กรกฎาคม 2015

รางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี



โดย ผศ.ดร.จุมพล พูลภัทรชีวิน
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 1 สิงหาคม 2558

ครูผู้สร้างหน่อชีวิตที่ดีงาม ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่สับสนและวุ่นวาย แล้วหล่อเลี้ยงให้เจริญเติบโต และพัฒนาขึ้นภายในตัวตนของคนรุ่นแล้วรุ่นเล่า หล่อหลอมความเป็นคนดีมีคุณภาพให้กับสังคม ด้วยความทุ่มเท มุ่งมั่น และปฏิบัติตนให้เป็นตัวอย่าง ย่อมสมควรได้รับการเชิดชู ในฐานะที่เป็นครูดี ครูศรีของแผ่นดิน รางวัลเจ้าฟ้ามหาจักรีคือประกาศนียบัตรเกียรติยศสูงยิ่งสำหรับครูดี ครูศรีของแผ่นดิน

รางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี หรือ Princess Maha Chakri Award1 เป็นรางวัลนานาชาติที่มอบให้แก่ครูผู้ทุ่มเทปฏิบัติงาน และมีผลงานดีเด่น อันก่อให้เกิดคุณประโยชน์ในวงกว้างต่อการศึกษาและการพัฒนาคน จากประเทศไทยและประเทศในกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จำนวน ๑๑ ประเทศ ประเทศละ ๑ คน เพื่อเชิดชูเกียรติครูดีเด่นในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานของประเทศร่วมภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดำเนินการโดยมูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ร่วมกับคุรุสภา กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ผู้ทรงพระปรีชาและทรงมีคุณูปการอย่างยิ่งต่อการศึกษา ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ

อ่านต่อ »

บ้านยางแดง: ๓ ทศวรรษของขบวนการทางสังคมกินได้



โดย ธัญลักษณ์ ศรีสง่า
สถาบันสะพานพัฒนา
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 25 กรกฎาคม 2558

“ถึงตัวอำเภอแล้วเลี้ยวซ้ายมาอีกประมาณ ๗ กิโล ทางสะดวกราดยางทั้งสาย” คุณนันทวรรณ หาญดี หรือพี่นันกลุ่มเกษตรอินทรีย์ อ.สนามชัยเขต จ.ฉะเชิงเทรา อธิบายเส้นทางมาบ้านยางแดงกับผู้เขียนสองข้างทางจาก อ.สนามชัยเขต ไปบ้านยางแดงมีไร่มันสำปะหลัง สวนยูคาลิปตัสสวนยางพาราสลับเป็นระยะ

สำหรับผู้เขียน บ้านยางแดงเป็นตัวอย่างที่ดีของการสะสมพลังการเปลี่ยนแปลงของชุมชนฐานราก (Organization or Community Transformation) ที่โผล่ปรากฏขึ้นมาเป็นทางเลือกสำหรับสังคมไทยในยุคที่เต็มไปด้วยการถกเถียงถึงสิทธิในกำหนดอนาคตตนเองว่าควรเป็นของใคร

ที่ทำการกลุ่มออมทรัพย์เพื่อการพัฒนาแม่บ้านยางแดงมีผู้หญิงหลายวัยกำลังนั่งคุยกันอยู่เนื่องจากวันที่ ๑๐ ของทุกเดือนเป็นวันประชุมกลุ่มออมทรัพย์ “เครื่องมือ” สำคัญในการทำงานชุมชนของบ้านยางแดงซึ่งมีพัฒนาการต่อเนื่องมากกว่า ๓๐ ปี ผู้ที่บุกเบิกงานนี้คือคุณเกษม เพชรนที หรือพี่เกษม ซึ่งมีประสบการณ์จากการทำงานกับมูลนิธิบูรณะชนบท (บชท.) องค์กรพัฒนาเอกชนแห่งแรกในไทยที่ตั้งขึ้นในปี ๒๕๑๐

พี่นันเล่าว่า ทศวรรษ ๒๕๒๐ พี่เกษมมาที่บ้านยางแดง สมัยนั้น “ชาวบ้านไม่มีอาหารกินพอเพียง เด็กไปโรงเรียน ครึ่งหนึ่งไม่มีข้าวกลางวันกิน บางส่วนเอาข้าวไปแต่ไม่มีกับข้าว มีไม่ถึง ๕ ครอบครัวที่เด็กๆ จะมีข้าวและกับข้าวไปพร้อม อีกครึ่งหนึ่งมาโรงเรียนไม่มีอาหารกลางวัน เด็กไปเก็บฝักกระถินยักษ์ ลูกมะม่วงหิมพานต์สุกที่นิ่มๆ กิน แล้วกินน้ำ วัสดุอุปกรณ์การเรียนการสอนก็ไม่พอ รองเท้าเสื้อผ้าเด็กก็ไม่พอ ทุกอย่างขาดแคลน ยารักษาโรคไม่พอ เขตนี้เป็นชุมชนตั้งใหม่ อนามัยไม่มี เส้นทางเป็นทางเกวียน ทางลากซุง ชาวบ้านต้องมาถากถางปลูกพืชไร่มันสำปะหลัง ๑๐๐%”

จากการที่ชุมชนร่วมกันสร้างโรงเรียนบ้านยางแดง พี่เกษมจึงนำประเด็นโรงเรียนขาดแคลนอุปกรณ์การเรียนการสอนเป็นโจทย์ตั้งต้นชวนคนในชุมชนคิดว่าจะแก้ปัญหานี้อย่างไร ชาวบ้านเลือกใช้ชุดประสบการณ์ที่มีคือปลูกมันสำปะหลังหาเงินมาซื้ออุปกรณ์การเรียนการสอน ผลคือขาดทุน แต่สิ่งสำคัญที่ได้คือกระบวนการเรียนรู้ เห็นถึงวงจรมันสำปะหลังที่พึ่งพาระบบตลาด ไม่สามารถควบคุมได้

ปี ๒๕๒๔ พี่เกษมชักชวนครูเก็บข้อมูลชุมชนทุกครัวเรือนทุกประเด็น เช่น เศรษฐกิจ สังคม สุขภาพ ความรู้ชาวบ้าน นำข้อมูลมาสังเคราะห์ จัดกลุ่มปัญหา และคืนข้อมูลสู่ชุมชน เปิดเวทีชวนคนในชุมชนมาพูดคุยช่วยกันดูภาพรวม หาปัญหาร่วมของชุมชนจนได้ข้อสรุปว่า จะแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าคือ ให้มีอาหารกินพอเพียงในครอบครัวนำไปสู่การทำโครงการพัฒนาชนบทแควระบมสียัด ที่ตั้งชื่อตามแควสองสายที่เป็นต้นน้ำของแม่น้ำบางปะกง

โครงการพัฒนาชนบทแควระบมสียัดได้รับงบประมาณสนับสนุนจากองค์กรแตร์ เด ซอมม์ (Terre des Hommes) และโครงการปฏิรูปการเกษตรและพัฒนาชนบท หรือ WCARRD (World Conference on Agrarian Reform for Rural Development) พี่เกษมประสานหน่วยงานรัฐมาสนับสนุนงานความรู้ เช่น ปศุสัตว์อำเภออบรมการเลี้ยงสัตว์ สถานีพัฒนาที่ดินแนะนำการปรับปรุงสภาพพื้นที่ รวมทั้งตั้งกลุ่มออมทรัพย์ เพื่อลดการพึ่งพาแหล่งเงินทุนจาก “เถ้าแก่” และสร้างการพึ่งตนเองในระยะยาว

พี่นันเข้ามาบ้านยางแดงปี ๒๕๒๘ เป็นช่วงที่โครงการสรุปบทเรียน และเตรียมขยายพื้นที่ทำงาน บทเรียนหนึ่งที่พบคือ ผู้หญิงขาดการมีส่วนร่วม การทำงานพัฒนาชุมชนในระยะต่อมาจึงมีโจทย์หลักคือ สนับสนุนการมีส่วนร่วมของผู้หญิง พี่นันเข้ามาอยู่ในชุมชนครบรอบปีเพื่อเรียนรู้วิถีชุมชน และตั้งข้อสังเกตว่าคนในชุมชนโดยเฉพาะผู้หญิงหาอยู่หากินกับป่าใกล้บ้าน เก็บพืชผัก เช่น หน่อไม้ หน่อข่าป่า ยอดหวาย ดอกกระเจียว มาทำอาหารในครัวเรือนและขายตามงานวัด ตลาดนัด พี่นันจึงชวนเด็กๆ เก็บข้อมูลการใช้ประโยชน์จากไผ่ป่าที่บ้านของเด็กแต่ละคน ประมวลข้อมูลให้เห็นทรัพยากรธรรมชาติ และรายได้ในชุมชน ตามไปพูดคุยกับแม่ของเด็กๆ จนกระทั่งรวมตัวเป็นกลุ่มออมทรัพย์เพื่อการพัฒนาแม่บ้านยางแดง เมื่อเดือนเมษายน ๒๕๒๙ ซึ่งกลายเป็นพื้นที่ทางสังคมของผู้หญิงที่มาแลกเปลี่ยนพูดคุย และร่วมกันวิเคราะห์ปัญหาของชุมชนเพื่อหาแนวทางแก้ไข

นโยบาย “เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า” ในทศวรรษ ๒๕๓๐ ส่งผลให้เกิดการกว้านซื้อที่ดินจากนายทุน ราคาที่ดินเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว พื้นที่ป่าใกล้บ้านยางแดงถูกแพ้วถางพร้อมกับพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ที่เข้ามาส่งเสริมในพื้นที่คือ ยูคาลิปตัส สถานการณ์ที่เกิดขึ้นกระทบต่อความมั่นคงทางอาหาร และความมั่นคงทางรายได้ของชุมชน กลุ่มแม่บ้านยางแดงจึงมีการพูดคุยกันและได้ข้อสรุปว่า ต้องย้ายป่ามาไว้ในบ้านคือ เอาผักพื้นบ้านในป่า เช่น แต้ว เสม็ด กระเจียวหน่อข่าป่า หวาย ไม้ไผ่ มาปลูกเป็นป่าครอบครัว ซึ่งต่อมาขยายเป็นสวนผสมผสาน ประกอบกับบ้านยางแดงมีการทำนา หลังเก็บเกี่ยวจะมีฟางเหลือ พี่นันจึงหาความรู้และทดลองเพาะเห็ดฟางกองเตี้ยด้วยตนเอง แล้วมาส่งเสริมคนในชุมชนเพิ่มเติมอีกส่วนหนึ่ง

กลุ่มออมทรัพย์ ป่าครอบครัว สวนผสมผสาน และการเพาะเห็ด จึงเป็นกระบวนการเรียนรู้เรื่องเกษตรกรรมยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม และทำให้คนในชุมชนตระหนักถึงความสำคัญของการพึ่งตนเองบนฐานทรัพยากรชุมชน แนวคิดนี้ขยายผลออกไปสู่พื้นที่ใกล้เคียง และหลังจากปี ๒๕๓๒ ได้กลายเป็นเครือข่ายการเรียนรู้ที่เชื่อมโยงชุมชนที่ทำงานขับเคลื่อนเรื่องเกษตรกรรมยั่งยืนจากหลายพื้นที่

งานเครือข่ายทำให้การทำงานของกลุ่มแม่บ้านยางแดงยกระดับไปสู่งานขับเคลื่อนเชิงนโยบาย ระหว่างปี ๒๕๓๙-๒๕๔๐ทางกลุ่มได้เข้าร่วมชุมนุมกับสมัชชาคนจน ขับเคลื่อนประเด็นเกษตรกรรมยั่งยืนให้บรรจุอยู่ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ ๘ และเป็นชุมชนหนึ่งในโครงการนำร่องเพื่อพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนของเกษตรกรรายย่อย คนในชุมชนเป็นคนบริหารจัดการผ่านกลุ่มออมทรัพย์ ในปี ๒๕๔๔ มีการจัดตั้งกลุ่มเกษตรอินทรีย์ อ.สนามชัยเขต เพื่อทำงานทั้งระบบ ตั้งแต่ชุดความรู้ผลิต และจัดการผลผลิตสู่ตลาดในระดับท้องถิ่นและระดับสากล โดยมีระบบมาตรฐานรองรับ

ทศวรรษ ๒๕๕๐รัฐมีแผนสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเขาหินซ้อน กลุ่มเกษตรอินทรีย์ อ.สนามชัยเขต จึงทำงานร่วมกับเครือข่ายเกษตรกรรมยั่งยืน เครือข่ายสมัชชาแปดริ้วยั่งยืนและเครือข่ายนักวิชาการ สร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องผลกระทบของการสร้างโรงงานไฟฟ้าด้วยการทำ CHIA (Community Health Impact Assessment) คือประเมินผลกระทบทางสุขภาพโดยให้คนในชุมชนจัดทำข้อมูลชุมชนด้วยตนเอง ชูประเด็นเรื่องความมั่นคงทางอาหาร เนื่องจากพื้นที่บริเวณลุ่มแม่น้ำบางปะกงเป็นแหล่งผลิตอาหารที่สำคัญทั้งระดับประเทศและระดับโลก และนำข้อมูลชุดนี้นำเสนอกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จนกระทั่งชะลอการก่อสร้าง โดยให้กลับไปศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมอีกครั้ง

ประสบการณ์การเคลื่อนไหวทำให้เกิดเครือข่ายที่ทำงานร่วมกันมาจนถึงปัจจุบัน มีการเสนอ “วาระเปลี่ยนตะวันออก” ที่ประกาศเจตนาว่า คนภาคตะวันออกต้องการมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางการพัฒนาด้วยตัวเอง และประเด็นความมั่นคงทางอาหารเป็นยุทธศาสตร์หนึ่งของวาระเปลี่ยนตะวันออก มีการริเริ่มโครงการ “๓๐๔ กินได้” ซึ่งเป็นการสร้างความหมายใหม่กับพื้นที่ที่ถนนหลวงหมายเลข ๓๐๔ ตัดผ่านว่า เป็นพื้นที่ผลิตอาหารใกล้เมืองที่สำคัญ

ประสบการณ์กว่า ๓๐ ปีของบ้านยางแดงจึงเป็นตัวอย่างหนึ่งของขบวนการทางสังคมที่ขับเคลื่อนด้วยการใช้ความรู้มาพัฒนาศักยภาพของคนในชุมชน เริ่มต้นจากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อเข้าใจและแก้ไขปัญหาภายในชุมชน จนนำไปสู่การขับเคลื่อนงานนโยบายของสังคม ซึ่งเคล็ดลับสำคัญของการขับเคลื่อนขบวน คือทำให้ความรู้เป็น “ความรู้ที่กินได้” เห็นและเข้าใจได้ผ่านการลงมือปฏิบัติจริง

โดยเป้าหมายสำคัญที่สุดของขบวนการทางสังคมตามแนวทางนี้ คือการเพิ่มอำนาจการมีส่วนร่วมในการตัดสินอนาคตตนเองของคนเล็กคนน้อย คนยากคนจน ที่เป็นฐานรากที่กว้างใหญ่ที่สุดของสังคมไทย เป็นขบวนการทางสังคมที่กินได้สำหรับคนทั้งหมด

ฆ่าตัวตาย นักศึกษา และการศึกษา



โดย นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 18 กรกฎาคม 2558

เดือนกรกฎาคมมีปรากฏการณ์น่าสนใจของข่าวมากมาย มองในแง่ดีนี่เป็นช่วงเวลาที่ข่าวมีสีสันมากที่สุดช่วงหนึ่ง สร้างความแตกแยกทางความคิดและอารมณ์มากที่สุดช่วงหนึ่ง สังคมที่ดีคือสังคมที่เห็นไม่ตรงกัน หากต่างฝ่ายอดกลั้นที่จะปะทะกันทางความคิดเช่นนี้ไปเรื่อยๆ โดยไม่ทำร้ายกันอย่างรุนแรง อนาคตของบ้านเราก็ยังพอมีหวัง

ข่าวและการแถลงข่าวนักแสดงฆ่าตัวตายกลบข่าวนักศึกษา ๑๔ คนที่ถูกจับกุมเพราะเรียกร้องประชาธิปไตยเสียมิดชิดหลายชั่วโมงเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ

ความคิดฆ่าตัวตายมิใช่เรื่องแปลกหรือเรื่องผิดปกติเสมอไป คนหลายคนสามารถคิดอยากตายได้เป็นบางครั้งโดยที่มิได้เจ็บป่วยด้วยโรคทางกายหรือโรคทางจิตอะไร เพราะความคิดฆ่าตัวตายนั้นเป็นเรื่องทางปรัชญาตั้งแต่ต้น เป็นคำถามอีกด้านของคำถามประเภทคนเราเกิดมาทำไม

คนทุกคนมีทุกข์เป็นเรื่องธรรมดา ธรรมดาคือธรรม บางครั้งทุกข์มากจนกระทั่งคิดฆ่าตัวตายก็เป็นเรื่องธรรมดาเช่นกัน แม้ลงมือไปแล้วและไม่ตายก็เป็นเรื่องธรรมดาด้วย ที่ควรจะไม่ธรรมดาคือไม่ยอมลุกขึ้นมาสู้ชีวิตใหม่ต่างหาก

ที่ควรเป็นคือคนเราทุกข์ได้ เศร้าได้ คิดฆ่าตัวตายได้ และเผลอลงมือได้ด้วย ถ้ามีโอกาสแก้ตัวก็ต้องรู้จักพัก ค้นหาทางเลือกใหม่ของชีวิต แล้วลุกขึ้นใช้ชีวิตธรรมดาต่อไป

การแถลงข่าวและการประโคมข่าวต่างหากที่ไม่ธรรมดา

ความคิดฆ่าตัวตายมักเกิดขึ้นพร้อมกับความสับสน บางคนคิดลงมือปลิดชีวิตตนเองแท้จริง บางคนเพียงอยากตายแต่ไม่คิดจะลงมือด้วยตนเอง บางคนเพียงแค่อยากหายตัวไปแต่ไม่ได้อยากตาย บางคนอยากนอนหลับยาวๆ สัก ๗ วัน ๗ คืนแต่มิได้อยากหายตัวไป หลายครั้งที่เขากินยานอนหลับเกินขนาดไปโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองจะเอาอะไรกันแน่

ตื่นมาก็งงว่าทำอะไรลงไป ตอนตื่นมาจึงเป็นจังหวะที่ดีที่จะชวนเขาทบทวนให้แน่ใจว่าอยากทำอะไรกันแน่

ความคิดฆ่าตัวตายมักมาเป็นลูกคลื่น พัดมาแล้วก็พัดไป ปัญหาจะเกิดก็เกิดตอนที่พัดมา ชั่วขณะที่ความคิดฆ่าตัวตายพุ่งขึ้นสูงหากมีปืนในบ้าน ใช้ปืนเป็นและรู้ที่เก็บ เช่นนี้ก็เป็นข่าวลงหนังสือพิมพ์ได้ง่าย หากบ้านอยู่บนตึกสูงแล้วเปิดหน้าต่างได้ง่ายๆ เช่นนี้ก็ร่วงลงมาได้เร็ว

แต่ถ้าบ้านไม่มีปืน หน้าต่างปิดล็อคแน่นหนา ไม่สะสมยาและสารเคมีอันตรายมากจนเกินไปในตัวบ้าน เช่นนี้คลื่นความคิดฆ่าตัวตายจะผ่านไปสู่ระยะคลื่นลมสงบอีก ก็เป็นจังหวะที่เจ้าตัวได้ทบทวนตัวเองว่าจะใช้ชีวิตแบบเดิมต่อไปหรือจะเปลี่ยนแปลง เป็นจังหวะที่ญาติพี่น้องจะได้พูดคุยด้วย หรือเป็นจังหวะที่ควรไปพบจิตแพทย์แล้วแต่กรณี

ความคิดฆ่าตัวตายมิใช่เรื่องใหญ่ การลงมือฆ่าตัวตายก็มิใช่เรื่องใหญ่ ความตื่นตระหนกเกินเหตุของทั้งสังคมจึงเป็นเรื่องใหญ่

นักศึกษา ๑๔ คนที่เรียกร้องประชาธิปไตยเป็นตัวอย่างของนักศึกษาที่การศึกษาไทยและมหาวิทยาลัยควรจะได้และควรจะยินดี โดยไม่ต้องใส่ใจว่าอะไรที่เขาเรียกร้องถูกหรือผิด

เราจะปฏิรูปการศึกษาไปทำไมถ้าเราไม่ยินยอมให้นักเรียนนักศึกษาแสดงออก คำว่าแสดงออกหมายถึงแสดงความคิดในหัวสมองออกมาให้คนอื่นรับทราบ ส่วนคนอื่นรับทราบแล้วจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็แสดงออกมาได้เช่นกัน เช่นนี้การศึกษาจึงจะพัฒนาไปได้

หากคิดว่านักศึกษาแสดงออกไม่เหมาะสม ก็เป็นประเด็นที่ควรค่าแก่การถกเถียงกันต่อว่าไม่เหมาะสมตรงไหนและอะไรจึงเรียกว่าเหมาะสม ประเด็นนี้ไม่เหมือนกับไม่ให้แสดงออกเลย และไม่เหมือนกับที่บอกว่าให้รอไปก่อน โตขึ้นจะเข้าใจเอง

การศึกษาจะไปไหนไม่ได้เลยหากเราไม่ยินยอมในหลักการ ๒ ข้อแรกของการปฏิรูปการศึกษาคือ ๑.คิด ๒.พูด หากใช้ภาษาการศึกษาคือ critical thinking และ communication

เป็นเรื่องพูดอย่างทำอย่างหากเราจะพยายามปฏิรูปการศึกษาแล้วชื่นชมตนเองกันมากมายว่ากำลังปฏิรูปการศึกษา แต่ห้ามเด็กคิดและห้ามเด็กพูด ไม่มีข่าวอะไรจะน่าประหลาดมากไปกว่านี้อีกแล้ว

การคิดเชิงวิพากษ์หรือ critical thinking เป็นปฐมบทของการคิด มิใช่ผลลัพธ์ของการสอนหนังสือ มนุษย์เกิดมาก็คิดเป็นตั้งแต่ ๒ ขวบ คิดแล้วทำ ทำแล้วประเมินผล ประเมินผลแล้วทำซ้ำ ก่อนที่จะถอดบทเรียนเป็นความคิดรวบยอดเฉพาะตัว คือการคิดเชิงวิพากษ์ ถูกหรือผิดก็เรื่องหนึ่ง แต่มนุษย์นั้นคิดเป็น
เราทำลายวิธีคิดและการทำงานของสมองเด็กๆ ตามธรรมชาติด้วยการสอนหนังสือเรื่อยมา ตั้งแต่เตรียมอนุบาลจนถึงปีสุดท้ายของอุดมศึกษา สอนให้เชื่อ และจงเชื่อฟัง นี่คือการทำลายทรัพยากรมนุษย์อย่างเป็นระบบในนามของการศึกษาของชาติ เราทำเช่นนี้มาหนึ่งศตวรรษ ผลลัพธ์ที่ได้คืองานแถลงข่าวข้างต้น นั่นคือเต็มไปด้วยอวิชชา

มนุษย์นั้นคิดแล้วต้องพูดออกมา หากเด็กๆ พูดไม่เพราะ ไม่มีสัมมาคารวะ ก็เป็นหน้าที่ที่เราจะให้เขาฝึกทักษะการพูดที่สุภาพและมีคนฟัง แต่มิใช่ห้ามพูด

การแสดงออกมิใช่ทำได้ด้วยการพูด สามารถทำได้ด้วยการเขียน วาดรูป สร้างไฟล์นำเสนอ ทำอินโฟกราฟิก ทำข่าว จัดนิทรรศการ โต้วาที แสดงละคร ละครใบ้ และทำได้ทุกที่ทุกเวลา ส่วนจะมีคนฟังหรือไม่ฟัง เชื่อหรือไม่เชื่อก็ขึ้นกับฝีมือของคนที่กำลังแสดงออกซึ่งความคิดนั้นเอง คิดเก่งแต่พูดหรือแสดงออกไม่เอาไหนก็ช่วยไม่ได้ที่จะไม่มีคนคล้อยตาม แต่มิใช่ห้ามแสดงออก

งานแถลงข่าวฆ่าตัวตายสะท้อนถึงความล้มเหลวของการศึกษาแห่งชาติอย่างเป็นระบบ งานปฏิรูปการศึกษาที่ทำกันอยู่จะกลายเป็นเรื่องเหลวไหลและหลอกลวง หากไม่นำพาการแสดงออกของนักศึกษาไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม

บ้านเมืองเวลานี้มีแต่ข่าวตลกร้าย

ไดอะล็อคด้านมืด



โดย วิศิษฐ์ วังวิญญู
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 11 กรกฎาคม 2558

ปีนี้เป็นปีดีแน่ๆ สำหรับชีวิตผม เป็นปีที่เพื่อนเก่าๆ กลับมาคืนดี ถึงวันนี้ก็นับได้สองราย ที่จริงจะว่าให้เป็นปริมาณก็หาไม่ หากเลขสองก็มากกว่าเลขหนึ่ง และสองก็อาจก่อประกอบเป็นแบบแผนเล็กๆ ได้ เช่นอาจจะกล่าวได้ว่า ปี ๒๕๕๘ เป็นปีแห่งการคืนดี ทำให้ผมอยากพูดถึงเรื่องไดอะล็อคด้านมืด (dark side) หรือถอดบทเรียนไดอะล็อคด้านมืดออกมาเป็นเรื่องเป็นราวสักหน่อย ที่จริงอาจจะเป็นเพียงการตั้งต้น และจะไม่สมบูรณ์หากคนที่นิยมไดอะล็อคด้านมืดไม่ได้มาถอดบทเรียนเองหรือมาร่วมกันถอดบทเรียนด้วยกัน


การตัดสิน

เรื่องหนึ่งที่ผมจะนำเสนอไดอะล็อคด้านมืดก็คือ การตัดสินผู้อื่น หรืออีกนัยหนึ่ง การพูดความจริง (อาจจะเป็นคำเรียบง่ายเกินไปในไดอะล็อคด้านมืด) แล้วลองเอามาเทียบเคียงกับคำว่า “การโยนตัวกวน” ของงานกระบวนการว่า จริงๆ แล้วคล้ายคลึงหรือแตกต่างกันอย่างไรบ้าง

ไดอะล็อคเป็นการพูดคุยที่มีวินัยเข้ามากำกับ จะสำเร็จเป็นผลดีต้องเป็นวินัยที่มาจากภายใน และจะยิ่งดียิ่งขึ้น ถ้าวินัยนั้นได้ซึมซับเข้ามาเป็นเนื้อเป็นตัวของผู้พูดแล้ว และวินัยที่สำคัญประการหนึ่งก็คือ ความสามารถในการห้อยแขวนการตัดสิน พูดภาษาชาวบ้านคือการไม่ตัดสินเพื่อนๆ ในวง และไม่เพียงแต่ไม่ตัดสินโดยการกล่าวออกมา หากไม่ตัดสินแม้ในใจเลยทีเดียว เพราะหากเราตัดสินในใจแล้ว การฟังของเราจะไม่สมบูรณ์ หรือไม่ได้ฟังเอาเลย เป็นเรื่องที่ไม่ได้ทำกันได้ง่ายๆ แม้เป็นเพียงการพยายามไม่ตัดสินคนอื่นในใจของเรา ความเป็นไดอะล็อคก็เริ่มเกิดขึ้นแล้ว

อ่านต่อ »

Back to Top