สู่การปรับวิธีคิดในการดับไฟใต้

โดย ดร.เอกวิทย์ ณ ถลาง
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 27 พฤศจิกายน 2547

เหตุการณ์บ้านเมืองทุกวันนี้มีแต่เรื่องที่ทำให้เป็นทุกข์ เศร้าหมองและวิตกกังวล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหตุการณ์ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่กลายเป็นวิกฤตการณ์ระดับชาติแล้ว ร้อนถึงเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินท่านต้องเสด็จออกมาทรงให้สติให้คำแนะนำผู้มีส่วนเกี่ยวข้องให้ช่วยกันดับความทุกข์ร้อนของพสกนิกรที่ท่านทรงรักและห่วงใย หากแต่ภารกิจหนักหนาสาหัสและซับซ้อนที่มีเหตุปัจจัยสั่งสมมานานก็ยังจะต้องสะสางกันต่อไป เพื่อให้บ้านเมืองร่มเย็นเป็นสุข ในการนี้ ผู้มีอำนาจหน้าที่ทุกระดับทุกฝ่ายจำเป็นจะต้องคิดและทำงานด้วยจิตใจที่สูง สะอาด ฉลาด และเฉลียวเป็นอันมาก

ในฐานะประชาชนที่เป็นหุ้นส่วนคนหนึ่งที่ถือกำเนิดเป็นคนใต้ ได้รู้เห็นและสัมผัสทุกข์สุขของคนใต้มามากพอสมควร และด้วยสำนึกในบุญคุณแผ่นดินเกิด ผมขอเสนอความเห็นเพื่อท่านผู้มีอำนาจหน้าที่ได้โปรดรับไปพิจารณาดำเนินการให้เกิดผลในการดับไฟใต้ ดังนี้

๑. ในการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ในบริบทของความไม่เข้าใจกันเป็นพื้นฐานครั้งนี้ ก่อนอื่นผู้ใช้อำนาจรัฐทุกระดับจะต้องยกใจไว้ให้อยู่เหนือความโกรธ ความแค้นเคือง และความหลงผิดว่าท่านเป็นผู้มีอำนาจเหนือประชาชน รวมทั้งผู้หลักผู้ใหญ่ในประชาคมมุสลิมก็ต้องยกระดับจิตใจไว้เหนืออารมณ์ดังกล่าวเช่นกัน ในประเด็นนี้ โต๊ะครูท่านหนึ่งจากอำเภอรือเสาะเคยพูดในที่ประชุมแห่งหนึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ ฟังแล้วจับใจผมมาก ท่านบอกว่า “ความจริงชาวพุทธที่ดีกับพี่น้องมุสลิมที่ดีเขาเข้าใจกัน เขาอยู่กันได้ดีเป็นปกติ เขาพึ่งพาอาศัยและร่วมมือกันทำสิ่งดีงามได้เสมอมา” ยิ่งกว่านั้นผมออกจะทึ่งมากที่ท่านรอบรู้พุทธธรรมหลายข้ออย่างถูกต้อง ทำให้ผมได้คิดต่อมาว่า ถ้าเช่นนี้ก็สมควรที่ชาวพุทธจะศึกษาหาความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมะของทางอิสลามให้มากกว่านี้ จะได้ปฏิบัติต่อกันได้ถูกต้องเหมาะสมยิ่งขึ้น เพื่ออะไร? ก็เพื่อเราจะได้ช่วยกันแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และหากทำได้เราก็จะสามารถเข้าใจปัญหาเข้าถึงความจริงได้อย่างผู้ใหญ่ที่ปลอดอคติ

๒. ถ้ายอมรับต่อกันอย่างกล้าหาญว่าความขัดแย้ง ความไม่เข้าใจ ที่นำไปสู่การทำร้ายต่อกันหลายหลากวิธี มิใช่ความผิด ความเลวร้ายของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่เป็นความผิดความเลวร้ายของทั้งสองฝ่าย ต่างกรรมต่างวาระกัน ก็ชอบที่จะหันหน้าเข้าหากัน ใช้ธรรมะแห่งศาสนาของเราแต่ละฝ่ายเป็นพื้นฐาน พร้อมใจกัน ขอโทษและอโหสิกัน ให้เป็นที่ประจักษ์แก่มหาชน เพราะเราเป็นคนของแผ่นดินเดียวกัน ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมานานหลายชั่วคน ถ้าทำได้ดังนี้ก็จะได้รับการแซ่ซ้องสาธุการไปทั่ว จะทำได้ก็ต่อเมื่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องพร้อมใจกันยกระดับมโนธรรมสำนึกของเป็นผู้ใหญ่ที่มีน้ำใจที่สงบ ใสสะอาดและสว่างด้วยปัญญา ยิ่งเมื่อรู้ตรงกันแล้วว่า มิใช่พี่น้องมุสลิมที่อยู่ในศีลในธรรมเป็นผู้ก่อการ แต่เป็นคนที่หลงผิด เข้าใจผิดต่างหาก เช่นเดียวกับฝ่ายเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ลุแก่อำนาจทำไปเกินกว่าเหตุในบางครั้ง ก็น่าที่จะร่วมใจร่วมมือกันระงับเหตุระงับภัยที่จะมาได้ดียิ่งขึ้น

๓. พื้นฐานทางจิตที่จะนำไปสู่ความเข้าใจ การให้อภัยและการอโหสิกันดังเสนอข้างต้น จักต้องประกอบด้วย ความเมตตากรุณา รวมทั้งอุเบกขา และขันติธรรมที่พึงมีต่อความแตกต่างทาง ความเชื่อ
และวัฒนธรรม จะว่าไปถ้าเราถือหลัก “แลหลังรู้ที่มา แลหน้ารู้ที่ไป” ตรงกัน และลองสืบสาวสาแหรกความสัมพันธ์ระหว่างคนต่างชาติพันธุ์ทางศาสนาต่างวัฒนธรรม ถึงที่สุดแล้วเราจะพบว่าไม่ว่าจะนับถือพุทธ คริสต์ อิสลาม ฮินดู หรือศาสนาใดๆ เราทั้งหมดก็เป็นมนุษย์ด้วยกันดังที่ท่านมหาตมะ คานธี ได้กล่าวไว้ว่า “โลกทั้งผองพี่น้องกัน” ยิ่งเมื่อดูให้ใกล้แคบเข้ามา พวกเราในแว่นแคว้นสุวรรณภูมิล้วนมีสายสัมพันธ์กันมานาน พึ่งพาอาศัยกันมาหลายชั่วคน เราทะเลาะกันบ้าง ดีกันบ้าง เป็นธรรมดา ความเข้าใจเห็นอกเห็นใจน่าจะนำไปสู่การให้อภัยและการอโหสิกันได้มิใช่หรือ

๔. ว่าจำเพาะผู้มีอำนาจหน้าที่ของรัฐ ต้องขอร้องตรงไปตรงมาว่า ท่านต้องปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นว่าท่านเป็นนายของชาวบ้าน และท่านกำลังทำหน้าที่ขจัด “เสี้ยนหนาม” ของแผ่นดิน ทำไมต้องปล่อยวาง? ต้องขอให้ปล่อยวางก็เพราะอีกฝ่ายหนึ่งเขาไม่แคร์เลยว่าท่านใหญ่แค่ไหน เขาแคร์ว่าเขาได้รับความเป็นธรรมหรือไม่ต่างหาก การวางตัวว่าเสมอกันพูดกันได้ น่าจะมีผลดีกว่าในทางจิตวิทยา จะว่าไปก็คงคล้ายๆ กับผู้ใหญ่ที่ย่อตัวลงไปหาผู้น้อยและจริงใจที่รับฟังปัญหาข้อโต้แย้งจากมุมมองของการฟังด้วยเมตตาธรรมและขันติธรรม ถ้าทำได้ ก็จะสามารถแก้ปัญหาได้มากขึ้นบนฐานความเสมอภาค และความยอมรับนับถือศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ของอีกฝ่ายหนึ่ง อะไรๆ ก็น่าจะพูดกันได้ดีขึ้น

๕. เราได้อ้างถึงกันมาก ถึงคำสั่ง นรม.ที่ ๖๖/๒๕๒๓ ของรัฐบาลพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ ต่อเนื่องกับรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ที่มีผลให้ยุติการต่อสู้กันด้วยความรุนแรง ระหว่างคนของรัฐกับผู้ที่สังคมไทยเรียกเขาว่าคอมมิวนิสต์ ซึ่งในแก่นแท้ของคำสั่งดังกล่าวเป็นการแสดงออกถึงวุฒิภาวะระดับสูงและจิตใจที่ถึงธรรมของระดับผู้ใหญ่ที่กุมอำนาจรัฐ ยังผลให้การเข่นฆ่ากันยุติลงโดยสิ้นเชิง บ้านเมืองกลับคืนสู่ความสงบสุข นานาอารยะประเทศเมื่อได้ทราบทั่วกันต่างก็แซ่ซ้องสรรเสริญรัฐประศาสนศาสตร์ของไทยไปทั่วโลก ก็ในเมื่อเราทำสำเร็จมาแล้วครั้งหนึ่ง เหตุไฉนเราจะทำให้สำเร็จอีกครั้งหนึ่งไม่ได้? ผมเชื่อมั่นว่าเราน่าจะทำได้ โดยความสนับสนุนของประชาชนทั้งประเทศ โดยเฉพาะพี่น้องมุสลิมผู้ใฝ่สันติ สำหรับการแทรกแซงจากภายนอกก็เป็นเรื่องที่เราจะประมาทมิได้ แต่ในเมื่อเรามีทั้งความฉลาดและเฉลียวอย่างเพียงพอ ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องวิตกจนเกินไป (ถ้าการข่าวและดุลยพินิจของเราดีพอไวพอ) โดยสรุปก็คือ เป็นการสมควรยิ่งที่รัฐบาลจะออกประกาศนิรโทษกรรมให้กับทุกคนทุกฝ่ายดังที่ได้มีผู้เสนอหนาแน่นขึ้นทุกที

๖. เพื่อให้บรรลุผลดังเสนอข้างต้น จำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้รับผิดชอบของบ้านเมืองทุกระดับทุกฝ่ายด้วยความร่วมมือร่วมใจของพี่น้องมุสลิมทั้งในและนอกพื้นที่จะต้อง เจริญสติ และระดมปัญญาในการคิด พูดและทำทุกอย่างด้วยความสุขุม เพื่อให้สันติสุขของพี่น้องประชาชนกลับคืนมา เลิกเสียเถิด สำหรับคำว่า “ผมขอรับผิดชอบแต่ผู้เดียว” หรือ “ไอ้คนพวกนั้นผมไม่เอามาทำพ่อ” มันเป็นการแสดงความโอ้อวด แสดงสีสันที่เป็นการยั่วยุซึ่งไม่เกิดประโยชน์ใดเลย ให้โอกาสให้กำลังใจคนทำงานทุกฝ่ายช่วยกันคิด และทำให้ดีที่สุด เพื่อช่วยกันดับไฟใต้ให้สำเร็จดีกว่า

ด้วยข้อเสนอข้างต้น (และข้อเสนอดีๆ อีกมากมาย อาทิเช่น ของ ศ.นพ.ประเวศ วะสี , ศ.ดร.เขียน ธีรวิทย์ ฯลฯ) ผมมั่นใจว่าอะไรๆ กำลังจะดีขึ้น ประชาชนผู้ใฝ่สันติและมีใจเป็นธรรมทั่วประเทศ รู้กันทั่วแล้วว่าอะไรเป็นอะไร เรากำลังพร้อมใจกันตั้งจิตอธิษฐานให้ความสุขสงบร่มเย็นของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้กลับคืนมาโดยเร็ว

การพับนกให้ได้ ๖๓ ล้านตัว เป็น “อภิมหาสัญลักษณ์” เพื่อส่งไปโปรยลงไปที่สามจังหวัดภาคใต้ แม้ดูจะฮือฮาและไร้เดียงสาไปบ้าง แต่ก็เป็นเสรีภาพในการแสดงออกถึงพลังมหาชนที่ได้ถูกจุดประกายขึ้นแล้ว ซึ่งจะว่าไปก็อาจทำได้ระดับหนึ่ง แต่ไม่ควรโหมกระพืออารมณ์ชาตินิยมรุนแรง จนเกิดผลเสียทางจิตวิทยาขึ้นมาอีกจนได้ เอาเป็นว่าได้เป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ที่มีขอบเขตพอดีพองาม มิให้เกิด “ผลพลอยเสีย” จากการแสดงออกแบบสุดโต่ง อย่างไรก็ตาม ในเบื้องลึกของมโนธรรมสำนึกของคนไทยทั้งประเทศ ขอให้น้อมจิตแสดงออกให้ทั่วกันว่าเราต้องการความสงบร่มเย็นให้แก่พี่น้องทุกชีวิตกลับคืนมา เราต้องการให้อภัยกัน อโหสิกัน และประกาศนิรโทษกรรมถ้วนหน้า

ผมเชื่อมั่นว่า พลังจิตของเราทั้งหมด หากแสดงออกพอเหมาะพองาม จะสัมฤทธิ์ผลในที่สุดในเวลาไม่นานเกินรอ

สุดท้ายนี้ ขอให้ผู้ใช้อำนาจเพื่อการทำงานครั้งนี้ทุกท่านจงเจริญรอยตามพระยุคลบาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมีพระราชดำรัสไว้เป็นพระราชปณิธาน เมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์ มีใจความว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” โปรดถือว่า นี่คือ คาถาในการดับไฟใต้ให้สำเร็จ

Back to Top