ชีวิตอันศักดิ์สิทธิ์
และพลังแห่งการดำรงอยู่อย่างมีความหมาย

โดย ณัฐฬส วังวิญญู
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 14 ตุลาคม 2549

“ใครอายุช่วง ๓๖ - ๔๒ ปีโปรดฟังทางนี้…ขอให้ดีใจถ้าคุณ...เบื่อ เซ็ง สิ้นหวัง เสพติดอยู่กับอะไรสักอย่าง สนุกแต่รู้สึกไร้ความหมาย เกลียดตัวเอง ไร้ความภาคภูมิใจหรือแรงบันดาลใจ มีชีวิตไปวันๆ เพราะผมคิดว่าคุณมาถูกทางแล้วครับ สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนว่าเป็นกรรมที่มีร่วมกันของคนที่กำลังอยู่ในอายุช่วงนี้ (คนในช่วงอายุอื่นก็อาจประสบกับภาวะการณ์แบบนี้ได้เช่นกัน หากมากน้อยต่างกันไป)”


การเดินทางของชีวิตและวิวัฒนาการของจิต เปรียบเสมือนดวงตะวันที่อย่างไรเสียก็จะต้องขึ้นทางทิศตะวันออก คือจิตใจของคนเราต้องการเติบใหญ่อยู่เรื่อยๆ นั่นเอง ถ้าดูแลและให้อาหารเขาตามจริงแล้วล่ะก็ ชีวิตก็จะมีความหมาย ผมคิดเอาเองว่าคนเราต้องการชีวิตที่มีความหมายมากเสียกว่ามีความสุข ลึกๆ แล้วเราไม่ได้กลัวทุกข์เท่าไรกระมัง แต่กลัวว่าเมื่อทุกข์ไปแล้วจะเป็นทุกข์ที่มีความหมายหรือเปล่า หรือเป็นทุกข์ที่ไร้ความหมายใดๆ เช่น แม่ทำงานหนักเพื่อส่งลูกน้อยเข้าโรงเรียน แม้เหน็ดเหนื่อยปานใดก็ยอม เพราะว่าการที่ลูกน้อยได้รับการศึกษานั้นมีความหมายสำหรับแม่ เป็นสิ่งที่แม่ให้คุณค่า เป็นต้น นั่นคือพอชีวิตมีความหมาย ความทุกข์ก็อาจเป็นสิ่งที่ทนได้มากขึ้น แม้เราจะไม่ต้องการความทุกข์ก็ตาม

ดังนั้น คุณค่า ความหมาย เป้าหมาย และความสุข สิ่งเหล่านี้ล้วนสัมพันธ์กันเหมือนเชือกเกลียวที่ฝั้นเป็นอันเดียวกัน อยากให้สังเกตว่าความหมายนั้นมักเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ยิ่งใหญ่ออกไปเสมอ ปกาเกอญอเชื่อว่า “หมื่อคา” คือผู้ให้กำเนิดสรรพสิ่ง มักจะถามสรรพสิ่งก่อนเกิดว่า ต้องการกำเนิดมาเป็นอะไร และเพื่ออะไร เช่น บางคนบอกว่าอยากเกิดมาเป็นก้อนหิน เป็นมด เป็นปลวก เป็นหอย ปู ปลา มนุษย์ผู้หญิง หรือมนุษย์ผู้ชาย เกิดเป็นลูกใคร หรือเกิดที่ไหน

พูดง่ายๆ ได้ว่า ทุกชีวิตได้รับโอกาสในการเลือกเกิด เลือกเป้าหมาย หรือวัตถุประสงค์แห่งการเกิดมา คำถามว่า “ทำไม” นั้นสำคัญทีเดียว เพราะหมายถึงว่า เราเกิดมาก็เพื่อรับใช้ชีวิตและจักรวาล ทุกชีวิตเกิดมาและดำรงอยู่อย่างมีคุณค่าและมีความหมายต่อชีวิตอื่นๆ และต่อจักรวาลอันยิ่งใหญ่นี้เสมอ ทุกชีวิตจึงมีคุณค่าและความสำคัญในตัวเอง มีความหมายควรแก่การเกิดมาเสมอ ไม่ได้เกิดมาแบบว่างงาน เพราะจักรวาลหรือหมื่อคาคงไม่ต้องการให้ใครแม้เพียงคนเดียวเกิดมาแล้วตกงาน ทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นของขวัญอันล้ำค่า

ปัญหาอยู่ที่เราทุกคนต่างต้องค้นหาเอาเองว่าชีวิตของเรานี้เป็นไปเพื่ออะไร อะไรคือเป้าประสงค์อันศักดิ์สิทธิ์แห่งจักรวาล เราไม่สามารถอยู่เฉยๆ และคาดหวังว่าจะได้คำตอบมาฟรีๆ หรืออยู่ๆ ให้ใครมาบอกว่าภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์ (Sacred mission) ของชีวิตเราคืออะไร ทุกอาชีพการงาน ทุกวิถีชีวิต จะร่ำรวยหรืออับจน จะเล็กหรือใหญ่ จะมีชื่อเสียงหรือไร้นาม ล้วนมีภารกิจของตัวเองทั้งสิ้น ดูเหมือนว่าจะหาหรือไม่หา จะยอมรับหรือไม่ยอมรับ ชีวิตก็นำพาให้เราต้องเผชิญกับความจริงนี้เสมอ ความจริงที่ว่าทุกชีวิตมีเป้าหมายในตัวเอง และเป้าหมายย่อยๆ เหล่านี้ต่างรับใช้เป้าหมายร่วมของชีวิตและจักรวาลอย่างเชื่อมโยง เติมเต็มให้ภาพจักรวาลงดงามและสมบูรณ์

เรื่องราวของเพื่อนหลายคนทำให้ผมรู้สึกได้ว่า ความทุกข์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ดำรงอยู่ในตัวมันเอง เพราะส่วนใหญ่ก็มีอยู่มีกินกันทั้งนั้น ไม่ได้เดือดร้อนทางเศรษฐกิจ เพราะอายุขนาดนี้หน้าที่การงานก็ไปได้ดี ประสบความสำเร็จ มีหน้ามีตา ได้รับการยอมรับ มีลูกน้องมากมาย แต่เหมือนกับว่าพวกเขาต้องการอะไรที่มากไปกว่านั้น คือต้องการความหมายและเป้าหมายในชีวิตและสามารถดำรงอยู่ตามความหมายที่มีค่านั้น ความทุกข์ของหลายคนอาจเป็นเพราะไม่ได้ดำรงอยู่อย่างมีความหมายและเป้าหมายอันสูงสุดกระมัง อย่างไรก็ตาม เวลาเราเดินออกนอกทางเรามักรู้ตัวเองได้ แล้วหาทางกลับเข้ามาใหม่ ให้โอกาสตัวเองได้ตลอดเวลา นี่เป็นความมั่งคั่งของชีวิต คือมั่งคั่งไปด้วยโอกาสหรือความเป็นไปได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ข้อจำกัดส่วนใหญ่ที่เรารู้สึกล้วนเป็นสิ่งที่เรายอมรับจากสังคมหรือไม่ก็สร้างขึ้นมาเอง ความทุกข์ของเพื่อนเหล่านี้อยู่ในรูปแบบต่างๆ เช่น ความรู้สึกเงียบเหงา โดดเดี่ยว เบื่อเซ็ง ไร้แรงบันดาลใจ เสพสุขแบบชั่วคราวไปวันๆ หดหู่ นอนไม่หลับ เสพติดสื่อ ทีวี เกมส์ แอลกอฮอล์ เซ็กซ์ ตลอดจนอำนาจในการซื้อและจับจ่ายสิ่งต่างๆ (หลายคนเรียกว่าบริโภคนิยม) หลายคนอยู่กับสิ่งเหล่านี้จนคุ้นเคย และไม่รู้ว่าจะออกจากวังวนนี้อย่างไร ทั้งๆ ที่ไม่ได้รู้สึกอิ่มเอม แต่ก็ทำๆ ไปเหมือนซื้อหรือฆ่าเวลาให้ผ่านไป ความทุกข์เหล่านี้หากมองๆ ดี น้อมรับมาดีๆ ไม่ตัดสินว่าเป็นเรื่องผิด แต่มองว่าเป็นกัลยาณมิตร เราก็จะเรียนรู้และเริ่มค้นหาเป้าหมายของเราเองได้

หลายคนในช่วงนี้เป็นเหมือนกับได้รับ “สาร หรือ sms” ของจักรวาลที่ส่งสัญญาณมาบอกว่า “เฮ้ย...ตื่นๆ ตื่นได้แล้ว” ตื่นขึ้นมาดูชีวิตตัวเองหน่อย ตื่นมาดูโลกหน่อย ถ้าเราน้อมรับความทุกข์ ความหงุดหงิด อึดอัด หรืออะไรก็แล้วแต่ที่เข้ามาในชีวิต และทำให้เราต้องหาทางออก ต้องไปนั่งอยู่ตามผับ บาร์ คาราโอเกะ ทุกวันๆ แล้วยังรู้สึกขาดๆ อยู่ ก็ไม่ต้องสงสัยแล้ว มันไม่พอแล้ว มันต้องการอะไรที่มากไปกว่าความสนุกสนานแล้ว หัวใจมันร่ำร้องบอกกล่าวถึงแรงปรารถนาที่มากกว่านั้น หรือวัยกลางคนเป็นวัยที่ต้องหาทางสายกลางที่จะเดินต่อไปอย่างมีพลังมากขึ้นหรือเปล่า

หัวใจคนเราไม่เคยโกหกเจ้าของหรอกครับ เพียงแต่ว่าเราจะยอมน้อมรับฟังเสียงที่ลึกที่สุดในหัวอกตัวเองหรือเปล่า บางครั้งและส่วนใหญ่ด้วยซ้ำ มันเป็นความรู้สึกก่อนจะเป็นความคิดเสียอีก ลองดูดีๆ ลองสัมผัสดู นี่คือสัจจะของลูกมนุษย์ทุกคน ไม่เฉพาะลูกผู้ชายนะครับ มันมีความจริงบางอย่างที่ต้องการให้รับรู้ หรืออยากบอกพวกเรา เช่น ฉันอยากมีชีวิตที่ตอบสนองกับความหมายบางอย่าง หรือเป้าประสงค์บางอย่างของจักรวาลน้อยๆ ข้างในตัวเรา เพื่อว่าการเดินทางต่อของเราจะได้ไม่วนเวียนอยู่กับร่องความซ้ำซากจำเจจนเจ้าของชีวิตเองเริ่มรู้สึกว่ากำลังกลายเป็นเพียงซากชีวิตที่เดินได้เท่านั้น เข้าเช้าออกเย็น เที่ยวดึกกลับเช้า อะไรประมาณนั้น

การตอบรับเสียงของความรู้สึกด้านในนี้ไม่น่ายาก บางทีมาในรูปของความรู้สึกทุกข์ ไม่ทางกายก็ทางใจ บางคนป่วยก็เพื่อบอกให้เจ้าตัวรู้ว่าต้องกลับมาใส่ใจกับร่างกายของตัวเองได้แล้ว ไม่เช่นนั้นจากป่วยน้อยจะกลายเป็นป่วยหนัก จนไม่อาจรักษาได้ ฉะนั้นต้องฝึกฟังเสียงหรือเฝ้าดูสภาพร่างกายอย่างใกล้ชิด เสียงเรียกด้านในนี้เปรียบได้กับเวลาที่เพื่อนรักเราโทรศัพท์มา ก็แค่รับโทรศัพท์ หรือเวลาคนรักของเราเคาะประตูอยู่หน้าบ้าน เราก็เดินไปเปิดด้วยรอยยิ้มจากใจ แค่นั้นเอง ง่ายๆ ไม่ต้องมีความคิดที่สอง เพื่อนเราหรือคนรักของเรากำลังนำส่งถ้อยความบางอย่างที่เราต้องการจะได้พอดีเลย เพื่อนชวนเที่ยว ก็ออกไปเดินทาง หรือกลับเข้ามาหาหนทางดั้งเดิมของชีวิต ที่จะทำให้เรารู้สึกอิ่มเอม มีความหมาย และมีพลัง

ให้กำลังใจตัวเองหน่อยครับที่จะกล้าตั้งคำถาม แล้วกล้าตอบอย่างเกเร คนเรามักมีส่วนที่เกเรเสมอ อย่างน้อยก็ในส่วนของความคิดความรู้สึก แม้ว่าภายนอกจะดูเรียบร้อย เหมาะสมกับสังคม แต่ลึกๆ แล้วเกเร เพราะความเกเรคือการสำแดงออกของอิสรภาพที่เรามีอยู่เหมือนกันทุกชีวิต (สัตว์ยังมีเลย ถ้ามองอย่างนี้เราคือเพื่อนร่วมอิสรภาพ ไม่ใช่แค่เพื่อนร่วมทุกข์) ความเกเรคือแรงขับที่สร้างสรรค์ แต่ส่วนใหญ่สังคมไม่ชอบคนที่ไม่ยอมทำตามอย่าง เลยใช้เรียกพฤติกรรมเหล่านี้ว่าเป็นความเกเร จนมองว่าเป็นปัญหาของครอบครัว ชุมชนและสังคมไปถึงขนาดนั้น ดังนั้นเราจึงมีคนเกเรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะสังคมไม่มีที่ทางหรือไม่สามารถรองรับแรงขับที่สร้างสรรรค์ของชีวิตได้อย่างเหมาะสม เราจับคนเข้าโรงเรียน (ที่เหมือนโรงงาน) จับคนเรียนจบแล้วเข้าบริษัท องค์กร หรือโรงงานเพื่อรับใช้เป้าประสงค์ขององค์กรนั้นๆ โดยไม่ค่อยสนใจถึงเป้าประสงค์ แรงปรารถนา หรือแรงบันดาลของคนทำงานเท่าไรหรอก นอกเสียจากว่าจะเป็นคนสำคัญจริงๆ นี่จึงทำให้คนจำนวนหนึ่งเลือกที่จะปฏิเสธ และหาทางเลือกให้กับตัวเอง แม้ว่าการยอมอยู่ในระบบจะให้ผลตอบแทนทางวัตถุและเกียรติยศที่มากมายอย่างไรก็ตาม

เพื่อนบางคนเริ่มกล้าที่จะออกเดินทางไกล ไปค้นหาความสดใหม่ของชีวิต ไปอยู่เพียงลำพังกับธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ หรือไปในสถานที่ที่จะได้พบเจอกับผู้คนและวัฒนธรรมที่แตกต่างที่มีชีวิต ราวกับว่าชีวิตเรานั้นรอคอยการมาถึงของเรา หรือเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงจากเราเสมอ เหมือนกับเป็นสัจจธรรมแห่งการดำรงอยู่ ชนอเมริกันพื้นเมืองหรืออินเดียนแดงหลายเผ่าถือว่าชีวิตมีความหมายและเป้าหมาย การออกไปดำรงอยู่และแสวงหาความหมายในธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ ผ่านความท้าทายและยากลำบากนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการเติบโตทางจิตวิญญาณของมนุษย์ทุกคน ธรรมชาติเป็นระบบชีวิตที่มีความซับซ้อนมากกว่าเรายิ่งนัก จึงมีปัญญาและบทเรียนมากมายที่เราจะเรียนรู้ได้

แรงบันดาลมาจากการค้นพบเป้าประสงค์ หรือเป้าหมาย นมีความต่างกันนะครับ ระหว่างทำตามใจตัวเองกับทำตามอำเภอใจของตัว คืออำเภอใจหรือพื้นที่ที่เราได้ยินเสียงของตัวเองที่สัมพันธ์กับชีวิตอื่นๆ บนพื้นฐานของความรัก มากกว่าความกลัวหรือความคับแคบเห็นแก่ตัว อำเภอใจคือที่ที่เราค้นพบศักยภาพตัวเองที่ไม่มีที่สิ้นสุด

อย่างไรเสีย ชีวิตที่ผ่านไปแล้วมันไม่มีอะไรเสียแน่ แต่ชีวิตที่เราจะดำเนินต่อไปข้างหน้าสิ เราจะทำอย่างไรกับมัน เราจะรับรู้เป้าประสงค์อันศักดิ์สิทธิ์และความดีงามพื้นฐานของเราเอง และดำเนินชีวิตไปตามนั้นอย่างธรรมดาสามัญได้อย่างไร ผมเชื่อว่าไม่มีใครถูกคัดเลือกออกจากหนทางชีวิตที่มีความหมาย ไม่ว่าเราจะเคยกระทำความผิดพลาดมานับครั้งไม่ถ้วนเพียงไร ชีวิตยังให้โอกาสเราเสมอ ขอเพียงแต่อย่าให้ความผิดพลาดเหล่านั้นกลายเป็นความรู้สึกผิดรันทดที่ขวางกั้นการแสดงหานิมิตหรือจินตนาการใหม่ให้กับอรุณรุ่งของชีวิตในแต่ละวันที่เราตื่นขึ้นมา

ขอพลังจงมีแด่ท่าน!

Back to Top