การเปลี่ยนผ่านทางการเมืองที่ยิ่งใหญ่:
มาช่วยกันสร้างจิตสำนึกใหม่ ด้วยการทำให้การเมืองไทยใสสะอาด

โดย จุมพล พูลภัทรชีวิน
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 13 ตุลาคม 2550

ภายหลังจากรู้ผลการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ เราก็ได้เห็นปฏิกิริยาของนักการเมือง และกลุ่มการเมือง ที่นักวิชาการหลายท่านเรียกว่านักเลือกตั้งและกลุ่มผลประโยชน์แสดงออกอย่างคึกคักในรูปแบบและลักษณะที่หลากหลาย มีทั้งเด่นชัด แอบแฝง สงบนิ่ง และสงวนทีท่า มีทั้งทิ่มแทงท้ารบ ชวนรวมกลุ่ม และกวนให้วุ่น มีทั้งแบ่งค่าย แยกค่าย ตั้งค่าย และรวมคอก (ค่ายเล็กที่เหนียวแน่นในความสัมพันธ์ มารวมแต่ตัว แต่ไม่ร่วมจิตวิญญาณ ในคอกใหม่ที่ใหญ่ขึ้นแต่หลวมความสัมพันธ์ คลึงกันไว้ด้วยผลประโยชน์และอำนาจการต่อรอง)

ปฏิกิริยาที่ปรากฏ ไม่ว่าจะแสดงออกมาในรูปของการกระทำ หรือคำพูด ความคิดหรือความเห็น ส่อแสดงให้เห็นการแฝงเร้นอยู่กับความพยายามที่จะเอาตัวรอด รักษาและแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว ส่วนกลุ่ม สะท้อนให้เห็นจิตสำนึกทางการเมืองแบบเก่าที่เอาแต่ประโยชน์ส่วนกลุ่ม ส่วนตัว โยนความชั่วให้ผู้อื่น เป็นจิตสำนึกเก่าที่ไม่ได้รับการขัดเกลาให้เกิดจิตสำนึกใหม่ ที่เต็มที่และเต็มใจ ทำการเมืองไทยให้ใสสะอาด ทำการเมืองเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนและประเทศชาติโดยรวมอย่างแท้จริง

มายากลการเมืองที่ผู้ประกอบอาชีพเป็นนักการเมืองบางคนแสดงออกมา จึงเป็นเพียงภาพลวงตา

คำพูดและพฤติกรรมของนักการเมืองเหล่านั้นจึงเป็นเพียงการแสดงละครตบตาประชาชนและนักการเมืองอาชีพด้วยกัน บางคนแสดงเอง กำกับเอง แต่บางคนและบางกลุ่มแสดงตามบทที่มีผู้กำกับการแสดงอยู่เบื้องหลัง

จึงไม่แปลกที่บางคนบอกว่า พฤติกรรมของนักการเมืองจำนวนหนึ่งไม่ว่าจะเป็นความคิด คำพูด หรือการกระทำ เห็นแล้ว “ขำกลิ้ง ลิงกับหมา”

แต่สำหรับผู้เขียนนอกจากจะไม่ขำกลิ้งแล้ว ยังขำไม่ออก

ถ้าดูเฉพาะความวุ่นวายและการดิ้นรนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของนักการเมืองเหล่านั้น เปรียบเทียบกับความวุ่นวายและการดิ้นรนเพื่อให้บรรลุภารกิจของลิงกับหมาใน “ขำกลิ้ง ลิงกับหมา” ก็พอจะเห็นภาพและเห็นด้วยได้ แต่ถ้าดูสาระและบรรยากาศแล้วเป็นคนละเรื่อง เพราะพฤติกรรมนักการเมืองที่ชิงไหวชิงพริบ วิ่งจับขั้ว ทั้งที่ยังหาหัวไม่ได้ ดูแล้วขำไม่ออก ไม่มีความน่ารักเหมือนหมากับลิงในทีวี ที่แม้จะต่างพันธุ์ แต่พยายามช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ด้วยความบริสุทธิ์ใจ เป็นพวก (พรรค) เดียวกันจริงๆ ไม่ต้องคอยช่วงชิงความได้เปรียบ เพื่อแย่งหรือแสวงหาผลประโยชน์ และที่สำคัญไม่ต้องคอยระแวงว่าจะถูกทิ้ง หรือถูกแทงข้างหลัง

ปรากฏการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นทั้งหมดในภาพรวม สะท้อนให้เห็นสภาพการเมือง และคุณภาพของนักการเมืองของประเทศไทยว่าเป็นอย่างไร และมีคุณภาพระดับไหน

สภาพการเมืองของไทยตอนนี้ นอกจากจะขาดความสมานฉันท์ ความรักความเอื้ออาทรต่อกันเหมือนลิงกับหมาแล้ว ยังเต็มไปด้วยการแข่งขัน ชิงไหวชิงพริบกัน ทำให้ขาดความบันเทิงทางอารมณ์และทำร้ายจิตใจอีกด้วย เพราะยิ่งดูยิ่งรู้สึกหดหู่ สู้ดูลิงกับหมาใน “ขำกลิ้ง ลิงกับหมา” ไม่ได้ น่ารัก น่าลุ้น และมีสาระกว่าเยอะ

หรือนักการเมืองที่ด้อยคุณภาพเหล่านั้นลืมคิดเพราะขาดสติ หรือไม่เคยคิดเพราะขาดปัญญาว่า พฤติกรรมการแสดงออกของตนอาจเป็นตัวแบบที่ไม่ดีต่อความเป็นประชาธิปไตย ต่อคนในชาติ โดยเฉพาะต่อเยาวชนไทย

ยิ่งใกล้กำหนดวันเลือกตั้งเข้ามามากเท่าใด การแข่งขันช่วงชิง คะแนนเสียง ก็ยิ่งทวีความเข้มข้นและรุนแรงเพิ่มมากขึ้น

การใส่ร้ายป้ายสีทั้งทางตรงและทางอ้อม เพื่อให้คู่แข่งเพลี่ยงพล้ำ บอบช้ำก็เพิ่มขึ้น

เพื่อช่วยกันสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองใหม่ คนไทยทุกคนที่มีสิทธิ์ต้องออกไปใช้สิทธิ์ เพื่อสร้างความสงบสุขมั่นคงให้เกิดขึ้นในสังคมไทย

ทำไมต้องมีความรุนแรง บอบช้ำ เพื่อให้ได้มาซึ่งความเป็นประชาธิปไตยและความเป็นธรรมในสังคม

ความเป็นประชาธิปไตยควรจะได้มาจากวิถีประชาธิปไตยที่บริสุทธิ์ยุติธรรม ไม่ใช่ “ไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ ก็เอาด้วยคาถา ไม่ได้ด้วยเจรจาก็ใช้บาทากระทืบ แต่พอได้คืบจะเอาศอก ปลิ้นปล้อนกลับกลอกตลอดเวลา...”

ความเป็นธรรมในสังคม ก็น่าจะเกิดจากความมีคุณธรรมของคนในสังคม เกิดจากการช่วยกันสร้างความเป็นธรรม ไม่ใช่ความรุนแรง

ทำไมความสามัคคี ความปรองดอง ความสมานฉันท์ จึงไม่เริ่มต้นด้วยความเป็นกัลยาณมิตร คิดดี พูดดี ทำดีต่อกัน

ทำไมโซ่ข้อกลาง ทางสายกลางจึงไม่ดำเนินตามแนวทางมรรคมีองค์แปด (มัชฌิมาปฏิปทา)

ทำไมไม่มาช่วยกันสร้างจิตสำนึกใหม่ทางการเมือง ด้วยการช่วยกันคิด ช่วยกันพูด ช่วยกันทำการเมืองไทยให้ใสสะอาดเพื่อประเทศชาติและประโยชน์สุขของประชาชนโดยรวมอย่างแท้จริง

มาชวนและช่วยกันก้าวข้ามประโยชน์ส่วนตัว ประโยชน์ส่วนกลุ่ม เพื่อประโยชน์สุขส่วนรวมที่ใหญ่กว่าคือประเทศชาติและประชาชนทุกหมู่เหล่าในแผ่นดิน แผ่นดินอันเป็นที่เกิด ที่เติบโต ที่อยู่อาศัย เพื่อจะได้มีที่ตายอย่างสงบสุข สมสถานะและศักดิ์ศรีความเป็นคนของแผ่นดิน

นักการเมืองไทย พรรคการเมืองไทย ต้องมีจิตสำนึกทางการเมืองใหม่ ต้องมีจิตใหญ่ มีใจให้ประเทศชาติ ด้วยการช่วยกันทำการเมืองไทยให้ใสสะอาด

นักการเมืองไทย พรรคการเมืองไทยต้องไม่ซื้อเสียง ไม่โกงกิน จะได้ไม่สิ้นชาติ ไม่สิ้นความเป็นคนไทย

ตื่นเถิดนักการเมืองไทย อย่ามัว หลับใหล ลุ่มหลง
มีสติ ใช้ปัญญา กล้าชูธง ต้องมั่นคง คุณธรรม การทำดี


คนไทย ต้องมีจิตสำนึกทางการเมืองใหม่ ต้องมีจิตใหญ่ มีใจให้ประเทศชาติ ด้วยการช่วยกันทำการเมืองไทยให้ใสสะอาด มีความกล้าหาญทางจริยธรรม ออกไปใช้สิทธิ์เลือกสรรคนดี มีคุณธรรม มีความรู้ความสามารถเข้าไปทำงานเพื่อชาติ เพื่อประชาชน

คนดีต้องไม่ให้เสียง เพียงเพื่อตอบแทนบุญคุณ เพราะประโยชน์สุขของประเทศชาติยิ่งใหญ่กว่าการทดแทนบุญคุณส่วนตัว

คนดีต้องไม่ยอมมอบเสียง เพียงเพราะมีความรักใคร่หรือความสัมพันธ์ส่วนตัว เพราะเรื่องประชาธิปไตยใหญ่กว่าเรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัว

เรื่องของประเทศชาติ ยิ่งยิ่งใหญ่กว่า สำคัญกว่า และศักดิ์สิทธิ์กว่าการตอบแทนบุญคุณ และความความสัมพันธ์ส่วนตัว

คนไทยต้องไม่ขายเสียง ต้องไปใช้สิทธิ์ ต้องดูแล รักษา และพัฒนาชาติ ด้วยคุณธรรมและปัญญา

ตื่นเถิด ปวงชน คนไทย อย่ามัว หลับใหล ลุ่มหลง
มีสติ ใช้ปัญญา กล้าชูธง ต้องมั่นคง คุณธรรม การทำดี


ออกมาช่วยกันรณรงค์ ช่วยกันพัฒนาชาติ ช่วยกันทำให้การเมืองไทยใสสะอาด และเมื่อถึงเวลาไปลงคะแนนเสียง ช่วยกันออกไปเลือกคนดี มีจิตวิวัฒน์เข้าไปพัฒนาชาติ ไม่เลือกคนจิตวิบัติเข้าไปทำลายชาติ

คนดีไม่ขายเสียง...คนดีไม่ให้เสียง...คนดีไม่มอบเสียง

Back to Top