แม่ติ๋ว การพัฒนาจิต และสังคมเยียวยา



โดย ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 6 มิถุนายน 2552

ถึงวันนี้หลายคนคงรู้จักแม่ติ๋วแล้ว แม่ติ๋วคือผู้ก่อตั้งและดูแลบ้านโฮมฮัก จังหวัดยโสธร ซึ่งเป็นต้นแบบของโฆษณาของบริษัทประกันชีวิตแห่งหนึ่ง ปัจจุบันบ้านโฮมฮักยังมีภาระดูแลเด็กติดเชื้อจำนวนมาก ตัวแม่ติ๋วเองก็เป็นที่ทราบกันว่าไม่สบายด้วยโรคมะเร็ง

วันที่แม่ติ๋วมาเล่าเรื่องราวให้ฟังในการประชุมจิตวิวัฒน์นั้น ไม่บอกไม่รู้ว่าแม่ติ๋วเป็นมะเร็ง

แม่ติ๋วเล่าว่าเป็นคนกรุงเทพฯ โดยกำเนิด เริ่มทำงานด้านสาธารณสุขที่ดอยสูงจังหวัดแม่ฮ่องสอน จากนั้นเดินเท้าสี่สิบห้าวันมาที่จังหวัดเชียงราย ทำค่ายมวยอยู่พักหนึ่ง แล้วเข้ากรุงเทพมหานครทำงานกับเด็กในสลัม ต่อมาไปสร้างบ้านพักพิงสำหรับเด็กติดยา ได้ดูแลรักษาเด็กติดยาหลายคนให้กลับไปใช้ชีวิตปกติได้โดยไม่ต้องพึ่งเมธาโดน (ยาบรรเทาอาการปวด ที่ใช้ในการเยียวยาผู้ติดยาเสพติด) เลย หลังจากพบปัญหาการทำงานกับฝ่ายบ้านเมืองเพราะเรื่องยาเสพติดจึงหันมาดูแลเด็กติดเชื้อและเด็กที่ถูกกระทำรุนแรง และนั่นเป็นที่มาของบ้านโฮมฮักซึ่งมีอายุยี่สิบสองปีในวันนี้แล้ว

ช่วงที่แม่ติ๋วเดินทางเพื่อค้นหาตนเองนั้น ท่านใช้ชีวิตเรียบง่ายไปจนถึงลำบาก บางครั้งกินไส้เดือนเป็นอาหารแต่ก็มิได้ถึงกับกินโดยไม่มีความรู้ ท่านพอรู้เกี่ยวกับเรื่องพื้นบ้านและการใช้ชีวิตกับธรรมชาติจากคุณยายตามสมควร การทำงานกับเรื่องยากๆ เช่น ชาวเขา เด็กสลัม เด็กติดยา เหล่านี้พาเอาปัญหาสารพัดโหมกระหน่ำใส่แม่ติ๋วไม่หยุดยั้ง ท่านก็ต่อสู้ของท่านเรื่อยมา ไม่มีทฤษฎี ไม่มีสูตร ไม่มีวิชาการ หลายเรื่องที่เล่าให้ฟังนั้นหนักไปทางต้องทำเพราะไม่มีทางถอย และลองผิดลองถูกเพราะไม่มีทางเลือกเสียมาก ท่านออกตัวบ่อยครั้งว่าท่านเป็นคนธรรมดา

จนมาถึงสองเรื่องสุดท้าย คือเรื่องท่านเป็นมะเร็งและเรื่องการอยู่ร่วมกับเด็กติดเชื้อที่บ้านโฮมฮัก ซึ่งมีเรื่องเล่ามากมายบันทึกให้ศึกษาได้ไม่รู้จบ

เรื่องแรกเกี่ยวกับความเจ็บป่วยของแม่ติ๋วเอง ณ วันนี้ท่านปฏิเสธการรักษามะเร็งด้วยการแพทย์แผนปัจจุบัน ในขณะเดียวกันท่านก็ไม่ได้รักษาแพทย์ทางเลือกอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน มีหลายครั้งที่ท่านไร้เรี่ยวแรงถึงนอนซมหรือเดินไม่ได้ แต่ทุกครั้งที่เด็กติดเชื้อบ้านโฮมฮักไม่สบาย เจ็บหนัก ได้รับอันตราย หรือต้องได้รับความช่วยเหลือเป็นการด่วน แม่ติ๋วก็จะลุกเดินได้อีกครั้งทุกทีไป แล้วอาการเจ็บหนักของตนเองก็ทุเลาชั่วคราว มีบางครั้งท่านท้อจนถึงที่สุดต้องหลีกหนีจากบ้านโฮมฮักไปเก็บตัวบ้าง แต่เมื่อตระหนักว่าชีวิตของตนควรทำอะไร เมื่อเข้าใจอย่างแจ่มชัดว่ากายป่วยได้แต่ใจไม่จำเป็นต้องป่วยด้วย ท่านก็กลับมาบ้านโฮมฮักและไม่ไปไหนอีกเลย

จะเห็นว่าเราเป็นผู้ควบคุมชีวิต ไม่ใช่มะเร็ง

แม่ติ๋วเล่าเรื่องการอบสมุนไพรหลายตอน พอประมวลความได้ว่า ท่านเริ่มอบสมุนไพรเพราะไม่รู้จะทำอะไร ในครั้งแรกท่านนอนในที่นอนขนาดใหญ่อะไรบางอย่างคล้ายโลงแล้วเอาสมุนไพรนานาชนิดมาสุมไฟโดยไม่มีส่วนผสมที่ชัดเจน ความร้อนทำให้ท่านต้องลุกหนี นั่นแปลว่าท่านยังมีแรงอีกมาก มั่นใจได้ว่าไม่ตายง่าย หลังจากนั้นแม่ติ๋วและเด็กๆ บ้านโฮมฮักก็ดูเหมือนจะเข้ามาช่วยกันอบสมุนไพรให้ท่านเป็นที่สนุกสนานแบบทดลองประดิษฐ์ท่อสร้างกระโจมกันเอง สมุนไพรไม่ต้องหาซื้อและไม่คิดจะลำบากลำบนไปไกลๆ เพื่อหามา แต่หาเอาเท่าที่หาได้หรือปลูกไว้ใช้เองใกล้ๆ บ้าน หลังอบเสร็จก็มักจะมีเด็กๆ บ้านโฮมฮักมาต่อคิวขออบต่อเสมอๆ กลายเป็นกิจกรรมที่สร้างความสุขถ้วนหน้าสำหรับสมาชิกบ้านโฮมฮัก

จะเห็นว่าองค์ประกอบของสมุนไพรไม่มีความหมาย ที่มีความหมายมากกว่ากลับเป็นกระบวนการทั้งหมด นั่นคือได้สมุนไพรมาด้วยความสบายใจ กรรมวิธีการอบกลายเป็นศูนย์รวมความสุขและความรักของเด็กๆ ที่มีต่อแม่ติ๋ว รวมทั้งความสุขเล็กๆ น้อยๆ หลังจากอบเสร็จแล้ว จึงว่าที่สำคัญกว่าวิธีการมักเป็นเรื่องบริบท ถ้าเราแยกแม่ติ๋วออกไปอบสมุนไพรที่อื่น เท่ากับเราต้องแยกแม่ติ๋วออกจากบริบทด้วย ถ้าเราให้ผู้เชี่ยวชาญการอบสมุนไพรเข้าไปสร้างห้องอบได้มาตรฐานพร้อมทั้งแนะนำส่วนประกอบของสมุนไพรให้แน่ชัด บริบทที่มีเด็กๆ มารายล้อมก็อาจจะหายไปด้วย เหล่านี้ทำให้เชื่อได้ว่าผลของการอบสมุนไพรอาจจะลดน้อยถอยลงเมื่อเทียบกับที่แม่ติ๋วและเด็กๆ บ้านโฮมฮักทำกันเอง

เรื่องยาต้านมะเร็งแผนปัจจุบันก็เหมือนกัน เมื่อครั้งยาต้านมะเร็งเคลื่อนตัวเข้าหาแม่ติ๋ว สิ่งที่เกิดขึ้นคือท่านได้รับฤทธิ์ข้างเคียงจากยาทำให้อ่อนเพลียต้องนอนหลับหรือพักกลางวันบ้าง ทำให้ต้องห่างจากเด็กๆ บ้านโฮมฮัก บางครั้งยาต้านมะเร็งก็ไม่ต้องซื้อหาเพราะหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า แต่กระบวนการได้ยานั้นยากเย็นแสนเข็ญ ไหนจะการเดินทาง ไหนจะการติดตามผล ไหนจะความไม่มั่นคงของการได้ยา เหล่านี้สร้างความลำบากและความหวั่นวิตกต่ออนาคตทั้งสิ้น ท่านจึงตัดสินใจอยู่กับปัจจุบันและอยู่กับเด็กๆ บ้านโฮมฮักที่ท่านรักอย่างดีที่สุดมากกว่า

คำถามสำหรับระบบสุขภาพจึงเป็นว่า เราจะใช้ความรู้ เทคโนโลยีใหม่ๆ ยาใหม่ๆ การรักษาใหม่ๆ กับชุมชนและชาวบ้านในชุมชนได้อย่างไร โดยไม่ไปรบกวนหรือทำลายความเป็นชุมชนที่มีอยู่ กรณีของแม่ติ๋วและบ้านโฮมฮักก็คือโดยไม่ไปรบกวนความรัก ความผูกพัน ความเอื้ออาทร และการมีกิจกรรมร่วมกันของทุกคน เพราะเหล่านี้คือบริบทที่ดีและเป็นไปได้ว่าเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้แม่ติ๋วมีสุขภาวะที่ดีถึงวันนี้

นอกเหนือจากความจริงที่ว่า แม่ติ๋วพัฒนาจิตจากการทำงานยากและการตระหนักรู้ว่าชีวิตเป็นของเรา มิใช่ของมะเร็ง เราจะใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าเช่นไรเป็นเรื่องของเรา มิใช่เรื่องของระบบ

นอกจากเรื่องของแม่ติ๋วแล้ว ยังมีเรื่องของเด็กๆ บ้านโฮมฮักหลายคนที่รอดตายดั่งปาฏิหาริย์ทั้งที่ติดเชื้อรุนแรงหรือติดเชื้อฉวยโอกาส ระดับภูมิคุ้มกันต่ำอย่างมากเมื่อวัดจากระดับซีดีโฟร์ซึ่งเป็นตัวชี้วัดของการติดเชื้อเอดส์ตัวหนึ่ง เด็กหลายคนควรจะตายนานแล้วแต่รอดชีวิตจนเติบโตเรียนหนังสือและยังช่วยเหลือกันรักกันไม่จืดจาง เมื่อไปโรงเรียนก็มีความรักตนเองถึงขนาดประกาศได้ว่า “กู เด็กบ้านโฮมฮัก”

บางครั้งแม่ติ๋วก็จะมีเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ ในการดูแลเด็ก ตัวอย่างหนึ่ง เช่น เมื่อคุณแม่ติดเชื้อรายหนึ่งใกล้ตาย ท่านให้ลูกซึ่งติดเชื้อเช่นกันจับมือแม่ไว้ และพูดให้เด็กเข้าใจว่าความสัมพันธ์กับแม่นั้นจะไม่มีวันขาดหายแม้ว่าแม่จะตายไปแล้วก็ตาม ที่แม่ติ๋วไม่ทราบคือนี่เป็นวิธีสถาปนาตัวตนของแม่ให้ฝังลงในจิตใจของผู้เป็นลูกตลอดกาล และเป็นต้นทุนที่จะทำให้เด็กบ้านโฮมฮักมีตัวตนสมบูรณ์และรักตนเองถึงขนาดประกาศได้ว่าตนเองอยู่บ้านโฮมฮัก

อย่างไรก็ตาม หลายต่อหลายอย่างที่แม่ติ๋วทำนั้นล้วนทำภายใต้บริบทของบ้านโฮมฮักที่ซึ่งอุดมไปด้วยความรัก ความไว้ใจ และความเคารพในชีวิตทั้งของตนเองและเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ความหมายก็คือวิธีที่แม่ติ๋วใช้นั้น หากใครบางคนคิดจะลอกแบบไปใช้ในพื้นที่อื่นก็อาจจะไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่แม่ติ๋วทำเพราะบริบทนั้นต่างกัน เรื่องแบบนี้เป็นสิ่งที่ส่วนกลางหรือราชการมักไม่ยอมเข้าใจ จึงมักมีนโยบายหรือคำสั่งให้ทุกพื้นที่ทำอะไรเหมือนๆ กันหรือลอกแบบกัน โดยขาดความเคารพในบริบทของพื้นที่นั้นๆ

ศ.นพ.ประเวศ วะสี เรียกบริบทของบ้านโฮมฮักนี้ว่าเป็น healing community คือชุมชนที่มีความสามารถในการเยียวยากันเอง ซึ่งจิตวิวัฒน์เชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยความรัก ความเชื่อมั่นในมนุษย์ ความเคารพตนเอง ความเคารพผู้อื่น รวมทั้งความเคารพในศักยภาพของชุมชน เวลาส่วนกลางหรือราชการหรือความช่วยเหลือใดๆ จากภายนอกจะเข้าไปในชุมชนใดๆ จึงควรระมัดระวังที่จะไม่ไปรบกวนบริบทของชุมชน ไปทำลายความเชื่อมั่น หรือไปแยกสลาย healing community ที่มีอยู่โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์

อนาคตของแม่ติ๋วและเด็กๆ บ้านโฮมฮักจะเป็นอย่างไรเป็นเรื่องของวันพรุ่งนี้ สำหรับวันนี้ ทุกคนอยู่ในสุขภาวะที่ดีตามสมควร แม้ว่าคนหนึ่งจะเป็นมะเร็ง และที่เหลือจะติดเชื้อก็ตาม

Back to Top