ทำไมพวกเราถึงเขลากันนัก?



โดย เดวิด สปินเลน
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 28 ตุลาคม 2549

ผมคิดเอาว่าผู้อ่านบางคนเมื่อเห็นคำว่า “กลุ่มจิตวิวัฒน์” คงคิดถึงเรื่องที่เข้าใจได้ยาก เช่น ควอนตัมฟิสิกส์ สภาวะพิเศษของจิตใจ หรืออรูปฌาน ๔ ในสมาธิ เป็นต้น จริงๆ แล้วเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องเดียวกับการเปลี่ยนจิตสำนึกเพื่อให้เกิดการตื่นรู้และตระหนักถึงความวิกลจริตในชีวิตประจำวัน ที่เรามักจะเห็นว่าเป็นเรื่องปกติ

ผมอยากจะเสนอบางประเด็นที่เพิ่งเขียนไว้เมื่อไม่กี่ชั่วโมงมานี่เอง

ทำไมคนเราถึงต้องหอบข้าวของพะรุงพะรังเวลาขึ้นเครื่องบิน? ทำไมผู้คนจำนวนมากแม้แต่เด็กนักเรียนตัวเล็กๆ ต้องแบกเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาคิดว่าจำเป็นไปด้วย? เมื่อตอนที่ผมยังเป็นทหารหนุ่ม ผมสามารถมีชีวิตอยู่ได้ ๒-๓ สัปดาห์เลยทีเดียวด้วยของที่แบกใส่เป้ไป ทำไมชีวิตเราถึงต้องวุ่นวายกับ “ข้าวของ” ที่ส่วนใหญ่ไม่จำเป็นพวกนี้ด้วย?

เมื่อไหร่กันที่เราตัดสินใจว่าจะต้องมีรถยนต์คันใหญ่ๆ อย่างเช่นรถอเนกประสงค์ ซึ่งไม่เหมาะกับถนนและซอยแคบๆ ของเมืองไทยเลยแม้แต่น้อย แถมยังกินน้ำมันมากเมื่อคำนวณกับระยะทางที่วิ่งได้ ในเวลาที่ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ แล้วทำไมโฆษณาขายรถยนต์ทางโทรทัศน์ จึงมักจะนำเสนอภาพรถเหล่านี้วิ่งผ่านทิวทัศน์สวยงามไปตามถนนบนหุบเขา ลำธารและชายหาด ซึ่งล้วนแสดงถึงการไม่ให้ความเคารพและกระทั่งทำลายธรรมชาติอันงดงามของโลก

ในช่วง ๑๐ ปีที่ผ่านมา ทำไมร้านกาแฟถึงได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมาก คาเฟอีนและน้ำตาลเป็นสารกระตุ้นจากธรรมชาติก็จริง หากการบริโภคเข้าไปบ่อยๆ จนเป็นกิจวัตรจะส่งผลร้ายต่อสุขภาพ หรือเป็นเพราะว่าชีวิตนี้ช่างเคร่งเครียดเสียจนทำให้เราต้องพึ่งสารกระตุ้นมากขึ้นๆ เพียงเพื่อทำให้เรารู้สึกว่ายังมีชีวิตอยู่

แล้วเรื่องการแข่งกินจุอีกล่ะ? คุณสามารถกินไส้กรอกได้กี่ชิ้นภายในเวลาสามสิบนาที? เรามีรางวัลให้สำหรับพฤติกรรมการกินที่เหมือนหมู ในขณะที่ผู้ชมต่างส่งเสียงเชียร์ และคนชนะดูเหมือนจะภาคภูมิใจ

มาดูโฆษณาขายครีมทาผิวขาวและแชมพูสระผมทางโทรทัศน์กันบ้าง ทำไมนางแบบในโฆษณาเหล่านี้จึงมักจะเสริมจมูก? เมื่อไรกันที่ผู้หญิงไทยซึ่งมีความงามอย่างเป็นธรรมชาติมากที่สุดชาติหนึ่งในโลก คิดว่าสีผิวของพวกเธอดูไม่ดี จมูกก็ไม่มีเสน่ห์ดึงดูด? แล้วพฤติกรรมที่โฆษณาเหล่านี้นำเสนอล่ะ? ความละอายที่เกิดจากสีผิวหรือสภาพผมเมื่อนำไปเปรียบเทียบกับผู้หญิงอื่นที่ผู้ชายจำนวนมากสนใจ หรือการที่ผู้ชายพากันย้อมผมเพื่อเรียกร้องความสนใจจากผู้หญิง? พวกเรายังมีวุฒิภาวะทางจิตใจกันอยู่ไหมนี่?

ทำไมทุกหนทุกแห่งที่คุณไปต้องเปิดโทรทัศน์หรือเปิดเพลงเสียลั่น? ศูนย์อาหารแห่งหนึ่งที่ผมเพิ่งไปเมื่อไม่นานมานี้ เปิดโทรทัศน์พร้อมกัน ๔ เครื่อง มีเสียงเพลงตามสายเปิดคลอ และมีนักร้องกำลังร้องเพลงสดๆ ในเวลาเดียวกัน คุณอาจจะไม่เชื่อว่าหากปิดเสียงเหล่านี้ ผมรับรองได้เลยว่ามันจะส่งผลดีต่อสมองและระบบประสาทของคุณไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม

ทำไมพาดหัวข่าวจำนวนมากตามหน้าหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์จึงมีแต่เรื่องร้ายๆ? หนังสือพิมพ์รายวันที่ขายดีของไทยหลายฉบับ มักจะนำเสนอข่าวเด่นด้วยเรื่องฆาตกรรม ข่มขืน หรืออุบัติเหตุสยองขวัญ เมื่อเร็วๆ นี้ผมดูรายการข่าวโทรทัศน์ยอดนิยมในช่วงเย็น และจดเอาไว้ว่า ข่าว ๔ เรื่องแรกที่นำมารายงานในช่วงข่าวรอบเมือง เป็นข่าวฆาตกรรมเสีย ๓ ข่าว และข่าวข่มขืนอีก ๑ ข่าว ผมเลยคิดเอาว่า ถ้าเขาเสนอข่าวดีๆ เราคงเห็นว่ามันไม่น่าเร้าใจกระมัง

ทำไมจึงมียามากมายเหลือเกิน โดยเฉพาะยาแก้ปวดที่ถูกโฆษณายังกับเป็นขนม ความนิยมต่อโฆษณาเหล่านี้บอกอะไรบ้างเกี่ยวกับระดับความเครียดของผู้คน? ทำไมโฆษณาพวกนี้ไม่บอกคุณว่า การบริโภคยาประเภทนี้เป็นเวลาต่อเนื่องยาวนานสามารถทำลายสุขภาพของคุณได้

ทำไมถึงมีการตอกย้ำความเป็น “ตัวกูของกู” กันมากเหลือเกิน? ตั้งแต่ เอ็มเอสเอ็นของกู ย้าฮูของกู เป็นต้น (My MSN. My Yahoo.) โฆษณารถยนต์ทางโทรทัศน์เรื่องหนึ่งเริ่มด้วยการถามว่า ผิดไหมหากคิดว่าโลกนี้เป็นของเรา? ตอบได้เลยว่าผิดอย่างแน่นอน!! ทัศนคติอันแพร่หลายแบบนี้แหละที่ทำลายโลก อย่างที่ท่านพุทธทาสได้เขียนเอาไว้ว่า ปัญหาพื้นฐานของโลกในปัจจุบันคือ ความเป็น “ตัวกูของกู"

ท้ายสุดนี้ มีคำอยู่สองคำที่ขัดใจผมมาก คือ “ผู้บริโภค” และ “ทรัพยากรมนุษย์” ทุกครั้งที่ผมได้ยินการกล่าวอ้างถึงมนุษย์ในฐานะ “ผู้บริโภค” ผมคิดไปถึงภาพเปรตผู้หิวโหย ท้องกลมโต ปากเท่ารูเข็ม ที่วาดอยู่ตามวัดต่างๆ หรือหนอนในกองขยะ เมื่อผู้คนถูกมองว่าเป็น “ทรัพยากร” สิ่งนี้สะท้อนถึงแนวคิดที่ครอบงำเราอยู่ นั่นคือการเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นสิ่งสำคัญที่สุด และคุณค่าของมนุษย์ขึ้นกับความสามารถในการผลิตที่เอื้อต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ ผู้ไร้ความสามารถในการผลิตทางเศรษฐกิจเป็นคนไม่มีค่า ซึ่งตรงกันข้ามกับคำสอนของพระพุทธองค์ที่ทรงตรัสไว้ว่า การเกิดมาเป็นมนุษย์นั้นเป็นสิ่งประเสริฐ

โลกที่เราอาศัยอยู่นี้จะเปลี่ยนแปลงได้ก็ด้วยการเปลี่ยนจิตสำนึกของมนุษย์เท่านั้น เพราะมนุษย์และโลกล้วนเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน การตื่นรู้คือการเห็นทุกข์ของเราเองและทุกข์ของโลกที่เราอาศัยอยู่ เมื่อเราเปลี่ยนโลกจึงเปลี่ยน แล้วคุณยังจะรออะไรอยู่อีกล่ะ?

Back to Top