วิถีแม่มด
ตอน “ไม่ต้องพัฒนา”

โดย วิศิษฐ์ วังวิญญู
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 19 พฤศจิกายน 2548

ตัวตนที่อ่อนเยาว์ (Younger Self)

ตัวตนที่อ่อนเยาว์ เมื่อเทียบกับตัวตนที่จำนรรจา หรือตัวตนที่พูดภาษา หรือ Talking Self จากหนังสือ The Spiral Dance ของ สตาร์ฮอว์ค (Starhawk)

“ตัวตนที่อ่อนเยาว์จะเข้ารับรู้ประสบการณ์ตรงจากโลก ด้วยการรับรู้อย่างเป็นองค์รวมด้วยสมองซีกขวา ประสาทสัมผัส อารมณ์ความรู้สึก แรงขับพื้นฐาน ภาพ ความทรงจำ ญาณทัศนะ และการรับรู้อย่างกว้างๆ คลุมๆ เป็นบทบาทของตัวตนที่อ่อนเยาว์ ความเข้าใจภาษาของตัวตนที่อ่อนเยาว์มีขอบเขตจำกัด มันสื่อสารผ่านภาพ อารมณ์ การรับรู้ทางประสาทสัมผัสต่างๆ ความฝัน ภาพฝัน และอาการทางกายต่างๆ จิตวิเคราะห์ดั้งเดิมได้พัฒนาความพยายามที่จะอ่านภาษาของตัวตนที่อ่อนเยาว์ แต่วิถีแห่งแม่มดไม่เพียงแค่ตีความ หากยังสอนเราให้พูดกับตัวตนที่อ่อนเยาว์ได้ด้วย”

“ตัวตนที่จำนรรจ์จัดสรรภาพลักษณ์ของตัวตนที่อ่อนเยาว์ ให้ชื่อต่างๆ กับมัน จัดที่ทางแบ่งประเภทพวกมันออกเป็นหมวดหมู่ ชื่อของตัวตนที่จำนรรจ์ ส่อให้เห็นถึงสมองซีกซ้ายที่วิเคราะห์แยกแยะ และใช้ภาษาพูดจา มันยังรวมถึงความสามารถที่จะเข้าใจภาษาแห่งคุณธรรม ที่แยกแยะและตัดสินถูกผิด ตัวตนที่จำนรรจ์สื่อผ่านถ้อยคำ ความคิดทางนามธรรม และตัวเลข”

มีคนเคยตั้งข้อสังเกตนานมาแล้วว่า ผมเขียนหนังสือกระโดดๆ คือขาดความต่อเนื่อง ผมเพิ่งมาเข้าใจวันนี้เองว่า ผมเขียนมันมาจากสมองซีกขวา หรือจากตัวตนที่อ่อนเยาว์ เมื่อผมพยายามจะแปรสิ่งที่ผมสัมผัส มาเป็นภาษาเขียน และภาษาเขียนมักจะไม่สามารถอธิบายได้หมดเสมอ มันเพียงเป็นภาพคลับคล้ายคลับคลาเท่านั้น

สตาร์ฮอว์ค พูดถึงการมองเห็นภายใต้แสงดาว (Starlight Vision) ว่ามันเป็นภาพเบลอที่ไม่คมชัด อันสามารถแยกวัตถุที่เห็นออกจากกันอย่างเด่นชัด แต่มันกลับไปมองเห็นแบบแผน ความเชื่อมโยงสัมพันธ์มากกว่าตัววัตถุต่างๆ ที่ดูเหมือนจะแยกขาดออกจากกัน

เมื่อเรานิ่งลงและพยายามล้วงลึกเข้าไปเข้าใจอะไรบางอย่างบางประการที่เห็นได้ไม่ชัดเจนเท่าการเห็นในสภาพสามัญของเรา มันเหมือนกับการศึกษาแบบวิทยาศาสตร์ของเกอเธ่ ที่เฝ้าดูเรื่องราวที่ศึกษาอย่างเนิ่นนาน “เฝ้ามองอย่างเนิ่นนาน” จนกระทั่งสิ่งที่สังเกตกับเรากลืนเข้ามาเป็นสิ่งเดียวกัน

ตัวตนที่อ่อนเยาว์ในกระบวนการการเรียนรู้ของเรา

หมอวิธานกล่าวว่า อ่านเรื่องของแม่มดแล้วก็เห็นว่าสิ่งที่ทำอยู่แล้วในกิจกรรมการเรียนรู้หลาย ๆ ประการของพวกเรา ก็เหมือนกับพิธีกรรมของเหล่าแม่มดที่สตาร์ฮอว์คบรรยายไว้นั่นเอง แต่เมื่อลองมาอ่านเรื่องราวของธรรมชาติ ของความเป็นจริง ผ่านวิถีของแม่มดบ้าง ก็ได้เรียนรู้อะไรเพิ่มเติมได้อย่างน่ามหัศจรรย์ มันเป็นความพยายามที่จะก้าวพ้นชุดภาษา ซึ่งคุณหมอเคยก้าวพ้นมาจากวิทยาศาสตร์เก่ามาใหม่ ทีนี้ลองมาก้าวพ้นด้วยภาษาของแม่มดบ้าง ครั้งที่แล้ว เมื่อเอาผมไปช่วยรักษาเยียวยาโรคหัวใจชั้นต้นที่คุณแม่ของหมอเป็น ก็ทำให้คุณแม่มองหมอด้วยสายตาแปลกๆ ไปทีหนึ่งแล้ว ในครั้งหลังนี้ เมื่อไปเยี่ยมแม่ที่กรุงเทพฯ คุณหมอไปทายทักดินฟ้าอากาศได้อย่างแม่นยำอีก คุณแม่ก็มองคุณหมอด้วยสายตาแปลกๆ อีกครั้ง แต่พอดีคุณหมอถือว่าการมองของคุณแม่ครั้งที่สองนี้ เป็นตัวชี้วัดความเพี้ยนที่ใช้การได้ ถือว่าเป็นเรื่องดีไปก็แล้วกัน ทำให้สบายใจไปได้

ตัวตนที่อ่อนเยาว์นั้น สตาร์ฮอว์คบอกว่าบุคลิกอยู่ที่เด็กวัยสามขวบ ที่ยังคงรักษาวิญญาณอิสระก่อนเข้าระบบโรงเรียน (อันหลังนี้ผมพูดเอง) ไว้ได้ แต่ก็มีความเป็นตัวของตัวเองอย่างหัวชนฝาอยู่ มันเป็นพลังงานดิบๆ ที่มีความสด และเป็นธรรมชาติเดิมแท้ของมนุษย์ที่ยังไม่ถูกปรุงแต่งและขัดเกลาด้วยโหมดปกป้องของสังคมมนุษย์ที่อ่อนแอและเปราะบาง อันมาจากฐานของความกลัว

ตัวตนที่อ่อนเยาว์เป็นตัวตนที่เชื่อมอยู่ระหว่าง ตัวตนที่จำนรรจ์กับจิตวิญญาณหรือเทพธิดาหรือพระเจ้า เทพธิดาเป็นหญิง พระเจ้าเป็นชาย แต่ในความเป็นจริงระดับจิตวิญญาณยังไม่มีหญิงหรือชาย อันนี้สตาร์ฮอว์คพูดเอง

วิถีแม่มดจึงเอาความเป็นเด็กกลับมา เอาความขี้เล่น ความหฤหรรษ์ในวัยเด็กกลับเข้ามาในพิธีกรรมของแม่มดทั้งหลาย ในกระบวนการเรียนรู้แบบจิตวิวัฒน์ที่เชียงราย เรามักเริ่มกระบวนการด้วย การเล่าเรื่องชีวิตวัยเด็กให้กันและกันฟังในหมู่ผู้เข้าร่วม มันเป็นการนำพาผู้เข้าร่วมทั้งหลายเข้ามาอีกโลกหนึ่ง เป็นโลกที่มีความกล้าหาญที่จะสำรวจตรวจตราโลกอย่างเด็กๆ เป็นโลกที่ยังไม่ถูกจับเข้าโรงเรียน เป็นโลกที่ยังไม่มีผิดถูก มิตรภาพก่อเกิดอย่างรวดเร็ว การหยั่งลงสู่วงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว การค้นพบที่ทางของตนเองในวงก่อเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ด้วยกลับไปสู่ความเป็นเด็กนี้เอง

“ไม่ต้องพัฒนา”

ณัฐฬส วังวิญญู เพิ่งกลับมาจากสหรัฐอเมริกา เขาไปเรียนต่อเรื่อง Vision Quest หรือการถามหาญาณทัศนะที่จะบอกเล่าเรื่องราวของอนาคตแห่งตัวตนของตัวเอง พวกเรามีธรรมเนียมต้อนรับสมาชิกกลับบ้าน ด้วยการนั่งล้อมวงพูดคุยกัน มันเหมือนกับว่าเราได้เดินทางท่องเที่ยวไปกับณัฐด้วย ณัฐเขาได้รับญาณทัศนะมาว่า เขาจะต้องเข้าใกล้ธรรมชาติมากขึ้น รับรู้สิ่งบอกเล่าจากแม่พระธรณีมากขึ้น รับรู้จากสรรพสิ่งในธรรมชาติมากขึ้น การหวนหาการกลับคืนสู่ผืนดินเป็นแรงเรียกที่รุนแรงยิ่งขึ้นกับสมาชิกในชุมชนของเรา มันเหมือนกับการเตรียมตัวให้กับวิกฤตของโลกที่กำลังจะก่อเกิด

นอกจากการเล่าเรื่องต่างๆ ที่เขาได้ไปประสบมาอย่างเร้าใจแล้ว เขาได้สรุปเรื่องราวใหม่ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นในเหล่ากระบวนกรแห่งสหรัฐด้วยคำพูดเพียงคำเดียวว่า “ไม่ต้องพัฒนา” อันนี้คงเป็นการเดินทางสวนกระแสที่สำคัญอีกครั้งหนึ่ง

ยังจำความคิดปฏิวัติอย่างถอนรากของ ไอวาน อิลลิช ได้ เขาบอกว่าศาสนาจักรของโรมันคาทอลิค ได้สร้างนวัตกรรมใหม่ ที่เป็นเครื่องมือในการปกครอง ที่พระใช้ปกครองคนสามัญ คือเรื่องของแคร์ (care) หรือการดูแล ก่อนจะดูแลก็จะต้องทำให้พร่องก่อน หรือทำให้รู้สึกว่าตัวของพวกเขาไม่มีก่อน พระจึงเข้าไปดูแลคนธรรมดาได้ ซึ่งก็คือการทำให้คนเป็นคนที่ยังไม่พัฒนา

หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ทุนนิยมโลกนำโดยสหรัฐได้ใช้คำว่า “พัฒนา” เพื่อสร้างจักรวรรดิใหม่ อันยิ่งใหญ่เกรียงไกรยิ่งกว่าเดิม โดยเข้าไปดูแลบรรดาผู้คนในโลกที่ยังไม่พัฒนาทั้งหลาย

ในการพัฒนามิติของจิตวิญญาณก็เช่นเดียวกัน กระบวนทัศน์เดิมก็จะต้องมีศาสดาไปพัฒนาศาสนิกชนทั้งหลาย หรือว่าแท้ที่จริง มนุษย์แต่ละคนมีพุทธะอยู่ในตัวแล้ว แทนที่จะต้องไปพัฒนา เราอาจจะหาทางให้มนุษย์ได้ค้นพบศักยภาพของพวกเขากันเอง กลับไปหาตัวตนที่เยาว์วัย หรือเจ้าตัวเล็ก เพื่อหาหนทางของแต่ละคนด้วยตนเอง

เมล็ดพันธุ์แห่งการปลดปล่อยมีอยู่ในแต่ละคนแล้ว เราเพียงเปิดพื้นที่ให้พวกเราได้กลับไปพานพบเจ้าตัวเล็กอีกครั้งหนึ่ง และให้เราได้บ่มเพาะดูแลเจ้าตัวเล็กด้วยตัวของตัวเอง ร่วมกันไปกับเพื่อนๆ อย่างเป็นหมู่คณะ ธรรมชาติภายในของเราก็จะเผยออก คลี่บานออกเอง อันเป็นหนทางแห่งองค์กรจัดการตัวเอง ทั้งที่เป็นปัจเจกและหมู่คณะ ที่จะดำเนินไปในเส้นทางที่ไม่ต้องพัฒนานั้น

Back to Top