จากการสร้างเสริมสุขภาวะทางจิตวิญญาณ สู่จิตวิวัฒน์ และจิตตปัญญาศึกษา: การแสวงหาความหมายของชีวิตและสรรพสิ่ง



โดย ผศ.ดร.จุมพล พูลภัทรชีวิน
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 3 ตุลาคม 2558

ประสบการณ์การเดินทางไปในกาละ (Time) และเทศะ (Space) ทาง “สุขภาวะในมิติของจิตวิญญาณ” “จิตวิวัฒน์” และ “จิตตปัญญาศึกษา” ของผม เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของชีวิต จากจุดเริ่มต้นที่ผมมิได้เป็นผู้ริเริ่มโดยตรง แต่ได้รับการติดต่อและทาบทามจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ให้ช่วยทำการศึกษาวิจัยเรื่อง “การสร้างเสริมสุขภาวะในมิติของจิตวิญญาณ” ในปี ๒๕๔๕ ผมตอบรับคำเชิญที่ท้าทายมากที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตเพราะผมไม่เคยรู้ ไม่เคยศึกษาเรื่องการสร้างเสริมสุขภาวะ และเรื่องจิตวิญญาณมาก่อนเลย ในช่วงเวลาหกเดือนที่ทำการศึกษาวิจัยเรื่องนี้ ผมอ่านหนังสือเกี่ยวกับสองเรื่องนี้และที่เกี่ยวข้องเยอะมาก มีโอกาสพูดคุยแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับผู้รู้ และกับทีมวิจัยตลอดเวลา เกิดอาการ “ปิ๊งแว้บ” เป็นระยะๆ นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐาน (Fundamental Transformation) ทางความคิดความเชื่อของผมที่เกี่ยวกับความเป็นตัวตนของตนเอง ชีวิตและสรรพสิ่ง

เพื่อขยายผลและขับเคลื่อนงานด้านการสร้างเสริมสุขภาวะทางจิตวิญญาณ เมื่องานวิจัยเสร็จเรียบร้อย ทาง สสส.ก็จัดให้มีการนำเสนองานวิจัยในที่ประชุมที่ประกอบไปด้วย ผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิชาการ ผู้เกี่ยวข้อง เครือข่าย สสส.และผู้สนใจทางด้านนี้เมื่อวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๔๖ ณ โรงแรมรามาการ์เด้นส์ มีผู้เข้าร่วมฟังและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นประมาณร้อยกว่าคน มีการบันทึกเทปการนำเสนองานวิจัยและการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ไว้ มีการถอดเทปและจัดพิมพ์เป็นหนังสือเพื่อเผยแพร่ในงาน “วันรวมพล คนสร้างสุข” ที่จัดขึ้นในโอกาสที่ สสส.ทำงานร่วมกับบุคคลและองค์กรหลากหลายในประเทศ ในการพัฒนาขบวนการสร้างเสริมสุขภาวะครบ ๒ ปี ที่คอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ อิมเพค เมืองทองธานี ในวันที่ ๑๐-๑๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๖

ต้องขอบคุณ สสส.ที่ไว้ใจให้เกียรติผมเป็นผู้บุกเบิกริเริ่มงานวิจัยด้านการสร้างเสริมสุขภาวะในมิติของจิตวิญญาณเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ด้วยการให้ความเป็นอิสระ และเสรีภาพทางวิชาการกับผมอย่างเต็มที่ ขอบคุณตัวแทน สสส.ผู้มาติดต่อผม คุณศุภชัย พงศ์ภคเธียร ที่มีความเชื่อมั่นในตัวผม ชักนำและโน้มน้าวให้ผมรับทำงานวิจัยชิ้นนี้ ขอขอบคุณ ดร.สุจิตรา สุคนธทรัพย์ ดร.อนงค์นุช ภูยานนท์ ดร.เยาวดี สุวรรณนาคะ ดร.ทัศนีย์ ทองประทีป และดร.สุกัญญา โลจนาภิวัฒน์ ทีมวิจัยที่เข้มแข็ง อ่อนโยน มีความรับผิดชอบสูง ในขณะที่มีความเป็นกัลยาณมิตรเต็มเปี่ยม ขอบคุณจริงๆ ครับ ประสบการณ์ในการทำงานวิจัยครั้งนี้ เปลี่ยนผ่านผมผู้เป็นนักวิชาการที่อหังการและก้าวร้าวทางวิชาการ ให้กลายมาเป็นอาจารย์ ครู วิทยากร กระบวนกร และเป็นคนธรรมดาที่อ่อนโยน นุ่มนวล ทนรับได้กับความแตกต่างเพิ่มขึ้น เริ่มรับฟัง ไม่รีบตัดสิน และเรียนรู้จากคนอื่น จากสิ่งแวดล้อม และสรรพสิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ

อาจจะเป็นเพราะงานวิจัยชิ้นนี้ คุณหมอประเวศ วะสี จึงเลือกผมให้เป็นสมาชิกกลุ่มจิตวิวัฒน์ ที่มีสมาชิกเริ่มต้นทั้งหมด ๑๕ คน พบปะพูดคุยกันในลักษณะของสุนทรียสนทนาเดือนละครั้ง ครั้งละวัน แบบไม่มีหัวข้อ ไม่มีวาระการประชุมที่เป็นทางการ แต่ละคนเพียงนำตัวและหัวใจที่เปิดกว้างมา และพร้อมจะแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันอย่างมีความสุข เป็นการประชุมที่ผมขาดไม่ได้ ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ไม่ใช่เพราะระเบียบข้อบังคับหรือข้อตกลงของสมาชิกกลุ่มจิตวิวัฒน์ แต่เป็นเพราะอยากมา เพราะมาแล้วมีความสุข มีสติ และเกิดปัญญาทุกครั้ง กลุ่มจิตวิวัฒน์ช่วยคลี่คลายขยายออกทางความรู้ และปัญญา การพูดคุยแต่ละครั้งช่วยทำให้ผมเข้าถึงความจริง ความดี และความงามในตัวเอง ผู้อื่น และสรรพสิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ตัวผมเริ่มเล็กลง เล็กลง แต่ก็ยังคงมีความสำคัญและสัมพันธ์กับคนอื่น สิ่งแวดล้อม โลก จักรวาล และสรรพสิ่ง

จากการพูดคุยแบบไม่มีหัวข้อ ไม่มีวาระนี้ กลับก่อให้เกิดประเด็น และเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม มีการนำไปขยาย ขับเคลื่อน และริเริ่มงานและโครงการต่างๆ มากมาย หนึ่งในนั้นคือการขับเคลื่อนเรื่องจิตตปัญญาศึกษาในวงการศึกษา คุณหมอประเวศได้นำเสนอเรื่องจิตตปัญญาศึกษาในที่ประชุมสภามหาวิทยาลัยทั้งที่มหิดลและจุฬาฯ ก่อให้เกิดศูนย์จิตตปัญญาศึกษาขึ้นที่มหาวิทยาลัยมหิดล มีการเปิดหลักสูตรระดับปริญญาโทสาขาวิชาจิตตปัญญาศึกษาและการเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลง แต่ที่จุฬาฯ ไม่สำเร็จ ผมจำได้ดี เพราะตอนนั้นผมเป็นประธานสภาคณาจารย์และกรรมการสภามหาวิทยาลัย คุณหมอประเวศได้เสนอเรื่องจิตตปัญญาศึกษาในที่ประชุมสภา ผมออกความเห็นสนับสนุนเต็มที่ ทุกท่านในที่ประชุมก็แสดงความสนใจ แต่ไม่มีการขับเคลื่อนใดๆ เป็นรูปธรรม ผมจึงไปเปิดศูนย์จิตตปัญญาศึกษาขึ้นที่คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ ได้ทำกิจกรรมต่างๆ อย่างต่อเนื่องจนผมเกษียณจากจุฬาฯ แล้วไปเป็นอาจารย์ประจำที่ศูนย์จิตตปัญญาศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล

สำหรับผม ทั้งสามเรื่องเป็นกระบวนการหรือการเดินทางเพื่อแสวงหาความหมายของชีวิตและสรรพสิ่ง เพื่อจะได้ดำเนินชีวิตให้เต็มความหมายให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ภายใต้บริบทของตนเอง ครอบครัว สังคมไทย และสังคมโลกที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ไม่หลงยึดติดกับสิ่งหนึ่งสิ่งใดจนติดกับดัก ไม่ว่าจะเป็นชีวิตของตนเอง หรือความหมายของชีวิตและสรรพสิ่งที่ตนเองค้นพบหรือให้ความหมายไว้ เพราะทุกอย่างไหลเลื่อนเคลื่อนไปไม่มีที่สิ้นสุด

โดยนัยนี้ ในการเป็นวิทยากร และการเป็นกระบวนกรเกี่ยวกับสามเรื่องนี้ ผมจึงไม่เริ่มต้นด้วยการให้ความหมายและคำจำกัดความ ซึ่งตรงกันข้ามกับการศึกษากระแสหลัก แต่จะเกริ่นให้ผู้เข้าฟัง ผู้ร่วมประชุม หรือผู้ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ให้ร่วมทำกิจกรรม เรียนรู้และแลกเปลี่ยนกัน แล้วค่อยๆ สร้างความหมายของสิ่งที่กำลังเรียนรู้ขึ้นมาด้วยตัวเอง “ปิ๊งแว้บ” ขึ้นมาเอง แล้วแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกันไปเรื่อยๆ ภายใต้บรรยากาศของการยอมรับและเคารพในศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ของกันและกัน ฟังกันอย่างลึกซึ้งเพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างเป็นองค์รวม ห้อยแขวนการตัดสินใจ สะท้อนการเรียนรู้ สะท้อนความรู้สึก ความคิด และความเชื่ออย่างเป็นองค์รวม กระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ลักษณะนี้ จะเอื้อให้เกิด เอกัตปัญญา (Individual Wisdom) และ องค์ปัญญา (Collective Wisdom)

การแสวงหาและสร้างความหมายเกี่ยวกับตนเอง ชีวิต และสรรพสิ่ง เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ไม่สิ้นสุด มันไหลเลื่อนเคลื่อนไปอย่างต่อเนื่อง เมื่อเราพบสิ่งใหม่ เราก็จะผนวกควบรวม (Enfolding/Including) กับสิ่งเก่าที่มีอยู่ แล้วเกิดการคลี่คลายขยายออก (Unfolding) เป็นสิ่งใหม่ที่เปลี่ยนไปจากเดิม กระบวนการเช่นนี้ทางกลุ่มจิตวิวัฒน์เรียกว่า การก้าวพ้นจากสิ่งเก่าสู่สิ่งใหม่ (Transcending) หรือการเปลี่ยนผ่าน (Transforming)

การแสวงหา และการก่อร่างสร้างความหมายในเรื่องหนึ่งเรื่องใด ไม่เหมือนและไม่ใช่การให้คำจำกัดความหรือนิยามปฏิบัติการ เราไม่สามารถให้คำจำกัดความของคำว่า สุขภาวะ จิตวิญญาณ และจิตตปัญญาได้ ยกเว้นตอนเราทำวิทยานิพนธ์หรืองานวิจัยที่มีวัตถุประสงค์ ข้อจำกัด และขอบเขตการวิจัยที่เฉพาะเจาะจง

ในขณะที่ “ความหมาย” สื่อถึงความเป็นองค์รวมที่คลี่คลายขยายออกไปได้ เปลี่ยนแปลงได้ตามบริบทที่แตกต่างกัน ให้ความสำคัญกับความเข้าใจ ไม่ใช่แค่ความจำ แต่ “คำจำกัดความ” สื่อถึงการจำแนกแยกส่วน แคบ เฉพาะเจาะจง และคงที่ ไม่เปลี่ยนแปลงตามบริบท ดังนั้น สุขภาวะทางจิตวิญญาณ จิตวิวัฒน์ และ จิตตปัญญาศึกษา สำหรับผม จึงเป็นเรื่องความหมาย ไม่ใช่คำจำกัดความ

สำหรับผม ประสบการณ์การเรียนรู้และการขับเคลื่อนทั้งสามเรื่องและโดยเฉพาะจิตตปัญญาศึกษา ในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา เป็นกระบวนการเรียนรู้ แสวงหา และการก่อร่างสร้างความหมายเกี่ยวกับชีวิตและสรรพสิ่ง

Back to Top