มนุษย์จำเป็นต้องมีจิตขนาดใหญ่
เพื่อที่จะบรรจุความเมตตา ความกรุณา
อันไม่มีที่ประมาณไว้ได้
โดย ธัญลักษณ์ ศรีสง่า
สถาบันสะพานพัฒนา
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 23 พฤษภาคม 2558
ไม่นานมานี้ ผู้เขียนมีโอกาสเข้าร่วมวงสนทนาเล็กๆ ของกลุ่มเอ็นจีโอที่มีประสบการณ์เข้มข้นและยาวนานในการทำงานเพื่อปกป้องสิทธิของกลุ่มคนที่เปราะบางทางสังคม สิทธิชุมชน และสิทธิในการดูแลและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งเป็นสมบัติร่วมกันของคนเล็กคนน้อยคนยากคนจนในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ
เราใช้เวลาสองวันหนึ่งคืนกับการพูดคุยข้ามพรมแดนชีวิตและงานของแต่ละคน แบ่งปันประสบการณ์ส่วนตัว เชื่อมร้อยภาพความทรงจำร่วมของขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมจากฐานรากของประเทศไทย และช่วยกันร้อยเรียงหมุดหมายสำคัญของสายธารขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมในช่วง ๓๐ ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นการทำงานทางสังคมของคนหลายคนในวงสนทนา เช่น ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๒๗ - ๒๕๒๘ ที่มีกรณีชาวบ้านรวมตัวกันคัดค้านการปลูกยูคาลิปตัสในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และคัดค้านการทำประมงอวนลากอวนรุนที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ ในปี พ.ศ. ๒๕๓๓ - ๒๕๓๔ มีกรณีคัดค้านโครงการจัดสรรที่ดินทำกินให้กับราษฎรผู้ยากไร้ในเขตป่าสงวนแห่งชาติเสื่อมโทรม (คจก.) รวมทั้งเป็นช่วงเวลาเริ่มต้นของมหากาพย์การคัดค้านเขื่อนปากมูล หลังจากนั้นขบวนเริ่มมีการจัดการตนเองในลักษณะการเชื่อมโยงกลุ่มงานต่างๆ เข้าหากันเป็นเครือข่ายข้ามประเด็นและข้ามพื้นที่มากขึ้น เพื่อผนึกกำลังและกำหนดแนวทางการเคลื่อนไหวที่มุ่งผลักดันให้เกิดการแก้ไขปัญหาเชิงนโยบาย เช่น การรวมตัวของเครือข่ายเกษตรกรภาคเหนือ (คกน.) ในปี ๒๕๓๗ และสมัชชาคนจนในปี ๒๕๓๘ เป็นต้น
โดย ภัทร กิตติมานนท์
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 9 พฤษภาคม 2558
ถ้าชีวิตของผมเป็นเหมือนหนังสือ เรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงนี้คงเปรียบเหมือนการขึ้นบทใหม่ จากแต่เดิมที่เรียนรู้อยู่กับชุมชนมาได้ ๔ ปี ถึงตอนนี้ บริบททั้งหลายก็เปลี่ยนแปลงไป ช่วงต่อไป ผมต้องออกมาเรียนรู้ด้วยตัวเอง ไม่มีการประคองใกล้ชิดจากลุง (วิศิษฐ์ วังวิญญู) และชุมชนอย่างที่เคยเป็นมา ในช่วงที่เกิดการปรับเปลี่ยนใหม่ๆ ต้องยอมรับว่า รู้สึกสั่นสะเทือนมาก มันเกิดขึ้นโดยเราไม่ได้ตั้งตัว แต่ทุกการเปลี่ยนแปลงในชีวิตก็ล้วนเป็นอย่างนี้ไม่ใช่หรือ? ผมนึกถึงช่วงที่ตัวเองเดินทางออกจากกรุงเทพฯ จากชีวิตในระบบมาสู่การเรียนรู้วิถีใหม่ที่ชุมชนเชียงราย ในตอนนั้น หลังจากติดอยู่ในวังวนยาเสพติดมา ๓ ปี คืนหนึ่ง ในวันที่ชีวิตดิ่งลงถึงจุดต่ำสุด การเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้น เริ่มจากแฟนที่เคยเล่นยาอยู่ด้วยกันตัดสินใจแยกทางไป แล้วจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง พ่อแม่ก็เดินทางมาหาพร้อมกับบอกว่า พวกเขารู้แล้วว่าผมติดยา ในเช้าวันนั้นเอง เราก็เดินทางออกจากกรุงเทพฯ มาสู่เชียงรายและชุมชนที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน
จากวันนั้นถึงวันนี้ กินเวลา ๔ ปีกว่าๆ เป็นช่วงเวลาที่ผมได้เรียนรู้อยู่ในโลกใบใหม่ที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง หากจะนิยาม ๔ ปีในชุมชนเป็นบทหนึ่งในหนังสือ ผมจะให้ชื่อบทว่า “การศึกษาที่แท้” เพราะนี่คือการศึกษาที่ลงลึกถึงหัวใจ ไม่ใช่การเรียนเพื่อจดจำเนื้อหาดังที่เคยเป็นมา แต่ทุกๆ บทเรียนที่เกิดขึ้นคือความเข้าใจที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงตัวตนของผมอย่างถึงราก ผมเลิกยาได้จากความสนิทสนมที่มีกับลุง ผมเริ่มเปิดตัวเองสู่โลกของการอ่านการเขียน จากคนที่เคยขยาดแขยงหนังสือเล่มหนาๆ ชื่อยากๆ มาวันนี้ ผมสามารถอ่านหนังสือภาษาอังกฤษได้อย่างเมามัน อย่างที่ไม่กลัวว่าตัวเองจะไม่เข้าใจ และที่สำคัญ จากเด็กขี้อายที่ลึกๆ ยังรู้สึกสงสัยในคุณค่าของตัวเองอยู่ตลอด ตอนนี้ผมสามารถเป็นผู้นำพาการเรียนรู้ให้กับคนอื่นๆ ได้