให้ประมาณการที่ไล่ต่อไปถึงสูญตาหรือความว่าง (void or absolute space) ที่ไม่ใช่ไม่มีอะไรเลย แต่เป็นความว่างที่เต็มไปด้วยความเต็ม ที่เต็มไปด้วยพลังงาน ซึ่งเป็นพลังงานจิต (ญานะปราณ) ที่แยกออกมาจากจิตจักรวาลไม่ได้ (ดู Universe unconscious continuum ของ คาร์ล จุง, Bardo Thodal ของ W. Evan-Wentz, Hidden Dimension ของ B. Alan Wallace, The 2007 Shift Report, Evidences of a World Transformation)
ฝรั่งตะวันตกอยู่ในห้วงของการเปลี่ยนแปลงตัวเอง โดยเฉพาะนักวิชาการ ปัญญาชน นักวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักฟิสิกส์ และนักจิตวิทยาที่มีชื่อเสียงแทบจะทุกคนกระมัง? จำนวนไม่น้อยได้หันมาทางตะวันออก ทำสมาธิ แสวงหา “คุณค่า” ใหม่ๆ ของชีวิต แสวงหาความรักเมตตาให้อภัย ใจกว้าง กับความโอบอ้อมอารี เกิดองค์กร สถาบันและศูนย์ต่างๆ เพื่อการเจริญงอกงามของประสบการณ์ภายในและการเปลี่ยนแปลงทางจิตวิญญาณ ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ดในหน้าฝน เช่น ศูนย์บูรณาการปฏิบัติเพื่อเปลี่ยนแปลง ศูนย์การทำสมาธิชุมชน ศูนย์ฉันเองค้นพบฯลฯ ซึ่งศูนย์ต่างๆ เหล่านี้จะเน้นการเปลี่ยนแปลงที่จิตก่อนแล้วถึงจะมาที่พฤติกรรม
เรา - ในบ้านเราคงจะรอคอยการเปลี่ยนแปลงสังคมของเรา และการเปลี่ยนแปลงของตัวเองแต่ละคนไม่ไหว ทั้งๆ ที่หลายคนเหลือเกินที่หันหน้าเข้าหาวัด เข้าหาศาสนา เข้าสู่การปฏิบัติจิตและสมาธิ โดยไม่รู้เป้าหมายจริงๆ หรือพาให้ตัวเองรอดคนเดียว เป็นปัจเจกพุทธที่แม้จะประเสริฐแต่ยังขาดโดยรวมซึ่งคือเป้าหมายของจักรวาล เราจึงควรมุ่งแก้ไขอวิชชาก่อน หาปัญญา (ปัญญาวิมุตติ) ก่อนแล้วแก้ไขราคะ (เจโตวิมุตติ) ที่ง่ายกว่า
One Comment
เด็ดดอกไม้ สะเทือนถึง ดวงดาว
ไม่ใช่เพียงคำเปรียบเปรยซะแล้ว
แต่คือความจริงแท้แห่งจักรวาล..
ยุทธ
แสดงความคิดเห็น