จุดดำดวงอาทิตย์เกี่ยวกับโลกไหม?



โดย ศ.นพ.ประสาน ต่างใจ
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2553

คาร์ล จุง ที่นักจิตวิทยาหลายคนเรียกว่าบิดาของจิตวิทยา พูดว่า “คนเราไม่ชอบฟังเรื่องจริง” ล่วงปีใหม่ไปแล้ว แต่ผู้เขียนยังเขียนเรื่อง ๒๐๑๒-๑๓ ที่ทางศาสนา วิทยาศาสตร์ และผู้เขียนคิดว่าอาจจะเป็นไปได้จริง แต่ผู้อ่านและคนไทยคงไม่ชอบฟัง อ่าน หรือได้ยินซ้ำๆ ซากๆ เพราะเบื่อ เพราะรู้แล้ว ทั้งยังเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นจริง คนไทยทั่วไปร้อยละ ๙๙ คงคิดว่าไม่เกิด หรือถึงเกิดขึ้นแต่คงไม่ทั้งหมด เหมือนเรื่อง Y2K เรื่อง 5-5-2000 เรื่องอุกาบาตชนโลก และเรื่องอื่นๆ ซึ่งทุกอย่างกลับไปเหมือนเดิม ยกเว้นเรื่องภาวะโลกร้อนในปัจจุบันซึ่งคนไทยที่ตอบโพลล์ไม่เชื่อว่ามีมนุษย์เป็นเหตุ พูดง่ายๆ ว่ามนุษย์นั้นทำอะไรก็ไม่ผิด นอกจากทำผิดกฎสังคมหรือกฎหมาย เรื่องอยุธยา กรีซ โรมัน อียิปต์ เป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยที่เราไม่ได้เห็นกับตา ฉะนั้นหาความสุขสนุกสนานกันดีกว่า แต่ครั้งนี้ – ในความคิดของผู้เขียน – คงไม่เป็นเช่นเดิมอีก เพราะว่าเราโลภ เราเห็นแก่ตัว และทำแต่เรื่องผิดๆ มากเกินไป

ผู้เขียนได้รับข้อมูลใหม่ๆ เรื่องการหายไปของจุดดำบนดวงอาทิตย์ การเปลี่ยนแปลงสนามแม่เหล็กโลก และความเข้มข้นของสนามแม่เหล็กดวงอาทิตย์ลดลง ซึ่งมักเกิดขึ้นเมื่อมีการสลับกันของขั้วแม่เหล็กดวงอาทิตย์ ที่อาจทำให้เกิดการย้ายขั้วโลกเหนือตามทฤษฎีของ ชาร์ลส์ แฮปกูด ซึ่งไอน์สไตน์สนับสนุนและเขียนคำนำให้ (Charles Hapgood, Paths of Pole, 1971) กับเมื่อเร็วๆ นี้ยังเกิดช่องเปิดของสนามแม่เหล็กดวงอาทิตย์กับโลก (Magnatic portal) และเหมือนกับโลกกำลังย่างเข้าสู่ยุคน้ำแข็ง คือเกิดความหนาวเย็นมากกว่าและนานกว่าธรรมดา ทั้งที่ยุโรป อเมริกา และแคนาดาโดยเฉพาะทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ลุกลามมาถึง รัสเซีย จีน ญี่ปุ่น ฯลฯ

ผู้เขียนได้ข้อมูลใหม่ๆ เกี่ยวกับระบบสุริยะ ซึ่งจะโคจรมาตรงกับศูนย์กลางกาแล็คซี่ทางช้างเผือกของเรา ในคืนวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๐๑๒ และจะมีการเรียงตัวเป็นแถวหรือระนาบเดียวกันของดวงอาทิตย์และดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ (มิชิโอะ กากุ ดูใน NASA, Pole Shift) ผู้เขียนรอๆ ดูอยู่แต่ไม่เห็นมีใครที่เมืองไทยจะสนใจเอามาสื่อสารกัน หรืออาจจะมี แต่ผู้เขียนไม่รู้ไม่เห็นเอง เรื่องเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ นักการเมืองโดยเฉพาะผู้นำรัฐบาลทั่วโลก รวมทั้งสหประชาชาติจะต้องใส่ใจอย่างยิ่ง เพราะว่า หนึ่ง ภาวะล่มสลายของโลกและการเปลี่ยนแปลงสังคมโลกแบบถอนรากถอนโคนโดยการมีจิตใหม่หรือจิตวิญญาณของชาวโลก กับ สอง เรื่องการย้ายขั้วโลกที่เป็นเรื่องนอกตัว นอกประเทศ และนอกโลกชนิดที่เราไม่เคยมีมาก่อน ดังนั้นจะคิดว่าไม่เป็นไร “ทุกอย่างจะเหมือนเดิม” นั้น – ไม่เป็นการประมาทเกินไปหรอกหรือ? - มิชิโอะ กากุ ไม่ใช่ศาสตราจารย์ธรรมดาๆ แต่เป็นถึงนักฟิสิกส์ทฤษฎีของบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยซิตี นิวยอร์ค อันมีชื่อเสียงยิ่ง กระทั่งหนังสือพิมพ์ที่มีอิทธิพลอย่างสูงมากๆ คือ นิวยอร์คไทม์ กับวอชิงตันโพสต์ ของสหรัฐอเมริกาได้เขียนชมหนังสือทั้ง ๒ เล่มของเขา ว่าเป็นหนังสือวิทยาศาสตร์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดของปีนั้นๆ – ต่างกรรมต่างวาระกัน

ผู้เขียนนั้น นานๆ ทีถึงได้ติดตามข้อมูลความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์กายภาพหรือฟิสิกส์ของดวงอาทิตย์บ้าง พบว่าในระยะหลังๆ ดวงอาทิตย์มีเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม โดยมนุษย์เรายังไม่รู้ไม่แน่ใจว่า การเปลี่ยนแปลงหลายๆ อย่างนั้น จะมีผลต่อโลก ต่อมนุษยชาติ ต่อระบบสุริยะ หรือแม้แต่จักรวาลอย่างไรบ้าง? แต่ผู้เขียนคิดว่าไม่ควรประมาทอย่างยิ่ง ไม่มีอะไรเสียหาย หากว่ารัฐบาลต่างๆ เช่น รัฐบาลไทยจะพูดคุยให้แน่ใจและเข้าใจถึง ความเป็นไปได้ ของการเปลี่ยนแปลงของดวงอาทิตย์ในครั้งนี้ โดยตั้งคณะกรรมการภัยธรรมชาติในด้านวิทยาศาสตร์อย่างจริงจัง ติดต่อสอบถาม มิชิโอะ กากุ (ที่ www.mkaku.org) เรื่องเฉพาะหน้าคือ การเปลี่ยนแปลงของดวงอาทิตย์ในครั้งนี้ น่าจะเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมกับเศรษฐกิจทั่วโลกที่กำลังย่ำแย่สุดๆ อยู่ กับการค่อยๆ เปลี่ยนแปลง – บางทีและบางส่วนของจิตสำนึกที่กำลังแพร่สะพัดไปทั่วทั้งโลก เช่น จิตตปัญญาศึกษาและการทำสมาธิกรรมฐานที่มีผู้ปฏิบัติมากขึ้นมาก - บทความนี้จะเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลดังกล่าว

ความสัมพันธ์ที่กล่าวมานั้น อาจจะเกี่ยวกับภาวะล่มสลายทางด้านโลกกายภาพ (แต่โลกยังอยู่) กับวิวัฒนาการทางจิตสู่จิตวิญญาณของมนุษยชาติ แม้จะมีคนต่อว่าผู้เขียนทำนองว่าชอบมองโลกในแง่ร้าย หายใจเป็นเรื่องความล่มสลายหายนะของมนุษยชาติไปเสียทั้งหมด เหมือนกับว่าผู้เขียนตั้งใจแต่จะให้ความฉิบหายเกิดกับมนุษย์และโลก ผู้เขียนเองยอมรับเช่นนั้น แต่ในส่วนที่น้อยนิด ผู้เขียนใคร่ขอร้องให้ผู้ที่ต่อว่านั้น คิดให้รอบคอบและถ้วนถี่ อย่าตื่นเต้นเสียขวัญเพราะเรื่องอาจไม่เกิดก็ได้

คิดในเชิงวิทยาศาสตร์ทั้งทางกาย ทางจิตเช่นจิตวิทยา กับศาสนาต่างๆ รวมทั้งลัทธิความเชื่อที่มีตั้งแต่โบราณ แม้ว่าผู้เขียนจะย้ำเขียนอย่างซ้ำๆ ซากๆ – อย่างมีทั้งเหตุผล หลักฐาน และเป็นวิทยาศาสตร์พร้อมมูลชนิดที่ใครปฏิเสธไม่ได้ – ว่าจักรวาลและโลกมีหน้าที่หลักเพียงอย่างเดียว คือวิวัฒนาการ ส่วนวิวัฒนาการไปทำไม? เพื่ออะไร? และแน่ใจได้อย่างไร? ขอตอบตามที่นักปราชญ์ทั้งหลายตอบเหมือนกันเป๊ะๆ ว่า วิวัฒนาการของโลก ของจักรวาล และของมนุษย์ไปตามเป้าหมายที่วางไว้ คือ ดิน (โลก) มนุษย์ ฟ้า (จักรวาลหรือสวรรค์) เพื่อให้มีชีวิตและมีมนุษย์ “ผู้ประเสริฐ” สามารถมีวิวัฒนาการทั้งทางกายหรือชีววิทยากับจิต หรือรูปกับนามให้สัมฤทธิตามเป้าหมาย ทั้งหมดนั้นไม่ใช่จิตนิยม ไกลตัว ไร้สาระ ซึ่งเราคนทั่วไปโดยตัวตนเป็นผู้คิด เราส่วนใหญ่ที่มักเป็นนักวัตถุนิยมจึงคิดกันง่ายๆ ว่าเป็นเรื่องความบังเอิญ ท่านผู้อ่านช่วยกรุณาคิดให้รอบคอบด้วย เพราะไม่เพียงแต่นักปราชญ์ ศาสดา เซนต์ กับนะบีในทุกศาสนาต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันเช่นนั้น หากแต่นักวิทยาศาสตร์ระดับโลกรวมทั้งผู้ได้รับรางวัลโนเบลทุกๆ คน ไม่มียกเว้น – เท่าที่ผู้เขียนรู้ – ยืนยันเช่นเดียวกันด้วย เช่น เดวิด โบห์ม เซอร์ อาเธอร์ เอดดิงตัน จอร์จ วอลด์ เจมส์ ลัฟลอค ฯลฯ แม้แต่ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ในทางอ้อม ทั้งนี้ว่ากันตรงๆ มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ทางกาย-ชีววิทยาสนับสนุนด้วย

การเปลี่ยนแปลงของดวงอาทิตย์เริ่มที่การสลับขั้วแม่เหล็กของดวงอาทิตย์ซึ่งเคยเกิดมีมาก่อน ครั้งสุดท้ายเมื่อปี ๒๐๐๐-๐๑ และครั้งต่อไปจะมีในปี ๒๐๑๒-๑๓ นั้น – ย่อมทำให้สนามแม่เหล็กโลกหรือแมกนีโตสเฟียร์ (บริเวณที่มีสนามแม่เหล็กโลกแผ่กระจายไปถึง) หายไปด้วย และสองปีมานี้อยู่ๆ สนามแม่เหล็กของดวงอาทิตย์ก็ลดลงไปพร้อมกับการค่อยๆ หายไปอย่างมากของจุดดำ (sun spots) จากเรือนพันเรือนหมื่นลงมาเหลือไม่ถึงร้อยจุดในขณะนี้ หรือมีเค้าว่าจะลดลงไปกว่านั้นอีก นั่น-ทำให้อนุภาคที่เกิดในใจกลางดวงอาทิตย์ตามปกติวิสัยออกมาไม่ได้ด้วย จะมีแต่อนุภาคผีๆ เช่น นิวตริโนส์ที่ทะลวงออกมาได้ ดังที่มีรายงานไว้มากเช่นที่ แอลเอชซีแล็บ เป็นต้น และการที่สนามแม่เหล็กของดวงอาทิตย์ลดความเข้มข้นลงไปนี้ จะทำให้แมกนีโตสเฟียร์ของโลกค่อยๆ หายไปด้วย (เพราะแมกนีโตสเฟียร์เกิดจากการปฏิสัมพันธ์กันระหว่างสนามแม่เหล็กทั้งสอง) และโดยเฉพาะการขาดแมกนีเซียมจนทำให้จุดดำที่ดวงอาทิตย์หายไปกว่าร้อยละ ๙๐ ทำให้แมกนีโตสเฟียร์ของโลกต้องหายไปแทบสิ้นเชิง จะทำให้การป้องกันโลกด้วยสนามแม่เหล็กโลก (geomagnetism) หายไป เกิดภยันตรายจากรังสีแกมม่าของหลุมดำที่มาจากกาแล็คซีทางช้างเผือก

ไม่มีใครรู้ จริงๆ แล้วไม่มีใครเชื่อว่า ดวงอาทิตย์ของเราเคยมีช่องเปิด – ที่ปิด-เปิดโดยอัตโนมัติ ทุกๆ ๘ นาที มีขนาดใหญ่รูปทรงกระบอกแทบเท่าโลกของเรา - ทำให้พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าระหว่างดวงอาทิตย์กับสนามแม่เหล็กติดต่อกันโดยตรงได้อย่างไม่มีมาก่อนนับตั้งแต่ติดตามดูดวงอาทิตย์มาหลายร้อยปี แต่ก่อนหน้านั้นเราไม่รู้ โดยเฉพาะในระหว่างการย้ายขั้วโลกเหนือ (ซึ่งเคยมีมาแล้วร่วม ๑๖ ครั้งในรอบหลายล้านปี) ครั้งสุดท้ายเมื่อ ๑๒,๐๐๐ ปีก่อนที่ขั้วโลกเหนืออยู่ที่อ่าวฮัดสัน – การย้ายของขั้วโลกเหนือ (ขั้วโลกใต้ไม่เคยย้ายที่เลยเท่าที่รู้ภายในเกือบ ๖๐๐ ล้านปี) ไม่เคยย้ายเกิน ๓๐ ดีกรีเลย (มีพูดไว้ในหนังสือของ ชาร์ลส์ แฮปกูด) การลดลงหรือหายไปหมดของสนามแม่เหล็กโลก (geomagnetic) มีแผ่นดินไหว และภูเขาไฟใกล้ระเบิดเหมือนกับสภาพโลกในปัจจุบัน จุดดำของดวงอาทิตย์หายไปหมดหรือเหลือน้อยเต็มทีเหมือนสภาพดวงอาทิตย์ในปัจจุบัน ดินฟ้าอากาศและฤดูกาลมีการเปลี่ยนแปลงเหมือนสภาพโลกในปัจจุบัน กับอีกอย่างหนึ่งที่มีในปัจจุบันแต่เราไม่รู้ คือเมื่อมีการย้ายขั้วโลกเหนือครั้งที่แล้วๆ ดวงอาทิตย์จะมีช่องเปิด เช่นที่เรามีในช่วงนี้หรือไม่? ส่วนอีกสองอย่างที่มีข้อมูลในปัจจุบัน แต่โลกเราไม่มีหรือยังไม่มี คือ ยุคน้ำแข็งใหญ่หรือย่อย กับการย้ายที่ของขั้วโลกเหนือ แต่ทั้งสองอย่างนั้นทางวิทยาศาสตร์เรารู้ว่า มันเกิดช้าหรือเร็วหรือเมื่อไรก็ได้

ฤดูกาลที่โลกประสบกับความหนาวเย็นจัดประดุจยุคน้ำแข็งเล็กหรือใหญ่มาเยือนเช่นในอดีตเมื่อ ๓๐๐-๕๐๐ ล้านปีที่แล้ว เรียกกันว่า มูแอนเดอมินิมัม (Muander minimum) เมื่อจุดดำของดวงอาทิตย์หายไปแทบทั้งหมด (คือเหลือไม่ถึง ๕๐ จุดจากหมื่นๆ จุดที่เคยมี) และความเข้มข้นของสนามแม่เหล็กของดวงอาทิตย์ลดลงอย่างมาก สถานภาพของจุดดำและความเข้มข้นของสนามแม่เหล็กของดวงอาทิตย์ลดลงอย่างมาก เหมือนสภาพปัจจุบันของดวงอาทิตย์และโลก เพียงแต่โลกยังไม่มียุคน้ำแข็งเท่านั้น ซึ่งทั้งหมดทำให้ผู้เขียนเชื่อว่าอย่างน้อย โลก และมนุษยชาติ จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงของสังคมวัฒนธรรมอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน อย่าลืมว่ากราฟที่ศูนย์สังเกตดวงอาทิตย์ (NSO) บอกว่าจุดดำกับความเข้มข้นของสนามแม่เหล็กดวงอาทิตย์จะเหลือน้อยกว่าครึ่งในปี ๒๐๑๒-๑๓ และดวงอาทิตย์จะหมุนรอบตัวเองช้าลงด้วย อย่างมากโลกจะมีการย้ายที่ของขั้วโลกเหนือพ่วงยุคน้ำแข็งจริงๆ พร้อมกับมนุษย์ – สัตว์โลกจะเหลือน้อยลงเพราะสวิตซ์ของสายพานกัลฟ์สตรีมหยุดลงด้วย

นั่นคือการวิเคราะห์จุดดำของดวงอาทิตย์ในปี ๒๐๑๒

Back to Top