จิตวิวัฒน์

จิตวิญญาณสหกรณ์ ๔: ทางเลือกที่หลากหลายสู่สังคม ๓ ส.



โดย ผศ.ดร.จุมพล พูลภัทรชีวิน
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 13 มกราคม 2561

การสร้างสรรค์สังคมใหม่ที่พึงประสงค์เป็นเรื่องที่ท้าทายทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ต้องช่วยกันคิด ต้องช่วยกันทำ ตามศักยภาพของแต่ละสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทุกฝ่ายต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจนร่วมกัน มีความมุ่งมั่นที่เด็ดเดี่ยว มีจิตอาสา และมีจิตสำนึกสาธารณะ คิด พูด และทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์สุขต่อส่วนรวมมากกว่าผลประโยชน์ส่วนตน

บนเส้นทางสู่สังคม ๓ ส. มีทางเลือกที่เป็นไปได้ และพึงประสงค์หลากหลายทางเลือก หากไม่ติดกับดักอยู่กับการตีความตัวบทกฎหมายอย่างจำกัดคับแคบจนเกินไป ก็จะไม่ตีบตันทางความคิด แต่ถ้าหากตัวบทกฎหมายที่มีอยู่นอกจากจะไม่เอื้อให้สหกรณ์สามารถปรับเปลี่ยนและพัฒนาให้เหมาะสมกับสถานการณ์และบริบทของสังคมที่แปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ก็จำเป็นต้องมีการผลักดันให้มีการปรับแก้หรือออกกฎหมายใหม่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องยึดมั่นในอุดมการณ์และหลักการของสหกรณ์ หรืออาจกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบและวิธีการในการดำเนินงานของสหกรณ์ไปในลักษณะใดๆ ก็ตามเพื่อให้มีการปรับเปลี่ยนไปตามบริบทที่แปรเปลี่ยนไป ฐานของการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดยังคงต้องตั้งมั่นอยู่บนและโอบอุ้มไว้ด้วยสิ่งที่เรียกว่าจิตวิญญาณสหกรณ์

ปัจจุบันเรามี smart phones, smart farmers, digital economy, digital 4.0, ตลาดหลักทรัพย์ ระบบการทำงาน การให้บริการ และโดยเฉพาะการลงทุนของสหกรณ์ก็ต้องปรับเปลี่ยนให้ทันสถานการณ์อย่างรู้เท่าทัน อย่างมีสติ และใช้ปัญญาในการลงทุนเพิ่มมากขึ้น กรรมการดำเนินการ พนักงานของสหกรณ์แต่ละแห่ง แต่ละประเภท และแต่ละขนาด จำเป็นต้องมีความตื่นตัว เรียนรู้ พัฒนาตนเองและงานที่รับผิดชอบอยู่ตลอดเวลา หน่วยเหนือที่กำกับดูแลสหกรณ์ ยิ่งจำเป็นต้องติดตามความก้าวหน้าและความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างมีสติ และรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง กฎ กติกา ต่างๆ ที่ออกมาจำเป็นต้องอยู่ในลักษณะของการส่งเสริมและพัฒนาสหกรณ์ การกำกับดูแลก็จะไปในทิศทางเดียวกัน และควรเป็นไปอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ มีปัญหาหรือเนื้อร้ายสหกรณ์ต้องรีบเข้าไปจัดการอย่าปล่อยให้ลุกลามใหญ่โตเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ทำให้ต้องใช้ทรัพยากรด้านต่างๆ เพื่อ “ตามแก้ปัญหา” มากกว่าที่จะทุ่มเทไปที่การ “ส่งเสริม” และโดยเฉพาะการ “ร่วมสร้างความสำเร็จ” ให้กับวงการสหกรณ์

ตัวอย่างหนึ่งของทางเลือกการลงทุนที่สหกรณ์ต้องปรับตัว ภายใต้การเอื้ออำนวยของหน่วยเหนือที่เกี่ยวข้องต่อสถานการณ์และบริบทที่เปลี่ยนไป ได้แก่การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ สหกรณ์โดยเฉพาะสหกรณ์ที่มีความพร้อม น่าจะสามารถเลือกลงทุนในรูปแบบและช่องทางการเงินและการลงทุนที่หลากหลายได้เพิ่มมากขึ้นนอกเหนือจากที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

หากพิจารณาความมั่นคงของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์เป็นหลัก ก็น่าจะผ่อนคลายให้สหกรณ์สามารถลงทุนใน SET 50 ได้โดยอาจมีการกำหนดกติกาการลงทุนในหุ้นเหล่านั้นเพิ่มขึ้นเพื่อไม่ให้มีความเสี่ยงสูง แต่มีเป้าหมายเพื่อการลงทุนเป็นหลัก โดยคำนึงถึงความมั่นคงและประโยชน์สูงสุดของสหกรณ์และสมาชิกที่จะได้รับ

การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ที่คำนึงถึงความมั่นคงและประโยชน์สูงสุดที่สหกรณ์และสมาชิกจะได้รับ น่าจะเป็นสิ่งที่ดำเนินการได้

หรือหากเกรงว่า จะหาเหตุผลที่หนักแน่นได้ลำบากสำหรับ SET 501 ก็น่าจะผ่อนคลายให้ลงทุนในหุ้นยั่งยืนได้ เพราะมีมาตรฐานระดับโลกให้การรับรอง แม้หุ้นยั่งยืนในประเทศไทยจะยังมีไม่มาก เพราะมาตรฐานค่อนข้างสูง เนื่องจากต้องผ่านการพิจารณาอย่างเข้มข้นในสามด้านหลักได้แก่การคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) บรรษัทภิบาล (Governance) หรือที่คนในวงการเรียกย่อๆว่า ESG

หุ้นยั่งยืนเป็นหุ้นของบริษัทที่มี ESG ผ่านมาตรฐานระดับโลก และน่าจะสอดคล้องกับอุดมการณ์ของสหกรณ์ที่ต้องการสร้างสรรค์สังคมสันติสุข และเป็นไปตามหลักการสหกรณ์ข้อที่ ๗ (มีความเอื้ออาทรต่อชุมชน) และข้อ ๒ (มีการควบคุมโดยสมาชิกตามหลักประชาธิปไตย)

คนในวงการสหกรณ์จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนและพัฒนาอย่างจริงจัง หากต้องการให้สหกรณ์มีความมั่นคงอย่างยั่งยืน เพราะสหกรณ์โดยแนวคิดและแนวปฏิบัติ เท่าที่ผมศึกษาและมีประสบการณ์ตรงในการทำงานในฐานะประธานกรรมการดำเนินการสหกรณ์ออมทรัพย์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจำกัด เป็นสิ่งที่ดีงาม เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่มีความเป็นไปได้ และพึงประสงค์สำหรับการสร้างสรรค์สังคมสันติสุขตามอุดมการณ์ของสหกรณ์

อยากให้คนในวงการสหกรณ์มีความภาคภูมิใจที่ได้เข้ามาทำงานให้กับสหกรณ์ และที่สำคัญคือการมีโอกาสได้เข้ามาช่วยกันสร้างความสำเร็จให้กับสหกรณ์ของตนและเครือข่ายสหกรณ์ตามอุดมการณ์และหลักการของสหกรณ์



1 ดัชนีราคาหุ้นที่ใช้แสดงระดับและความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นสามัญ 50 ตัวที่มีมูลค่าตามราคาตลาด (Market Capitalization) สูง การซื้อขายมีสภาพคล่องสูงอย่างสม่ำเสมอ และมีสัดส่วนผู้ถือหุ้นรายย่อยผ่านเกณฑ์ที่กำหนด

ความเจ็บปวดของคนเป็นครู



โดย ศรชัย ฉัตรวิริยะชัย
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 6 มกราคม 2561

ใน กล้าสอน (Courage to Teach) พาร์กเกอร์ เจ พาลเมอร์ พูดถึง “ไอ้เด็กนรก” (Student from Hell) ในชั้นเรียนของเขา เป็นเด็กที่ทำให้เขารู้สึกเสียเซลฟ์มากเวลาสอน เพราะเด็กมี “ทีท่า” ต่อต้านตัวเขาตลอดเวลา ซึ่งผู้ที่เป็นครูหรือเคยสอนหนังสือจะรู้ดีว่าบางครั้งเด็กแบบนั้นทำให้ชีวิตของพวกเรา “พัง” มาก

เช่นเดียวกับผู้ที่ทำงานด้านอบรมหรือเป็นกระบวนกรจะพบว่า บางครั้งเราต้องเจอกับผู้เข้าร่วมอบรมซึ่งเรียกได้ว่า “มาจากนรก” เช่นเดียวกัน ภาษากระบวนกรจะพูดถึงเรื่องคลื่น เช่น คลื่นของกลุ่มนี้ไม่ค่อยดี คลื่นของคนนั้นไม่ค่อยดี มันคือความรู้สึกสัมผัสที่ชี้วัดออกมาเป็นตัวเลขไม่ได้ แต่รู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างอยู่ในบรรยากาศที่ปกคลุมการอบรม

เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ครูที่ดี หรือ กระบวนกรที่ดี จะต้องสามารถพลิกผันสถานการณ์ให้กลายเป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้ให้ได้ ถ้ามิใช่เช่นนั้นแล้ว ก็ถือว่าฝีมือยังไม่ถึงขั้น หรือกระดูกยังไม่แข็งพอ ถ้าเป็นแบบนั้นกระบวนการอาจจะล่มเอาง่ายๆ มีตัวอย่างให้เห็นมากมาย เราลองดูในคลิปจะเห็นครูที่ “น็อตหลุด” และโถมอารมณ์หรือกระทำรุนแรงกับเด็กนักเรียน หรือกระบวนกรที่ควบคุมสถานการณ์ไม่อยู่ก็มีให้เห็นกันอยู่

ถามว่าเมื่อเจอเหตุการณ์แบบนี้จะทำอย่างไร พาร์กเกอร์ได้รวบรวมความกล้าไปพูดคุยกับเด็กคนนั้น คนที่ทำให้เขารู้สึกไม่มั่นใจในตัวเอง พูดอีกอย่างก็คือเด็กไปปลุกความกลัวบางอย่างในตัวเขาให้กำเริบขึ้น แต่พอได้พูดคุยเป็นการส่วนตัวแล้ว พบว่าความกลัวดังกล่าวเป็นความกลัวที่ตัวเขาสร้างขึ้นเอง อย่างที่ ปีเตอร์ เซงกี บอกเอาไว้ว่า มันคือสิ่งที่เรียกว่า “บันไดแห่งการอนุมาน” อนุมานก็คือความคิดนั่นเอง เพราะอันที่จริง ที่เด็กแสดงออกเช่นนั้นเป็นเพราะเด็กก็มีความกลัวอยู่ลึกๆ เช่นเดียวกัน ขึ้นอยู่กับว่าเราจะมองเห็นหรือไม่

ผมเคยเห็นกระบวนกรบางคนไล่ผู้เข้าร่วมให้กลับบ้านไป เพราะผู้เข้าร่วมมีทีท่าบางอย่างซึ่งต่อต้านตัวเขา ยังดีที่ผมไม่เคยทำอย่างนั้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยประสบกับสถานการณ์อันหมิ่นเหม่และท้าทายหลากหลายรูปแบบ แต่ข้อเรียนรู้ที่ผมได้กับตัวเอง ซึ่งก็เป็นสิ่งที่พาลเมอร์ยืนยันก็คือ ผู้สอนจะต้องเรียนรู้ทำความเข้าใจในสิ่งที่สำคัญที่สุดเสียก่อนนั่นก็คือ “การรู้จักตัวเอง” อย่างลึกซึ้งทั้งด้านสว่างและมืด เพราะการสอนไม่ใช่เรื่องของเทคนิคหรือการเลียนแบบ มันไม่ใช่เรื่องว่าจะต้องมีตัวหนังสืออยู่ปริมาณไม่มากกว่ากี่เปอร์เซ็นต์ของสไลด์ มันไม่ใช่เรื่องการไปฝึกใช้เสียงดังกังวานจากช่องท้อง หรือไปฝึกท่ายืนที่ได้รับการอบรมมาจากสถาบันสอนบุคลิกภาพชั้นนำ หรือการปล่อยมุกเป็นครั้งคราวเพื่อเรียกเสียงฮา มันไม่ใช่ทั้งหมดที่กล่าวมา ข่าวดีก็คือ แต่ละคนสามารถเป็นครูที่ดีได้ โดยไม่ต้องไปปวดหัวกับเรื่องเทคนิคพวกนี้ แต่ความเป็นครูคือสภาวะของการดำรงอยู่ด้วยเนื้อหนังและกระดูกแห่งความเป็นครู ที่ใครจะเลียนแบบใครไม่ได้

ผมเคยได้ยินคำขวัญของคณะละครเพื่อการพัฒนาแห่งหนึ่งพูดว่า “ไม่มีเด็กที่เลว มีแต่ครูที่แย่” ซึ่งผมคิดว่าเป็นคำขวัญที่ฟังดูดี แต่มีข้อบกพร่องเชิงปรัชญาอย่างให้อภัยไม่ได้ ทำไมผมจึงพูดเช่นนั้น การบอกว่าไม่มีเด็กที่เลว นั้นคือตกไปอยู่ในกับดักของการ “เอานักเรียนเป็นศูนย์กลาง” ถ้านักเรียนเป็นศูนย์กลางแล้ว การเรียนการสอนก็ต้องลงเหวแน่นอน เพราะมันก็ไม่ต่างกับการบอกว่า “ลูกค้าคือพระเจ้า” เปลี่ยนคำสักหน่อยเป็น “นักเรียนคือพระเจ้า” ถ้าเราเชื่อแบบนั้น ชาตินี้โลกก็คงไม่มีทางได้เห็นไอโฟน เพราะสตีฟ จ็อบส์ ไม่เชื่อการวิจัยตลาด หรือการไปสอบถามว่าลูกค้าต้องการอะไร แต่เขาคิดค้นในสิ่งที่เป็นที่ต้องการของลูกค้าก่อนที่ลูกค้าจะรู้เสียอีกว่าต้องการสิ่งนั้น

ดังนั้นผมจึงขอยืนยันว่า “มีเด็กที่เลว” และอันที่จริง “เด็กทุกคนเลวหมด” เลวในที่นี้หมายถึงศักยภาพบางอย่างของเขายังไม่ได้รับการพัฒนาขึ้น เพราะถ้าหากเด็กทุกคนดีหมดแล้ว ครูก็หมดหน้าที่ คราวนี้มาดูท่อนที่สองของคำขวัญเจ้าปัญหานี้ “มีแต่ครูที่แย่” การพูดเช่นนี้ยิ่งทำให้คำขวัญนี้ผิดพลาดอย่างร้ายแรงขึ้นไปอีก เพราะเป็นการบอกเป็นนัยๆ ว่าถ้าหากนักเรียนไม่พัฒนาแสดงว่าเป็นความผิดของครู ผมกลับเห็นว่ามันไม่ถูกที่จะไปโทษครูทั้งหมด มีคำกล่าวที่ว่าการสอนเด็กเพียงคนเดียวต้องใช้คนทั้งหมู่บ้าน ดังนั้นครูเป็นเพียงแค่ปัจจัยหนึ่ง และยิ่งนับวันก็เป็นปัจจัยที่มีผลต่อเด็กน้อยลงเรื่อยๆ หันกลับไปดูสภาพสังคมของเรา ที่ผู้หลักผู้ใหญ่ซึ่งเลือกตัวเองเข้ามาบริหารประเทศ ได้แต่พูดจากลับกลอกไปวันๆ ถ้าเด็กจะเลียนแบบพฤติกรรมอย่างนั้นบ้าง การไปโทษที่ครูก็ไม่ถูก

พาล์มเมอร์เสนอทางเลือกที่ 3 คือการใช้ “วิชชา” เป็นศูนย์กลาง หมายถึงให้ทั้งผู้เรียนและผู้สอนเคารพ “วิชชา” ซึ่งก็คือความรู้ และนั่นก็หมายความว่าทุกคนไม่ว่าจะเป็นใครจะต้องเคารพ “บุรุษ” และ “สตรี” ผู้ซึ่งมั่นคงต่อหลักการของความรู้ไปด้วย เฉก เช่นเดียวกับ นักบวช พระสงฆ์ โต๊ะอิหม่าม ที่เราเห็นอยู่นี้เป็นผู้สืบทอดธำรงไว้ซึ่งวิชาความรู้ทางศาสนา ดังนั้นเราจึงให้ความเคารพต่อบุคคลเช่นนั้นซึ่งอุทิศชีวิตของเขาไว้เพื่อการเผยแพร่ความรู้ซึ่งเป็นคุณประโยชน์ต่อชนรุ่นหลัง

ผมเองเพิ่งได้ไปเป็นผู้เข้าร่วมอบรมในโครงการพัฒนาผู้นำระดับประเทศโครงการหนึ่ง ในการอบรมครั้งนี้เกิดวิกฤตขึ้นบางอย่าง เพราะผู้เข้าร่วมรู้สึกไม่เห็นด้วยกับกระบวนการบางอย่างของวิทยากรผู้นำกระบวนการ ผมบังเอิญได้อยู่ร่วมในวงสนทนาซึ่งมีผู้ที่แสดงตัวเป็นผู้นำของกลุ่มเสนอให้เปลี่ยนแปลงกระบวนการบางอย่างของวิทยากรกระบวนการ ซึ่งผมเองรู้สึกไม่เห็นด้วย จึงเสนอทักท้วงไปว่าการขอปรึกษาเพื่อเปลี่ยนแปลงเนื้อหาบางอย่างน่าจะทำได้ แต่การเปลี่ยนแปลงกระบวนการนั้นถ้าหากเสนอไปแล้วก็เท่ากับว่าเรากำลังเสนอตัวเองเพื่อไปเป็นผู้ดำเนินกระบวนการเสียเอง ซึ่งนั่นสำหรับผมเรียกว่าการ “ล้ำเส้น” หรือ ออฟไซด์ มันไม่ต่างอะไรกับการลงไปเล่นเป็นนักเตะอยู่ในสนามฟุตบอลแล้วบอกว่าจะขอไปเป่านกหวีดเป็นกรรมการเสียเอง

แต่เขาก็ยืนยันว่าจะต้องทำอย่างนั้น ซึ่งพอผมทักท้วงว่ามันอาจจะเป็นการไปทำร้ายความรู้สึกบางอย่างของอาจารย์ผู้ที่ทุ่มเทกับการจัดกระบวนการเรียนการสอน แต่เขาให้เหตุผลว่า

“ตัวอาจารย์ที่เป็นวิทยากรเองก็ต้องเรียนรู้ที่จะเจ็บปวดด้วย”

ผมเองคงจะเป็นคนโบราณไปเสียแล้วที่รู้สึกว่าการจงใจทำเช่นนั้นเป็นเรื่องไม่สมควร เพราะตนเองลึกๆ ยังมีความเชื่อว่าถ้าเราเป็นศิษย์เราไม่ควรไปสั่งสอนอาจารย์ เพราะเป็นการ “ก้าวก่าย” ผิดหน้าที่ แน่นอนว่าผมก็ไม่ใช่คนที่เชื่อในเรื่องของการก้มหัวให้กับความอยุติธรรม หรือการกดขี่จากผู้ที่มีอำนาจมากกว่า แต่ในกรณีนี้มันคนละเรื่อง

ผมจำได้ตอนทำงานเป็นกระบวนกรฝึกหัดกับเทพกีตาร์ ผมรู้สึกไม่เห็นด้วยกับกระบวนการของเทพกีตาร์หลายอย่าง จนบางครั้งในระหว่างที่ทำกระบวนการอยู่ ผมแอบไปกระซิบสั่งสอนเทพกีตาร์ให้ทำนั่นนี่ มีอยู่ครั้งหนึ่งเทพกีตาร์ถือโอกาสสั่งสอนผมอย่างเจ็บแสบ พอผมเข้าไปให้คำแนะนำเขา เขาหยุดพูด หยุดทำกระบวนการ แล้วยื่นไมโครโฟนให้ผม แล้วพาตัวเองเดินไปหลังห้อง ตอนนั้นผมรู้สึกว่าโลกกำลังหมุนติ้ว พยายามทำกระบวนการต่อไปอย่างกระท่อนกระแท่น ตอนนั้นเอง ผมเข้าใจคำว่า “ก้าวก่าย” และเข้าใจคำว่า “เชื่อมั่นในกันและกัน” อันที่จริงประสบการณ์จากการแสดงสอนให้ผมวางใจต่อนักแสดงผู้อื่นบนเวที เพราะถ้าเราไม่วางใจ เราจะแสดงด้วยความเหน็ดเหนื่อยเพราะรู้สึกว่าจะต้องไปควบคุมทุกคนบนเวที ในหมู่นักแสดงจะรู้จักกันดีว่าพวกนักแสดงมือใหม่ หรือพวกที่ไม่มีครูบาอาจารย์ มักจะเผลอตัวไปกำกับนักแสดงคนอื่นในขณะที่ตนเองกำลังแสดงอยู่ ผู้กำกับบางคนใจดีอาจจะไม่ถือสา แต่ถ้าไปเจอผู้กำกับที่เขาเข้าใจเรื่องแบบนี้ นักแสดงคนนั้นจะต้องโดนด่าสั่งสอนทันที เพื่อไม่ให้ทำอีกในอนาคต ซึ่งถ้าเป็นนักแสดงที่ผมพูดและด่าได้ ผมจะด่าพวกนี้อย่างเจ็บแสบจนต้องจดจำ แต่ถ้าใครเป็นพวกเหลือขอ ผมก็จะปล่อย “ให้ไปหกล้มปากแตกในอนาคต”

ผมเองก็เคยเจอกับผู้ช่วยกระบวนกรที่คิดว่าตัวเอง “รู้มากกว่า” ผมก็เลยใช้วิธี “ประทานไมค์” ให้ไปเลย ผลปรากฏว่าเธอคุมเวทีไม่ได้ พอมาคุยกันภายหลังเธอจึงเข้าใจว่าทำไมผมจึงทำอย่างนั้น แต่สำหรับคนที่ไม่เข้าใจก็โกรธกันไปเลย ซึ่งเมื่อเป็นอย่างนั้นก็ช่วยเหลืออะไรไม่ได้จริงๆ เพราะผมทำอย่างที่พาร์กเกอร์ เจ พาล์มเมอร์ เองก็คงจะต้องทำเช่นเดียวกัน ก็คือการเคารพ “วิชชา” ความรู้ และสำหรับคนที่เป็นครูอย่างแท้จริงจะเข้าใจว่านี่คือ “ความเจ็บปวด” ของคนที่เป็นครูซึ่งต้องทำในสิ่งที่ลูกศิษย์รู้สึกแย่ๆ แต่ทั้งหมดก็เพื่อที่ว่าจะเป็นปัจจัยให้กับลูกศิษย์ในอนาคตโดยที่เขาจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม

สมานแผลในใจด้วยสติ



โดย พระไพศาล วิสาโล
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 30 ธันวาคม 2560

นักธุรกิจผู้หนึ่ง ระยะหลังหันมาสนใจทำสมาธิ แล้วก็ทำได้ดีด้วย ทำแล้วใจสงบ แต่มีอยู่คราวหนึ่ง พอจิตสงบมาก ก็จะเห็นภาพ เรียกว่านิมิต เป็นภาพมือข้างหนึ่งที่ยื่นออกมา พอเขาเห็นภาพนี้ในก็รู้สึกกลัวขึ้นมาทันที เพราะมือนั้นคือมือของพ่อ เป็นมือที่เคยตบตีเขาสมัยที่ยังเป็นเด็ก เขากลัวมาก แล้วก็โกรธด้วย ความรู้สึกนี้รบกวนจิตใจมากจนกระทั่งนั่งสมาธิต่อไม่ได้ ต้องเลิก

หลังจากนั้นเมื่อนั่งสมาธิทีไร พอจิตสงบนิ่ง ก็จะเห็นภาพนี้ เกิดความรู้สึกทั้งกลัวและโกรธ จนกระทั่งต้องเลิกนั่ง เพราะว่ามันทำให้เขาย้อนระลึกถึงเหตุการณ์ในอดีตที่พ่อเคยทุบตีเขาตอนเป็นเด็กครั้งแล้วครั้งเล่า มันเป็นเหตุการณ์ที่ฝังใจเขามาก และไม่อยากระลึกนึกถึง เมื่อเห็นภาพดังกล่าวในสมาธิบ่อยเข้า เขาก็เลยตัดสินใจเลิกนั่งสมาธิ

แต่หลังจากที่เลิกนั่งสมาธิไปได้พักหนึ่ง เขาได้คิดว่านี้ไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาที่ถูกต้อง เขาเห็นว่าการนั่งสมาธิเป็นของดี ถ้าจะเลิกนั่งเพราะเหตุนี้ก็ไม่ควร เขาตัดสินใจว่าจะต้องก้าวข้ามจุดนี้ไปให้ได้ ไม่อย่างนั้นชาตินี้คงทำสมาธิไม่ได้เลย

อ่านต่อ »

Back to Top