อเมริกาเปลี่ยน กระบวนทัศน์เปลี่ยน มนุษยชาติเปลี่ยน



โดย ศ.นพ.ประสาน ต่างใจ
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 20 กันยายน 2551

หรือเป็นลิขิตของจักรวาล เช่นที่ผู้เขียนสงสัยว่าอาจจะเป็นไปได้ ซึ่งหากเป็นจริงตามนั้น ก็นับว่าอาจเป็นทั้งโชคดีและโชคร้าย เพราะสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศเดียวในโลกที่เป็นตัวแทนของความเป็นสองหรือทวิตา (dualism) คือ เป็นทั้งดีสุดๆ และชั่วร้ายสุดๆ หรือให้ทั้งความจริงสุดๆ กับภาพมายาสุดๆ ที่จักรวาลจัดสรรให้เป็นเช่นนั้นในช่วงเวลานี้ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ยุคใหม่และนักจิตวิทยาโดยเฉพาะ นักจิตวิทยาผ่านพ้นตัวตนหรือนักจิตวิทยาจิตวิญญาณ (transcendent or spiritual psychology) จำนวนมากต่างมองเห็นคล้ายๆ กันเป็นทำนองนั้น นั่นคือ จักรวาลหรือฟ้า ประหนึ่งได้ดลบันดาลให้ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำของโลกในช่วงเวลานี้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญที่สุด ขอย้ำว่าเป็นช่วงสำคัญที่สุดจริงๆ ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติเท่าที่เคยมีมา นั่นคือ เป็นช่วงที่โลกจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างถอนรากถอนโคน หรือมีการปฏิวัติที่จะทำให้กระบวนทัศน์ทางสังคมของโลกต้องเปลี่ยนไป ซึ่งที่สุดมนุษยชาติและสังคมของมนุษย์ก็จะต้องเปลี่ยนตามไปด้วย

เพราะฉะนั้น ในความเห็นของผู้เขียน การที่พรรคเดโมแครตตัดสินส่งคนอเมริกันผิวดำ คือ นายบารัค โอบามา ลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาในครั้งนี้ จึงมีความสำคัญที่สุดกับเผ่าพันธุ์และสังคมของมนุษย์ ชนิดที่เราไม่เคยเห็นไม่เคยมีมาก่อนอย่างที่ว่ามาข้างบนจริงๆ นโยบายหาเสียงของนายโอบามานั้น มีเพียงคำเดียวง่ายๆ คือ “เปลี่ยน” (change) ซึ่งอาจหมายความว่า นายโอบามาเพียงต้องการเปลี่ยนนโยบายของประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาคนปัจจุบัน จอร์จ ดับเบิลยู บุช และพรรครีพับลิกัน ที่เห็นว่าความปลอดภัยในบ้านในประเทศเป็นใหญ่ จึงหันไปทำสงครามกับอัฟกานิสถานและอิรัก เปิดศึกนอกบ้านเพื่ออุ้มไข่ในหินอันเป็นนโยบายของอเมริกามาตั้งแต่ต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ญี่ปุ่นโจมตีฮาวายในสงครามโลกครั้งที่สอง ประชาธิปไตยตัวแทน และระบบเศรษฐกิจทุนนิยมการตลาดเสรี ที่จะว่าไปแล้วเป็นการเปลี่ยนน้อยๆ หรือเป็นการปฏิรูปน้อยๆ ก็ได้

แต่คำๆ นี้ก็อาจตีความไปได้อีกทาง คือ อาจเป็นไปได้ว่า นายโอบามาต้องการเปลี่ยนแปลงแบบถอนรากถอนโคนหรือการปฏิวัติระบบและโครงสร้างของประเทศทั้งหมดเลยก็ได้ แต่เท่าที่ผู้เขียนมองเห็น ประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาหลังสงครามโลกครั้งที่สองมา ไม่ว่าพรรคใดได้เป็นผู้บริหารประเทศ นโยบายจะไม่ได้ต่างกันมากนัก โดยเฉพาะนโยบายต่างประเทศและการทหาร ฉะนั้น นโยบายของนายโอบามาหรือการเปลี่ยนแปลงที่น่าจะเป็นไปได้ก็คือ การมองเห็นความสำคัญภายในบ้านมากขึ้นหรือการปฏิรูปน้อยๆ มากกว่า การปฏิรูปกับปฏิวัตินั้นต่างกันมากเหลือเกิน เหมือนเพชรแท้กับเพชรเทียม จึงน่าจะใช้คำใหม่กัน คิดว่าท่านผู้อ่านหลายคนอาจคิดเช่นเดียวกับผู้เขียนก็ได้ คือคิดว่า ประธานาธิบดีของประเทศสหรัฐอเมริกานั้นสำคัญมากๆ ต่อระบบทุกๆ ระบบ โดยเฉพาะระบบการเมืองการทหารของโลกในปัจจุบัน อย่างน้อยนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองจบสิ้นแล้วเป็นต้นมา เพราะโดยรูปธรรม อเมริกาคือผู้ชนะสงครามในครั้งนั้นแต่เพียงผู้เดียว โดยแทบจะไม่ได้รับความบอบช้ำเท่าไรเลย จริงๆ แล้ว ตลอดเวลาค่อนศตวรรษมานี้ สหรัฐอเมริกามั่งคั่งร่ำรวยที่สุดอยู่แล้ว จึงเป็นเสมือนผู้นำโลก – บางครั้งผ่านหน้าม้าหรือองค์การสหประชาชาติ - ในทางเศรษฐกิจ การเมืองการทหาร และทางสังคมแต่เพียงประเทศเดียว คนที่มีทั้งเงินทั้งอำนาจนั้น ทำอะไรก็ดูดีไปหมดหรือดูน่ารักไปหมด

ถ้าหากเรามองโลกมองจักรวาลในแบบของผู้เขียน ที่คิดว่าไม่มีคำว่าบังเอิญในโลก ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นผลของกลไกของวิวัฒนาการ (evolution) อันเป็นหลักการสำคัญเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้มีจักรวาลโผล่ปรากฏขึ้นมา - นักฟิสิกส์ทฤษฎีแนวหน้าของโลกบางคนเรียกประหนึ่งว่า เป็นแม่แบบพิมพ์เขียวของจักรวาล อาทิ เซอร์ เจม จีนส์ เซอร์ อาเธอร์ เอดดิงตัน เซอร์ เฟรด ฮอยล์ พอล เดวีส์ ฯลฯ - ไม่ว่าสิ่งนั้นคือพระเจ้า หรือมันเป็นเช่นนั้นของมันเอง ฉะนั้น ภาวะโลกร้อนและการล่มสลายของสิ่งแวดล้อมธรรมชาติอื่นๆ อันเกิดจากน้ำมือมนุษย์ – กิเลสตัณหากับอวิชชา - ที่ไม่เป็นไปตามที่แม่แบบพิมพ์เขียวกำหนด จึงผิดธรรมชาติ เพราะฉะนั้น มหันตภัยธรรมชาติไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม เช่น สภาพของสังคม เศรษฐกิจและการเมือง จึงเกิดจากสภาวะธรรมชาติซึ่งผิดไปเช่นนั้น นั่นคือกรรมร่วมที่มนุษย์เจตนาทำขึ้นจากวิวัฒนาการที่ผิดทาง

ในความเห็นของผู้เขียน มนุษย์จะต้องเป็นผู้รับกรรมร่วมนั้น มากหรือน้อยแล้วแต่เจตนา ดังนั้นก่อนที่มหันตภัยธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่จริงๆ จะปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัด และมนุษยชาติโดยรวมจะต้องรับผลกรรมเช่นนั้น การก่อกรรมทำเข็ญต่อโลกธรรมชาติจึงไม่น่าจะหยุดอยู่เพียงแค่นั้น ระบบสังคม การเมือง โดยเฉพาะเศรษฐกิจส่วนใหญ่คงจะดำเนินไปอย่างผิดธรรมชาติเหมือนเดิม แม้ว่าคนส่วนหนึ่งในอเมริกากับประเทศที่พัฒนามากๆ ทั้งหลายจะมีการเปลี่ยนแปลงทางจิตไปบ้างแล้ว แต่ไม่ใช่ว่าการเปลี่ยนแปลงของคนทั้งโลกจะเกิดขึ้นได้ในเวลาไม่กี่เดือน – ในที่นี้หมายถึงก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีของอเมริกา – นั่นคือมันยังไม่ถึงเวลาของการสุกงอมต่อวิวัฒนาการทางจิตสู่จิตวิญญาณ และการเปลี่ยน (transformation) ของมัน

ฉะนั้น สงครามตะวันออกกลางและการก่อการร้ายยังจะต้องมีต่อไปทั้งอาจขยายกว้างขึ้นไปอีก โดยมีสหรัฐอเมริกาเป็นหมากตัวสำคัญที่สุด ดังนั้น ไม่ว่าใครจะมีความเห็นอย่างใดหรือเชียร์ใคร หากว่ามีแม่แบบพิมพ์เขียวของจักรวาลจริงๆ ตามความคิดของผู้เขียน และหากการเปลี่ยนแปลง (change) ของนายโอบามาไม่ได้เป็นไปอย่างถอนรากถอนโคนหรือเป็นการปฏิวัติอย่างสิ้นเชิง คือ เป็นเพียงการเปลี่ยนน้อยๆ หรือเป็นการปฏิรูปน้อยๆ อย่างว่า หรือเพียงเปลี่ยนจากข้างนอกมาเป็นข้างในประเทศ ขณะที่แทบทุกสิ่งทุกอย่างยังจะค่อนข้างเหมือนเดิม ก็ขอฟันธงได้เลยว่าพรรครีพับลิกันจะได้ชัยชนะการเลือกตั้งในครั้งนี้ นายจอห์น แมคเคน จะได้เป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของประเทศสหรัฐอเมริกาในปี ๒๐๐๙ นี้อย่างค่อนข้างแน่นอน

ดังที่กล่าวมาแล้วว่า มันยังไม่ถึงเวลาที่สุกงอมจริงๆ ผู้เขียนจึงเชื่อว่า เวลาของการเปลี่ยนแปลงของประชากรในประเทศพัฒนาอุตสาหกรรมที่มีมานานแล้ว ยังคงมีไม่ถึง “มวลอันวิกฤติ” (critical mass) แม้ว่าผู้เขียนจะไม่รู้ว่าจำนวนนั้นคือเท่าไร – แต่อย่างน้อยก็ไม่ใช่ภายในปีสองปีนี้ - จากการวิจัยมากหลายพบว่า ความเจ็บปวดทรมานเป็นเวลายาวนาน คือตัวเร่งปฏิกิริยาที่ดีที่สุดต่อการเปลี่ยนแปลง (2007 Shift Report) เพราะฉะนั้น ภัยธรรมชาติจากสภาวะโลกร้อน การก่อการร้าย หรือสงคราม หากว่าไม่ถี่กระชั้นหรือมากเกินไป ยกเว้นสงครามนิวเคลียร์ ก็คงยังไม่ถึงกับทำให้คนทั่วไป โดยเฉพาะนักธุรกิจและนักการเมืองทนไม่ได้หรือสามารถเปลี่ยนแปลงวิธีคิดหรือจิตสำนึกได้

อย่างไรก็ตาม ในฐานะที่จักรวาลเป็นผู้กำหนดแม่แบบพิมพ์เขียวหรือควบคุมโลกและมนุษยชาติ จักรวาลย่อมมองเห็นอนาคตของโลกและมนุษยชาติกับสังคมโดยรวมว่าจะเป็นอย่างไร ซึ่งอนาคตของสังคมมนุษย์ เท่าที่ผู้เขียนมองเห็นก็มีอยู่สองทางเท่านั้น คือ หนึ่ง เผ่าพันธุ์มนุษย์ยังคงมีอยู่ แต่จะเหลือน้อยเต็มทีและจะมีวิวัฒนาการต่อไป – ซึ่งวิวัฒนาการจะเป็นไปในทางของจิตสู่จิตวิญญาณ (spirituality or transcendence) - กับ สอง มนุษย์สูญพันธุ์ไปทั้งหมด ซึ่งจริงๆ แล้ว หากว่าเราทั้งหลายเชื่อในเรื่องของแม่แบบพิมพ์เขียวของจักรวาลอย่างที่ผู้เขียนคิด เชื่อในทฤษฎีหลักการมนุษยจักรวาลวิทยา (cosmological anthropic principle) อันเป็นคณิตศาสตร์ที่สมบูรณ์ มนุษย์ก็ต้องอยู่คู่กับจักรวาลตลอดไป - ไม่ว่าจะเป็นดาวนพเคราะห์ใดและระบบดวงอาทิตย์ในกาแลคซี่ไหน สามารถมีวิวัฒนาการทางจิตสู่จิตวิญญาณได้ถ้วนทั่วทุกตัวคนหรือไม่ – โดยหลักการที่ว่านั้น จักรวาลกับโลกของเราจึงปราศจากมนุษย์ไปไม่ได้

แต่หากว่าจักรวาลและโลกของเราจำเป็นต้องมีมนุษย์เช่นว่านั้น อนาคตไม่ใกล้ไม่ไกลจากวันนี้ มนุษย์เราและสังคมของเราจะเป็นอย่างไร? นั่นคือ เนื้อหาสาระของบทความนี้ คือ เมื่อโลกเปลี่ยน เมื่อกระบวนทัศน์เปลี่ยน มนุษย์และสังคมของมนุษย์ก็ต้องเปลี่ยนตามไปด้วย ทั้งนี้เนื่องจากรากฐานของการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ เป็นเรื่องวิวัฒนาการของจิตสู่จิตวิญญาณ อันเป็นเป้าหมายของจักรวาล พฤติกรรมและการกระทำต่างๆ ของเราจะเป็นไปด้วยจิต “ใหม่” ทั้งสิ้น ซึ่งตรงกันข้ามกับที่เราคิดและกระทำกันอยู่ในขณะนี้ ที่ล้วนแล้วแต่ “เหมือนเดิม” – ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการสะสมอาวุธยุทโธปกรณ์ การต่อสู้กับผู้ก่อการร้าย การต่อสู้กับความยากจนยากไร้ ภัยจากโลกร้อนและผลจากภาวะล่มสลายของธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม อาชญากรรม ยาเสพติดและอื่นๆ เช่น การใช้เทคโนโลยีทำลายธรรมชาติของนักธุรกิจที่ไร้ความรับผิดชอบ ความแตกแยก และความรุนแรง ฯลฯ – คือเป็นความคิดและการกระทำของมนุษย์ที่มีกฎหมายของสังคมในกระบวนทัศน์เก่า อันได้มาจากความคิดของคนที่ยังไม่วิวัฒนาการทางจิตสู่จิตวิญญาณ เป็นพวกตาต่อตา หรือฟันต่อฟัน แล้วเราจะหาความพอเพียงพอดีและยั่งยืนได้อย่างไร?

เป้าหมายระดับแรกที่ผู้เขียนเอามาจากนักวิทยาศาสตร์สังคมว่าด้วยระบบ และนักจิตวิทยาผ่านพ้นตัวตนหรือนักจิตวิทยาจิตวิญญาณ (system theorist / transcendental psychologist or spiritual psychologist) รวมทั้งนักวิทยาศาสตร์ยุคใหม่หลายคน สำหรับมนุษย์ – ที่จะเหลือราวๆ ร้อยละ ๒๐ เท่านั้น – และสังคมของมนุษย์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตไม่ใกล้ไม่ไกลจากวันนี้ คือ การล่มสลายหายไปของ “อารยธรรมสมัยใหม่” ที่อยู่กับเรามานานจนกระทั่งวันนี้ไปทั้งหมด (modern civilization) และทั้งหมดจริงๆ ที่จะเข้ามาแทนที่คือ อารยธรรมใหม่ กระบวนทัศน์ใหม่ที่สมดุล – พอเพียงพอดีและยั่งยืน ที่ไม่เหลือเค้าโครงของเก่าอย่างใดเลยให้เห็น - และสิ่งที่ผู้เขียนมองเห็นในวันพรุ่งนี้จะเป็นความศิวิไลซ์ที่ภายใน

ในทางการเมืองสังคมวัฒนธรรมนั้น รัฐธรรมนูญ กฎหมาย ประชาธิปไตยตัวแทนที่เราใช้อยู่ รวมทั้งสิทธิมนุษยชนจอมปลอมจะหมดไป พร้อมๆ กับที่ประเทศหรือนครและเมืองใหญ่ๆ จะหายไปหมดพร้อมๆ กับประชากรโลกที่หายไปเพราะขาดอาหารและน้ำ และผลพวงของภัยธรรมชาตินานัปการของสภาวะโลกร้อนจัดจริงๆ จนเกินขอบเขตของสัตว์โลกจะดำรงอยู่ได้ ยกเว้นในภูมิภาคที่อยู่ใกล้กับขั้วโลก เช่น อะลาสก้า กรีนแลนด์ ไซบีเรีย ปลายสุดของอเมริกาใต้และแถบเทือกเขาไหล่เขาที่สูงมากๆ ที่อากาศเย็นหน่อย การดำรงอยู่ของมนุษย์และสัตว์เลี้ยงจะเป็นไปในรูปของหมู่บ้านหรือตำบลที่ประชาชนอยู่ร่วมกันภายใต้ประชาธิปไตยที่ทุกคนมีส่วนร่วม และมีวัฒนธรรมที่เน้นคุณค่าและความหมายของมวลสรรพสิ่งเป็นสำคัญ ทุกคนไม่ว่าใคร เพศวัยใด ต้องได้รับการคุ้มครองและมีสิทธิกับโอกาสที่เท่าเทียมกันอันเป็นกระบวนการจากภายใน

ในด้านของเศรษฐกิจและธุรกรรมทั้งหมด จะต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและความต้องการที่สมดุลพอเพียงพอดีและยั่งยืนเป็นสำคัญ เทคโนโลยีที่แลกเปลี่ยนกับความล่มสลายและเป็นศัตรูต่อสิ่งแวดล้อมเกินขอบเขตของการฟื้นตัวเองจะมีขึ้นไม่ได้ การเกษตรจะดำเนินไปบนฐานของความจำเป็นและความต้องการที่พอเพียงพอดี พลังงานจะเป็นรูปแบบของการใช้พลังงานทางเลือกที่ทดแทนได้เองทั้งหมด เช่น พลังแสงอาทิตย์ หรือพลังลม เป็นต้น ส่วนการติดต่อหรือการค้าขายกันก็จะเป็นเรื่องของอินเทอร์เน็ตแทบทั้งหมด

นั่นเป็นสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นในไม่ช้านี้ จริงๆ แล้วโลกเริ่มเปลี่ยนแล้ว และกระบวนทัศน์ของมนุษย์กับสังคมของมนุษย์ก็เริ่มที่จะเปลี่ยนตาม โดยเฉพาะสำหรับในโลกตะวันตกเช่นที่ยุโรปและสหรัฐอเมริกา แม้ว่ายังไม่ถึง “มวลอันวิกฤต” เช่นที่ว่าไว้ข้างบน ส่วนประเทศที่พัฒนาใหม่ๆ หรือประเทศกำลังพัฒนา รวมทั้งที่บ้านเรา ก็ไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้หรือเป็นเรื่องฝันหวาน ซึ่งเราที่อยู่รอดจากวิกฤตโลก – ที่กำลังเกิดอยู่และจะรุนแรงมากขึ้นจนถึงที่สุดภายในสี่ห้าปีนี้ – จะได้เห็น อย่าลืมว่า อนุสัยสันดาน “ตัวกูของกู” นั้นไม่ได้เป็นเช่นนั้นนิรันดร ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงเป็นอนิจจัง มีเกิดก็ต้องมีแก่และมีตาย มีรูปกายก็ต้องมีนามมีจิต มียุคกสิกรรมก็ต้องมียุคอุตสาหกรรม มีสมัยใหม่ก็ต้องมียุคหลังสมัยใหม่ ทำไมมนุษย์จึงมีกายกับจิต? ถ้าหากกายมีวิวัฒนาการได้ จิตก็ต้องมีได้ และหากจิตมีวิวัฒนาการผ่านพ้นตัวตนหรือก้าวพ้น “ตัวกูของกู” ได้ ที่กล่าวมาข้างบนทั้งหมดทำไมจึงจะเป็นไปไม่ได้?

Back to Top