ประสาทเทววิทยา (Neurotheology)

โดย ศ.นพ.ประสาน ต่างใจ
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 8 ธันวาคม 2550

เท่าที่สังเกต ผู้เขียนรู้สึกว่าสาธารณชนคนทั่วไปส่วนใหญ่ในบ้านเรา เพิ่งจะรู้และตระหนักในเรื่องของโลกร้อน “อย่างแท้จริง” เมื่อเพียงไม่นานมานี้เอง มิหนำซ้ำจากการสำรวจโพลล์เมื่อไม่กี่วันก่อนยังพบว่า คนไทยร่วมครึ่งหนึ่งเชื่อว่าสภาพโลกร้อนเกิดจากธรรมชาติของลมฟ้าอากาศที่เป็นไปเอง แม้ว่าอีกครึ่งหนึ่งจะเชื่อว่าเกิดจากฝีมือของมนุษย์กับการพัฒนา กระนั้นผลพวงของความคิดเห็นหรือความเชื่อของประชาชนในกลุ่มแรก ย่อมชี้บ่งความเป็นประชาธิปไตยที่เราส่วนใหญ่คิดว่าถูกต้องชอบธรรม และมองทุกสิ่งออกไปข้างนอก จึงเห็นธรรมชาติประหนึ่งมีความเสถียรและคงที่ตลอดเวลา พูดง่ายๆ คือประชาชนคนไทยดูเหมือนจะเชื่อประวัติศาสตร์กับประสบการณ์อันเป็นสามัญสำนึกของตัวเอง เท่าๆ กับเชื่อในวิทยาศาสตร์ที่นักวิทยาศาสตร์ทุกคน (มากกว่า ๒,๕๐๐ คนจาก ๑๒๒ ประเทศ ของคณะทำงานติดตามสภาพอากาศไอพีซีซี (IPCC: Intergovernmental Panel on Climate Change) ขององค์การสหประชาชาติที่พิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ได้เช่นนั้น

นั่นคือตัวอย่างหรือเหตุผลที่ชี้ว่า - ในความเห็นส่วนตัว - คนไทยอย่างน้อยราวๆ ครึ่งหนึ่งยังไม่ได้รับรู้ข้อมูลที่คนส่วนใหญ่ของโลกรู้ เราส่วนหนึ่งจึงยังไม่ตื่นและเปลี่ยนแปลง ซึ่งเมื่อเวลานั้น - เมื่อภัยธรรมชาตินานัปการ – มาถึง เราจึงอาจตื่นตระหนกหรือแม้แต่จะคิดปรับตัวเองไม่ทัน ซึ่งน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง

หลายคนในกลุ่มจิตวิวัฒน์เชื่อว่าสังคมโลกจำต้องและกำลังเปลี่ยนแปลงเช่นในอดีตที่เคยเปลี่ยน - อย่างถอนรากถอนโคน - จากสังคมเกษตรสู่สังคมอุตสาหกรรม ตอนนี้เรากำลังจะเปลี่ยนอีก แต่ครั้งนี้กระบวนทัศน์ใหม่จะเป็นกระบวนทัศน์ทางจิต ดังที่นักวิทยาศาสตร์ทางจิตทุกคนพูดไว้เหมือนๆ กัน เพราะมีแต่การเปลี่ยนแปลงทางจิตเท่านั้นที่จะช่วยชาวโลกให้รอดพ้นจากภัยธรรมชาติได้ และขณะนี้โลกตะวันตกก็กำลังเคลื่อนไปในทางนั้นมากขึ้นทุกๆ วัน ดังเรื่องที่จะนำเสนอต่อไปนี้ ซึ่งหลายๆ คนคงไม่อยากจะเชื่อ แต่จะเชื่อหรือไม่ ให้ไปถามกันเอาเอง เพราะทั้งหมดนี้ผู้เขียนได้มาจากรายงานของสถาบันวิทยาศาสตร์ทางจิตในปีนี้เอง (The 2007 Report: Evidence of a World Transforming)

ปัจจุบันนี้ เรามีวิทยาศาสตร์สาขาใหม่ที่แยกออกมาจากงานวิจัยประสาทวิทยาศาสตร์ (Neuroscience) ซึ่งเป็นองค์ความรู้ใหม่ที่ศึกษาประสบการณ์จากการปฏิบัติธรรมปฏิบัติศาสนา ชื่อ “ประสาทเทววิทยา“ อันเป็นคำสมาสของคำว่า “ประสาทส่วนกลาง” โดยเฉพาะสมอง กับคำว่า “เทววิทยา หรือศาสนศาสตร์” ซึ่งแน่ใจว่าประเทศไทยยังไม่มี วิชาดังกล่าวใช้วิธีการของประสาทวิทยาศาสตร์ในการศึกษาวิจัยเรื่องราวใดๆ ที่เกี่ยวกับสภาวะจิตของผู้ทำสมาธิ และกำลังมีประสบการณ์ที่ผู้เขียนเรียกว่า “ความรู้เร้นลับ” (Mysticism) หรือที่ท่านพุทธทาสเรียกว่า “นิพพานชิมลอง” หรือภังคะ หรือซาโตริในญี่ปุ่น ซึ่งสำหรับศาสนาที่มีพระเจ้า เช่น คริสต์ศาสนา จะเรียกว่า “ประสบการณ์พระเจ้า” (God experiences or GE) และด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า เช่น การศึกษาคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของสมอง (EEG) การศึกษาปริมาณการไหลเวียนของเลือดที่ไปสมอง โดยเฉพาะเทคโนโลยีด้านแควนตัมฟิสิกส์ จากการสร้างภาพเหมือน (Imaging) ของเนื้อเยื่อและอวัยวะต่างๆ โดยเฉพาะสมอง เช่น สเป็คต์ หรือ เพ็ตแสกน (SPECT or PET scan) ทำให้นักประสาทวิทยศาสตร์สามารถพิสูจน์เรื่องของสภาวะจิตซึ่งเป็นประสบการณ์ภายใน (Subjective) ซึ่งเกิดขึ้นที่สมองหรือกับสมอง ให้เป็นเรื่องภายนอก (Objective) ที่เราอาจรับรู้ได้ - อย่างน้อยก็ส่วนหนึ่ง - พอที่จะทำให้เข้าใจเรื่องของจิตและจิตวิญญาณในเชิงวิทยาศาสตร์ได้มากขึ้น แม้ว่าจะยังห่างไกลจากการรับรู้ความจริงแท้ หรือรู้เรื่องจิตวิญญาณสูงสุด หรือพระจิตของพระเจ้าอีกมาก ซึ่งผู้เขียนเชื่อว่านักวิทยาศาสตร์คงจะไม่มีทางหาจิตได้พบอย่างเป็นรูปธรรม สามารถมองเห็น ชี้วัด สัมผัสจิตหรือจิตวิญญาณได้ ไม่ว่าเมื่อใดและอย่างไร

ความจริงก็คือ ทั้งเรื่องของจิต (Consciousness) และจิตวิญญาณ (Spirituality) กับองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับมนุษยชาติมาตั้งแต่เมื่อมีมนุษย์คนแรกเกิดขึ้นมาในโลกจนปัจจุบันรวมถึงในอนาคต ตราบเท่าที่โลกยังคงมีมนุษย์อยู่ ที่กล่าวมานั้นยิ่งเป็นความจริงมากขึ้นในปัจจุบัน เมื่อเรื่องของจิตวิญญาณและพระเจ้าที่เคยถูกปฏิเสธจากวิทยาศาสตร์มานานนับร้อยๆ ปี กลับได้รับการสนับสนุนโดย หลักฐานที่เป็นวิทยาศาสตร์ใหม่อย่างแทบไม่มีข้อสงสัย โดยเฉพาะฟิสิกส์ใหม่ และจักรวาลวิทยาใหม่ หรือจักรวาลแควนตัม ทำให้ความเป็นไปได้ของการดำรงอยู่ของจิตวิญญาณสูงสุด - ที่เรียกหาต่างกันไปในศาสนาต่างๆ - มีความเป็นไปได้มากขึ้น ทั้งที่ในช่วงเวลาหนึ่งเข้าใจว่าเป็นเรื่องของความงมงาย

ประสบการณ์พระเจ้านั้น กระทรวงสาธารณสุขของอเมริกา (NIH) บอกว่ามันไม่ใช่เป็นเรื่องที่เกิดได้ยาก เพราะจากการสำรวจพบว่า ผู้ใหญ่ชาวอเมริกันจำนวนถึงหนึ่งในสามเคยมีประสบการณ์ที่ว่านั้น เอ็นไอเอชได้นิยามคำว่าประสบการณ์พระเจ้าไว้กว้างๆ ว่า ประหนึ่งเป็นสภาวะจิตที่เปลี่ยนไปจนทำให้ผู้มีประสบการณ์ดังกล่าวรู้สึกว่าตัวเองเกิดความปีติสุขขึ้นมาอย่างกะทันหัน เสมือนว่าได้สัมผัสกับพระเจ้า เทพ เทวดาในระหว่างการทำสมาธิ สวดมนต์ โยคะ หรือการร่ายรำของซูฟิสม์ รวมทั้งการออกกำลังด้วยการหายใจแรงๆ หรือใช้ยา ฯลฯ ที่น่าสนใจคือ การเปลี่ยนแปลงที่สมองของผู้ที่มีความรู้สึกหรือผู้มีประสบการณ์พระเจ้านั้น มีส่วนในการก่อให้เกิดความเครียดได้เหมือนกัน พูดง่ายๆ ก็คือ การมีสมองส่วนหน้าและส่วนขมับ (Enlarged frontal and temporal lobes) โตกว่าปกติดังที่พบในคนบางคน มีส่วนสำคัญต่อการเกิดขึ้นของทั้งสองกรณี คือ ให้ประสบการณ์พระเจ้าก็ได้ หรืออาจก่อความเครียดให้กับผู้ที่มีสมองเช่นนั้นได้เท่าๆ กัน

ในวารสารประสาทวิทยาศาสตร์ นายแพทย์แอนดรูว์ นิวเบิร์ก และสหาย จากมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย ได้ใช้การแสกน (SPECT scan) สร้างภาพเสมือนจริงของสมองเพื่อศึกษากลุ่มพุทธบริษัทชาวทิเบตในขณะทำสมาธิ และกลุ่มแม่ชีนิกายฟรานซิสกันระหว่างการสวดมนต์อย่างลึก (Andrew Newberg, et al: “Cerebral Blood Flow During Meditative Prayer”; Perceptual and Motor Skills, 97 Oct. 2003) ภาพแสกนได้แสดงให้ว่ามีการทำงานเพิ่มขึ้นของสมองที่บริเวณก่อนสมองส่วนหน้า (Pre-frontal lobe) ทั้งสองข้าง ซึ่งเข้ากันได้กับความตั้งใจทำจิตให้แน่วแน่ แต่ขณะเดียวกัน กลีบพาไรอีตัล (Parietal lobe) ที่อยู่ถัดขึ้นไปจากสมองส่วนหน้าจะลดทำงานลงกว่าปกติ กลีบพาไรอีตัลนั้น เชื่อกันว่าทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับที่ว่างและเวลา และการปรับที่อยู่ของเราเข้ากับที่ว่างและเวลา โดยกลีบพาไรอีตัลข้างซ้ายมีหน้าที่รับรู้ความรู้สึกของร่างกายว่า ตั้งต้นและจบลงที่ไหน การที่กลีบพาไรอีตัลข้างซ้ายลดการทำงานลงจะสอดคล้องกับความรู้สึกที่มีการกล่าวไว้ในพุทธศาสนา ถึงความไม่มีที่สิ้นสุดของรูปกายที่เชื่อมโยงอย่างแยกจากกันไม่ได้กับทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาล ส่วนพาไรอีตัลข้างขวามีหน้าที่บอกให้รู้ว่าเรากับที่ว่างสัมพันธ์กันอย่างไร และการที่พาไรอีตัลข้างขวาลดทำงานลงทำให้เรารับรู้ว่าที่ว่างอวกาศนั้นกว้างใหญ่ไพศาลอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

การศึกษาคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของผู้ปฏิบัติสมาธิ - โดย ไมเคิล เพอร์ซิงเกอร์ (Michael Persinger) จิตแพทย์ชาวดัทช์ แห่งมหาวิทยาลัยลอเรนเชียล แคนาดา (Laurentian University) - จนถึงระดับสภาวะจิตมีความเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล (Cosmic bliss) ซึ่งเป็นสิ่งเดียวกับประสบการณ์พระเจ้าที่กล่าวมาแล้ว พบการเปลี่ยนแปลงคลื่นสมองแบบเดียวกับที่ได้จากโรคลมบ้าหมูชักเกิดขึ้นเฉพาะที่กลีบขมับของสมอง (Temporal lobe epilepsy) โดยผู้ที่กำลังมีประสบการณ์ความเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาลในขณะนั้น ไม่มีอาการชักหรือมีกล้ามเนื้อกระตุกเลย ซึ่งเมื่อเพอร์ซิงเกอร์ใช้แท่งแม่เหล็กที่มีโวลเตจต่ำแนบกับบริเวณขมับของผู้ที่อยู่ในสมาธิก็พบว่า ผู้นั้นมีประสบการณ์เร้นลับ (mystical experiences) โดยเฉพาะกับผู้ที่เคยทำสมาธิและเคยมีสภาวะจิตหรือประสบการณ์เช่นนั้นมาก่อน

ดีน แฮมเมอร์ (Dean Hammer) แห่งหน่วยวิจัยยีน สถาบันมะเร็งแห่งชาติ พยายามค้นหายีนที่บริหาร หรือให้สภาวะจิตวิญญาณ หรือยีนพระเจ้า (Spirituality gene or God gene) เขาพบว่า วีเอ็มเอที-๒ (Vesicular monoamine transporter 2) - ที่มีหน้าที่ขนส่งเอ็นไซม์ซีโรโตนิน โดปามีน กับนอร์แอดรินาลีน คือ สารเคมีที่สำคัญตัวหนึ่งในจำนวนสามตัว (วีเอ็มเอที-๒ กับอีกสองตัวที่ทำหน้าที่ขนส่งเอ็นไซม์หรือฮอร์โมนของสมอง - จากจำนวนสารที่เรารู้แล้วกว่า ๑๐๐ ตัว) ซึ่งสามตัวที่ว่านี้คือ สารเคมีที่ทำหน้าที่ประหนึ่งยีนแห่งจิตวิญญาณ หรือยีนพระเจ้า ที่น่าสนใจคือ สารเคมีทั้งสามตัวดังกล่าว พบว่ามีความเกี่ยวข้องกับจิตอารมณ์คล้ายๆ กับคนเสพยาบางชนิด เช่น โคเคน กัญชา รวมทั้งยาแอลเอสดี หรือให้อาการคล้ายโรคจิตบางชนิด หรือให้อาการคล้ายยาที่ใช้รักษาโรคจิต เพราะฉะนั้น คนที่ใช้ยาเสพติดหรือคนที่กำลังจะเปลี่ยนสภาวะจิตสู่ระดับจิตวิญญาณจึงสามารถเปลี่ยนแปลงระดับจิตให้สูงขึ้นไปก็ได้ ในขณะที่บางคนอาจเป็นโรคจิตจริงๆ ก็ได้

ทุกวันนี้ มีนักวิจัยทางด้านประสาทเทววิทยาหรือประสาทศาสนศาสตร์ที่ได้พยายามตรวจวัดสารเคมีในสมองที่เกี่ยวข้องกับประสบการณ์เร้นลับ หรือพฤติกรรมเหนือธรรมชาติ เช่น การถอดจิต หรือมีปฏิกิริยากับสิ่งเหนือธรรมชาติอื่นๆ เช่น กับผู้ที่ได้ตายไปแล้ว

ริค สตรัสแมน (Rick Strassman: Human psychopharmacology of N,N-dimethyltryptamine; Behavioral Brain Research, 73, Dec. 1995) ได้วิจัยหาค่าของสารเคมีไดเม็ททิลทริปตามีน (DMT) ที่เป็น สารชนิดเดียวกับที่มีอยู่ในพืชอายาฮูอัสก้า (Ayahuasca) ที่คนทรงชาวอินเดียนแดงแถบลุ่มน้ำอเมซอนใช้ก่อนมีความสามารถเหนือธรรมชาติหรือประสบการณ์เร้นลับ หมอสตรัสแมนพบว่า ในบางกรณี สารเคมีดีเอ็มทีจะถูกผลิตออกมาจากต่อมไพเนียล และมีความสัมพันธ์กับสภาวะเหนือธรรมชาติ หรือประสบการณ์ความรู้เร้นลับที่กล่าวมานั้น

การวิจัยประสาทเทววิทยาได้สร้างคำถามที่น่าสนใจขึ้นมาหลายๆ คำถาม ยกตัวอย่าง สเป็คต์แสกน สามารถให้คำตอบที่แม่นยำสม่ำเสมอสอดคล้องกับหน้าที่และการทำงานของส่วนต่างๆ ของสมอง เหมือนกับว่าเวลานี้เรามีเครื่องมือชี้วัดหรือประเมินผลการทำงานของจิต และประสบการณ์ภายในของผู้ทำสมาธิอย่างล้ำลึกได้ อย่างไรก็ดี การพบคำตอบเช่นนั้นก็ยังอธิบายความจริงแท้ นิพพาน เต๋า หรือจิตวิญญาณสูงสุด หรือพระเจ้าได้ไม่ถึงครึ่งหนึ่ง เพราะเราไม่สามารถตอบได้ว่าการเปลี่ยนแปลงที่สมองนั้น เป็นผลของการรับรู้ภายในของผู้ทำสมาธินั้นๆ หรือว่าสมองทำของมันเอง? พูดง่ายๆ คือ มีผู้ใดอยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์ที่ให้การรับรู้ที่ว่านั้นแก่เรา? หรือทั้งหมดเป็นผลของกระบวนการจัดองค์กรตนเองของสมอง? หรือว่าตอบคำถามที่ว่าจิตอยู่ที่ไหน? นอกสมองหรือในสมอง? จิตวิญญาณสูงสุดหรือพระเจ้ามีจริงหรือไม่? ดังนั้นจึงไม่น่าเชื่อว่า เราและวิทยาศาสตร์จะพิสูจน์ประสบการณ์ภายในได้ทั้งหมดอย่างเป็นรูปธรรม อย่างดีที่เราสามารถตอบได้ก็ด้วยการใช้เมตาฟิสิกส์ไปต่อยอดบนฟิสิกส์ใหม่ (ที่รวมแควนตัมเมคานิกส์ และทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์) ใช้ปัญญาหรือปรัชญามาต่อยอดบนวิทยาศาสตร์ใหม่อีกที นั่นคือจริงๆ แล้ว ประสบการณ์ภายในที่ได้จากการปฏิบัติจิตปฏิบัติศาสนา กับประสบการณ์ภายนอกที่ได้มาจากสูตรหรือสมการคณิตศาสตร์กับได้จากห้องทดลองวิทยาศาสตร์ต่างก็ให้ความจริงหนึ่งเดียวกัน ความจริงที่ไม่ว่าแต่ละศาสนาจะเรียกว่าอะไร?//

ทุกวันนี้เช่นเดียวกัน องค์การอาหารและยาของอเมริกาที่เคยห้ามยานี้สารเคมีนั้นที่เกี่ยวข้องกับจิต (ที่ไร้หลักฐานข้อพิสูจน์ในด้านของกายวัตถุ) เป็นต้นว่า ยา หรือสารเคมี หรือสมุนไพร แม้เพื่อการวิจัย แต่ตอนนี้ ได้เปิดกว้างในการใช้สารต่างๆ เหล่านั้นเพื่อการศึกษาและวิจัยแล้ว ซึ่งในไม่ช้าไม่นาน ไทยเราย่อมจะต้องทำตามอเมริกาไปด้วย เพราะดูเหมือนกับว่า ถ้าอเมริกาทำหรือไม่ต่อต้านแล้ว เราจะต้องทำตามไปด้วยหรือถูกไปทั้งหมด อเมริกาในขณะนี้ ดูไปแล้วเหมือนกับยุโรปในต้นยุคฟื้นฟูความรู้และศิลปะ (The Age of Renaissance) ที่ในทางวิชาการกำลังเริ่ม “ตื่น” เริ่มเปลี่ยนแปลง เพราะทางการยอมให้มหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยต่างๆ สามารถศึกษาสารเคมีที่เอฟดีเอไม่เคยอนุญาตมาเป็นเวลานาน เช่น ไซโลไซบิน แอลเอสดี กัญชา โคเคน ฯลฯ//

Back to Top