มนุษย์จำเป็นต้องมีจิตขนาดใหญ่
เพื่อที่จะบรรจุความเมตตา ความกรุณา
อันไม่มีที่ประมาณไว้ได้
โดย ศ.นพ.ประสาน ต่างใจ
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2551
ขณะนี้ สำหรับข่าววิทยาศาสตร์ ผู้เขียนไม่เห็นว่ามีอะไรจะสำคัญไปกว่าสภาวะโลกร้อน และปัญหาอยู่ที่คนเราส่วนใหญ่มากๆ ไม่รู้ตัวว่า โลกอาจจะพังหรือเหลือเผ่าพันธุ์มนุษย์แค่หยิบมือเดียวในอีกไม่กี่สิบปีนี้เพราะน้ำมือของเราเอง กับความรู้ที่ตั้งบนเหตุผลและมีบุคคลเป็นใหญ่ ซึ่งได้มาจากทั้งความเข้าใจผิดในการแปลศาสนาเป็นภาษามนุษย์ กับวิทยาศาสตร์ ทำให้เราทั้งโลก รวมทั้งที่บ้านเราแย่งกันเป็นใหญ่ แย่งกันมีอำนาจ แบบถึงจะตายก็ไม่ว่า ขอให้ใหญ่ให้รวยก่อน แต่อย่าคิดว่านั่นคือ “สันดานของมนุษย์” นะครับ บทความนี้จะวิเคราะห์ที่มานั้นและดูว่าเราจะแก้ไขอย่างไรได้บ้าง
วิวัฒนาการของมนุษย์กับสังคมของมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิวัฒนาการของกาย ที่ทำให้มนุษย์แยกจากธรรมชาติและใหญ่ขึ้นไปนั้น ว่าไปแล้วส่วนหนึ่งเกิดขึ้นดังที่ จอร์จ วอลด์ (George Wald) นักชีววิทยารางวัลโนเบลจากฮาร์วาร์ดว่า เราน่าจะแปล เจเนสิส (Genesis) ในคัมภีร์ไบเบิลของคริสต์ศาสนาผิด คือแปลเป็นตรงกันข้ามว่า “ให้สร้างมนุษย์ในภาพลักษณ์ของพระเจ้า” แทนที่จะเป็น “ให้มีพระเจ้าในภาพลักษณ์ของมนุษย์” (in man’s image) และแถมให้มนุษย์มีสิทธิ์เหยียดหยามย่ำยีชีวิตอื่นๆ ที่พระเจ้าสร้างมาก่อนหน้านั้น อย่างกับว่าเราคือพระเจ้าผู้สร้างเสียเอง เพราะมนุษย์ยิ่งใหญ่เหลือเกิน - ฆ่า ตัด ขุด เจาะ ถาง เผา - แทนที่จะปกครองและคุ้มครอง “ทุกชีวิตด้วยความเคารพ” ดังนั้นบาปกรรมทั้งหมดจึงเป็นเรื่องของฝรั่งชาวตะวันตกในทวีปยุโรปแต่เพียงสายพันธุ์เดียวในช่วงเวลานั้น ที่เข้าใจศาสนาผิดและคิดเช่นนั้น ส่วนคนที่อยู่ในทวีปอื่นๆ ไม่เกี่ยว
ประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายที่จะต้องรับเคราะห์กรรมจากสภาวะโลกร้อนและรุนแรงเป็นพิเศษ จึงต้องคิดใหม่ให้ดี ในการจะเอาแต่ตามฝรั่งและการแปลคำพูดของพระเจ้า (Words of God) อย่างผิดๆ ดังที่ จอร์จ วอลด์ กล่าว (George Wald: The Cosmology of Life and Mind; in New Metaphysical Foundation of Modern Science, 1994)
จากวันนั้นถึงวันนี้ วิวัฒนาการของมนุษย์และสังคมของมนุษย์โดยรวม ทั้งการแยกตัวเองออกจากธรรมชาติได้ค่อยๆ มีมากขึ้นและเด่นชัดขึ้นเรื่อยมา - ซึ่งสำหรับนักวิชาการปัญญาชนบางคนรวมทั้งผู้เขียน - เชื่อว่าเป็นไปตามแม่แบบพิมพ์เขียวของจักรวาล
เพราะใหญ่เกิน สันดานของมนุษย์ส่วนใหญ่จึงรับผิดไม่เป็น ต้องหานายหน้าหรือตัวแทน - ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจมารับผิดแทนตัว - เรียกว่าแพะ ซึ่งเป็นคนธรรมดานี้เองที่มีผู้สวมเขาให้ คนที่ถูกสวมเขาไม่ว่าจะเป็นสัตว์ชนิดไหน จึงเป็นคนโง่ที่สุด หรือจำยอมเพื่อการอยู่รอด เมื่อคนทั่วไปไม่ชอบรับผิด และยิ่งไม่ต้องการเป็นคนโง่ เราส่วนใหญ่มากๆ จึงไม่ต้องการมานั่งคิดถึงความผิดสุดมหันต์ของเผ่าพันธุ์ ที่จะเป็นสาเหตุโดยตรงทำให้มนุษย์ต้องล้มตายไปเป็นพันๆ ล้านคนในช่วงเวลาไม่ช้าไม่นานนัก ด้วยสภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นเพราะความโลภและความไม่รู้ของเราเอง
เริ่มจากความตื่นเต้นดีใจอย่างสุดขีดของปวงมนุษย์ในประเทศทางตะวันตกเมื่อ ๔๐๐ กว่าปีก่อน ซึ่งตั้งชื่อยุคสมัยของการเปลี่ยนแปลงเสียสวยหรูว่า เป็นยุคสมัยของการเปลี่ยนแปลงทางจิตวิญญาณ ยุคสมัยแห่งเหตุผล และยุคแห่งการรู้เเจ้งเห็นจริง (ages of reason and enlightenment) ทั้งๆ ที่เป็นการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพเพียงอย่างเดียว เป็นการโผล่ปรากฏ - ของ “เหตุผลและองค์ความรู้” - จากการจัดองค์กรตนเองทางกายภาพหยาบดิบ แต่การโผล่ปรากฏของ “เหตุผล” ได้ทำให้ความเชื่อที่เป็นความรู้ของจิตและศาสนาในยุคมืดบอดทางปัญญาต้องสิ้นสุดลง กลายไปเป็นความงมงายและไสยศาสตร์ตราบจนปัจจุบันนี้
โดย “เหตุผล” ที่สำคัญที่สุดคือ “จิตและศาสนาไม่มีจริงและไม่จริง” เพราะศาสนาล้วนมีความแตกต่างกัน บางศาสนามีพระเจ้าเทวดา บางศาสนามีแต่เทพเทพี บางศาสนามีผู้สร้าง บางศาสนาไม่มีผู้สร้าง เมื่อศาสนาล้วนขัดแย้งกันเอง เราจะเชื่อได้อย่างไรว่าอันไหนถูกอันไหนจริง? ศาสนามีแต่จะให้ความแตกต่าง สร้างความแปลกแยกระหว่างกัน มีแต่ “เหตุผล” เท่านั้นที่เป็นความจริง และนั่นคือความเชื่อมั่นที่ปัญญาชนส่วนนำของโลก รวมทั้งบ้านเรายึดถือมาตราบจนปัจจุบันนี้ นั่นคือช่วงเวลาเริ่มต้นของความจริงสูงสุดของมนุษยชาติ การตีจากยุคมืดบอดทางปัญญาของยุโรปและศิลปะโกธิคของเยอรมันตะวันออกในขณะนั้น
ความหลงผิดของมนุษยชาติด้วยการค้นพบหลักการของเหตุผล - การเริ่มต้นของสิทธิมนุษยชนในยุคปัจจุบันและความไม่มีอะไรแม้แต่สิทธิ์ที่จะดำรงอยู่ของธรรมชาติสิ่งแวดล้อม - มนุษย์ในภาพรวม (collective universality) จึง “ใหญ่” ขึ้นเรื่อยๆ และหลงในศักยภาพความยิ่งใหญ่ของตนเองอย่างเกินขอบเขต (anthropocentric) จนลืมไปว่าไม่มีอะไรในจักรวาลที่เกิดขึ้นมาโดยเปล่าๆ ชนิดไม่ต้องทำอะไร การเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐนั้น มาพร้อมกับหน้าที่และความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมทั้งหลายทั้งปวง เพราะในด้านหนึ่ง มีแต่มนุษย์เท่านั้นที่มีจิตใจดีงามกอปรไปด้วยความรักเมตตาอย่างไม่หวังผลตอบแทน แต่ในอีกด้านหนึ่ง ความหลงผิดที่มีอีโก้เป็นพื้นฐานและเหตุผลบนความรู้และจิตรู้ (anthropocentric) ตามที่ตาเห็น ทำให้มนุษย์แยกตัวเองออกจากธรรมชาติมากขึ้น มองธรรมชาติประหนึ่งอาณาจักรแห่งทาสผู้รับใช้ที่มนุษย์เราจะทำอะไรก็ได้ ความทะนงตนจากความสามารถในการเอาชนะธรรมชาติได้มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้มนุษย์ค่อยๆ ลืมเลือนศักยภาพในด้านแรกหรือโยนทิ้งไป เพราะปรารถนาความสุขผิวเผินของตัวเองที่คิดว่าสำคัญที่สุด ภายใต้หลักการที่ว่า มนุษย์คือผู้ยิ่งใหญ่ในสากล (collective universality) ที่ว่านั้น
“ความรู้กับเหตุผลปลดโซ่ตรวนที่จำจองเราไว้
เป็นอิสระ - จึงเข้าใจว่าอะไรคือ “ความจริง”
ความจริงที่ตาเห็นจึงไม่ต้องแต่งไม่ต้องเสริม
สร้างสรรค์ “ความจริง” อันสากลให้มนุษย์โดยรวม”
แสดงความคิดเห็น