มิถุนายน 2015

ความปรารถนาที่ไม่อาจจะเติมเต็ม



โดย ศรชัย ฉัตรวิริยะชัย
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 27 มิถุนายน 2558

มีอยู่ครั้งหนึ่งผมนิมนต์พระอาจารย์ไพบูลย์ ฐิตมโน ไปเปิดวงสนทนาจิตตปัญญาที่นครสวรรค์ นักธุรกิจหญิง สาวมั่นแห่งปากน้ำโพคนหนึ่ง บ่นลูกน้องให้พระอาจารย์ฟังว่า รู้สึกเบื่อหน่ายที่ลูกน้องและคนใกล้ชิดไม่ได้ดั่งใจ พระอาจารย์ตอบกลับไปว่า

“ใจของเราเองยังไม่ได้ดั่งใจเลย แล้วจะให้ใจใครมาได้ดั่งใจเรา”

ประโยคนี้ประโยคเดียว ทำให้เธออยู่อบรมต่อเป็นเวลาสามวัน จากเดิมที่แอบกระซิบว่าจะ “มาแวบเดียว”

อะไรคือความปรารถนาลึกๆ ของคนทุกคน? เป็นคำถามที่ผมเฝ้าถามตัวเอง จากการเรียนในสถาบันศึกษา ผมได้รู้จักกับมาสโลว์ที่พยายามแยกแยะความต้องการของมนุษย์ออกเป็นขั้นๆ แต่พอถึงวันนี้ ผมพบว่าโมเดลแบบนั้นไม่เพียงพอที่จะใช้มาอธิบายความซับซ้อนของมนุษย์ได้

จนผมมาเจอคำอธิบายของจิตวิเคราะห์สายลากอง (lacan)1 ที่ผมเห็นว่าเป็นคำอธิบายที่เข้าท่าอยู่ เพราะเขาบอกว่าเป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์จะสามารถล่วงรู้ได้ว่าตัวเองปรารถนาอะไร ท่านผู้อ่านอาจจะเถียงในใจว่าไม่จริงหรอก ฉันรู้ดีว่าเดี๋ยวเที่ยงนี้ เย็นนี้ฉันอยากจะทานชาบูให้หนำใจ แต่ช้าก่อนครับ ในทางจิตวิเคราะห์เขาไม่เรียกการอยากทานชาบูว่าเป็นความปรารถนา เพราะมันเป็นเพียงความต้องการ และยังพูดต่อไปว่า เราสามารถตอบสนองความต้องการของเราได้ เช่น อยากทานอาหารอร่อยก็ไปทาน อยากไปเที่ยวก็ไป แต่ทั้งหมดนี้ยังไม่ใช่ “ความปรารถนา”

การไม่อาจรู้ความปรารถนา ตรงกับคำของพระอาจารย์ที่บอกว่า “ใจของเราเองก็ยังไม่ได้ดั่งใจ”

อ่านต่อ »

แผนที่ชีวิต แผนที่สมอง



โดย วิศิษฐ์ วังวิญญู
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 20 มิถุนายน 2558

(๑)


เด็กเล็กๆ ยังไม่มีแผนที่ชีวิต เราผู้ใหญ่ต้องจูงมือเขาไป วางแผนที่ง่ายๆ ให้เขาเข้าถึงความดีและความชั่วอย่างง่ายๆ ดังปรากฏในนิทานอีสป คือมีกรอบให้เขาเดิน เด็กยังไม่ได้คิด ยังไม่ต้องให้อิสรภาพทางความคิด การไปให้อิสรภาพหรือไปยอมต่ออาการดึงดันของเขา ปล่อยให้การเอาชนะแบบสมองสัตว์เลื้อยคลานเกิดขึ้นเป็นปกติประจำวัน จะทำให้เขามองเห็นโลกอย่างบิดเบือนไปจากความดี กลายเป็นอสูรร้ายประจำบ้าน และสิ่งที่จะติดตัวเขาไป คือการเรียกร้องต้องการอย่างเอาแต่ใจตัวเอง ไม่รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น

อีกด้านหนึ่ง เราควรปล่อยให้เขาสำรวจโลกทางกายภาพอย่างอิสระ ไม่ต้องเอามาตรฐานกรอบเกณฑ์เกินจำเป็นของผู้ใหญ่ไปจับ น่าสงสารเด็กบางคนเกลียดกลัวดินกลัวหญ้ามาจนถึงวันที่เป็นผู้ใหญ่ ในขณะเดียวกัน ก็เปิดโอกาสให้เขาได้ดิ้นรนบ้างเล็กๆ น้อยๆ เช่น ให้รู้จักรอบ้าง ให้รู้จักทำสิ่งที่ยากลำบากบ้าง ให้เขาทุกข์บ้าง โดยมีเราอยู่เป็นเพื่อนคอยปลอบประโลมใจ จะทำให้เขาสามารถรับความยากลำบากและความทุกข์ได้ด้วยความมั่นคงภายในและด้วยทัศนคติที่เป็นบวก ซึ่งเรื่องนี้ ลูกคนรวยจะเสียเปรียบลูกคนธรรมดาที่จะมีโอกาสช่วยพ่อแม่บ้างตามความจำเป็น

อ่านต่อ »

ซำสวาทโมเดล: โรงเรียนขนาดเล็กที่ยิ่งใหญ่



โดย ผศ.ดร.จุมพล พูลภัทรชีวิน
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 13 มิถุนายน 2558

จากโรงเรียนขนาดเล็กที่จะต้องยุบตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ เพราะมีจำนวนนักเรียนน้อย ครูไม่ครบชั้น ครูไม่ตรงวิชาเอก ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนต่ำ สู่การเป็นโรงเรียนที่ได้รับรางวัลหลากหลาย เช่น รางวัลสถานศึกษาพอเพียง รางวัลพลังคิดสะกิดโลก และรางวัลระดับศูนย์เครือข่ายสถานศึกษาเป็นต้น และที่สำคัญคือในปัจจุบัน นักเรียนอ่านออกเขียนได้ ๑๐๐ % (ป.๑-๓ อ่านออกเขียนได้ ป.๔-๕ อ่านคล่องเขียนคล่อง) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนสูงขึ้นทุกปี ผลการสอบเอ็นทีเป็นอันดับหนึ่งของเขตพื้นที่การศึกษา ผลการสอบโอเน็ตสูงขึ้น ผลการประเมินคุณภาพการศึกษาขั้นพื้นฐาน (LAS) สูงขึ้น ผ่านการรับรองจากสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) ในระดับดี และนักเรียนมีคุณธรรมจริยธรรม ๘ ประการของกระทรวงศึกษาธิการ

ทั้งหมดเป็นที่ภาคภูมิใจของคนในชุมชน ครู นักเรียน ผู้บริหาร คณะกรรมการบริหารสถานศึกษา และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

เป็นตัวอย่างที่งดงามมากของการทำงานแบบมีส่วนร่วม ร่วมปรึกษา ร่วมหาทางออก ร่วมมือกันทำ ร่วมฝ่าฟันอุปสรรค ร่วมกันสร้างความสำเร็จ ร่วมกันปรับปรุงพัฒนา ร่วมแรงร่วมใจอย่างเต็มที่ เต็มความสามารถ และเต็มเวลา และที่สำคัญด้วยความเต็มใจของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โรงเรียนจึงเป็นส่วนหนึ่งและส่วนเดียวกับชุมชนอย่างแท้จริง ครูเปรียบเสมือนพ่อแม่คนที่สองของนักเรียน ครูสอนลูกอย่างไรก็สอนนักเรียนอย่างนั้น รักลูกศิษย์เหมือนรักลูกตัวเอง โรงเรียนคือบ้าน บ้านคือโรงเรียน ที่โรงเรียนมีครูสอน ที่บ้านมีพ่อแม่สอน

อ่านต่อ »

ความกรุณาของหมาไร้บ้าน และผู้อพยพลี้ภัยที่มีชื่อเสียงของโลก



โดย ชลนภา อนุกูล
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 5 มิถุนายน 2558

(๑)


หลายปีก่อน ข้าพเจ้าพบลูกหมาวัยรุ่นตัวหนึ่ง เซซังมาจากไหนไม่รู้ได้ แต่ความเป็นลูกหมาที่ไร้ฝูง ท่าทีระแวงระวังไม่ไว้วางใจใครหรืออะไร ทำให้เข้าใจได้ไม่ยากว่า เจ้าลูกหมาตัวนี้พลัดหลงกับแม่ กระเซอะกระเซิงไปอย่างไม่รู้ทิศ ถูกไล่จากตรงโน้นตรงนี้ จนกระทั่งมาถึงละแวกอาคารที่พักของข้าพเจ้า ซึ่งมีหมาอยู่แล้วหลายตัว มีจ่าฝูงตัวผู้คอยกำหนดระเบียบ

เจ้าลูกหมาหน้าใหม่ไม่ได้เข้าอยู่ในฝูง จะด้วยเพราะฝูงเดิมไม่ยอมรับ หรือมันไม่รู้จักพิธีกรรมเข้าไปซูฮกเคารพนบน้อมก็ไม่รู้ได้ แต่ที่แน่-แน่ มันพบที่ซุกหัวนอนและอาหาร ไม่มีใครมาไล่ตะเพิด กลายสภาพจากหมาไร้บ้านเป็นหมามีหลักแหล่ง หน้าตามอมแมมดูมีสง่าราศีขึ้น แต่มันก็ไม่สนิทสนมกับใคร เดินวิ่งอยู่หลังตึก ใครจะให้อาหาร ต้องวางไว้และเดินออกไปไกล-ไกล มันถึงจะย่องเข้ามากิน

ด้วยความสงสัยว่า เจ้าหมาวัยรุ่นตัวนี้สันโดษโดยนิสัยสันดาน หรือว่าเป็นโรคระแวงเนื่องจากเป็นเหยื่อจากการกระทำรุนแรงในวัยเด็ก ข้าพเจ้าก็เลยทำการทดลอง ด้วยการซื้อลูกชิ้นบ้าง หมูปิ้งบ้าง เอามาให้เจ้าหมาตัวนี้ทุกเย็น วางไว้ แล้วก็นั่งห่างออกไปสักสิบกว่าเมตร ไม่เรียกมันเข้ามากิน ไม่เรียกให้มันเข้ามาหา ไม่มองหน้ามัน นั่งเล่นอยู่คนเดียวของข้าพเจ้าไปสักสิบหรือสิบห้านาทีแล้วก็ลุกไป

หมาทั่วไปเมื่อได้รับอาหารครั้งหนึ่งแล้ว พอเจอหน้าก็จะวิ่งมาประจบทักทาย แต่เจ้าหมาตัวนี้ไม่เคยทำเลย ในวันที่สี่และห้าก็โผล่หน้ามาหลังจากวางอาหารและข้าพเจ้าขยับออกไป พอวันที่หกข้าพเจ้าก็เริ่มคุยกับมัน ฉีกอาหารเป็นชิ้นเล็กๆ วางไว้ให้มันเดินขยับมากินใกล้ตัวมากขึ้น และวันที่เจ็ดนั้นเอง ข้าพเจ้าก็ลูบหัวลูบตัวมันได้

อ่านต่อ »

Back to Top