ปฏิรูปจิตสำนึก



โดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 9 กันยายน 2553

ตุลาคมเป็นเดือนแห่งการระลึกถึงความตายของเพื่อนคนไทยในความขัดแย้งทางการเมือง ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๑ และก็ควรรวมถึงการเสียชีวิตกรณีพฤษภาคม ๒๕๓๕ และเมษายน – พฤษภาคม ๒๕๕๓ ด้วย ชีวิตเป็นของมีค่า ไม่ควรทำให้ตกไปเพราะเหตุใดๆ หรือเพื่อผลใดๆ คนไทยทั้งมวลควรคิดทบทวนอย่างลึกซึ้งว่าในการอยู่ร่วมกันต่อไป ทำอย่างไรคนไทยจะไม่ต้องมาฆ่ากันอีก แม้เพราะเหตุใดๆ หรือเพื่อผลใดๆ การฆ่าเป็นบาปมหันต์ คนไทยจะฆ่ากันไม่ได้อีกต่อไป

เราลองมาทบทวนใคร่ครวญจากง่ายไปหายาก ในครอบครัวทุกคนคิดถึงการอยู่ร่วมกัน ในการอยู่ร่วมกันไม่มีการคิดเชิงกำไรขาดทุน ไม่คิดเชิงการแข่งขัน ลูกคนไหนอ่อนแอหรือพิการ แม่กลับดูแลใส่ใจมากขึ้น ไม่มีการทอดทิ้งกัน อาจมีบางคนทำผิดก็มีการให้อภัยกัน ไม่ใช่ขับไล่หรือฆ่าให้ตาย เพราะเป็นครอบครัวเดียวกัน คิดถึงการอยู่ร่วมกันของทั้งหมด นั่นคือมีการเห็นความเป็นทั้งหมด คิดเพื่อทั้งมวล และทำเพื่อทั้งหมด ของครอบครัว

ไม่ได้คิดแยกส่วนเฉพาะตัว ถ้าคิดแยกส่วนเฉพาะตัว ทั้งหมดก็เป็นไปไม่ได้ เพราะเราคิดถึงความเป็นทั้งหมดของครอบครัว ครอบครัวจึงเข้มแข็ง ครอบครัวจึงเป็นฐานที่ให้ความอบอุ่น ความปลอดภัย และความสุขแก่เรา

แต่การคิดถึงความเป็นทั้งหมดของเราจำกัดอยู่เฉพาะในครอบครัวและในชุมชนครั้งโบราณ แต่ในสังคมใหญ่ใจเรายังไปไม่ถึง สังคมใหญ่แต่จิตของคนในสังคมยังเล็ก จิตเล็กทำให้ไม่เห็นว่าเราเป็นทั้งหมด ทั้งหมดคือเรา ไม่เห็นว่าสังคมคือครอบครัวของเรา เราคิดแบบแยกส่วนและทำแบบแยกส่วน เฉพาะตัวเราและพวกของเรา เมื่อคิดแบบแยกส่วนเฉพาะตัวเราและพวกเรา ไม่คิดถึงทั้งหมด ทั้งหมดก็ขาดความเป็นปรกติ นั่นคือระส่ำระสาย แตกแยก และรุนแรง

ในระบบใดๆ สมาชิกจะต้องเห็นทั้งหมด คิดเพื่อทั้งหมด และทำเพื่อทั้งหมด ระบบนั้นจึงจะเป็นปรกติและราบรื่น เมื่อทั้งหมดเป็นปรกติและราบรื่น ทำให้แต่ละสมาชิกเป็นปรกติและราบรื่น ถ้าทั้งหมดไม่ปรกติและราบรื่น สมาชิกก็ปรกติและราบรื่นไม่ได้ ความเป็นปรกติและราบรื่น ด้วยกันทั้งหมดทำให้หลุดพ้นจากความบีบคั้น นั่นคือเป็นอิสรเสรี

เป็นอิสรภาพและเสรีภาพของทั้งหมด

ธรรมะแห่งความเป็นทั้งหมด จะทำให้เราเข้าใจว่าทำไมการคิดแบบแยกส่วน ทำแบบแยกส่วน จึงนำไปสู่การติดขัด บีบคั้น แตกแยก และรุนแรง

เพราะจิตเล็ก มนุษย์จึงเห็นแบบแยกส่วน คิดแบบแยกส่วน และทำแบบแยกส่วน ทั้งหมดทั้งสิ้น แม้แต่เรื่องดีๆ ถ้าคิดอย่างแยกส่วนก็จะไปไม่ได้ทั้งสิ้น เช่น ธรรมะแบบแยกส่วน เสรีภาพแบบแยกส่วน สิทธิมนุษยชนแบบแยกส่วน การพัฒนาแบบแยกส่วน การศึกษาแบบแบบแยกส่วน ฯลฯ

แม้เพราะเหตุนี้ โลกจึงวิกฤต ประเทศจึงวิกฤต

ตัวอย่างระบบที่ดีที่สุดคือร่างกายของเรา เซลล์ทุกเซลล์ อวัยวะทุกอวัยวะจะต้องรู้และทำเพื่อความเป็นทั้งหมด ร่างกายของเราจึงจะมีความเป็นปรกติและราบรื่น ถ้าจะมีเซลล์ใดเซลล์หนึ่ง “คิด” แบบแยกส่วน ทำเป็นเอกเทศเฉพาะตัว ไม่คำนึงถึงความเป็นทั้งหมด เซลล์นั้นคือเซลล์มะเร็ง เมื่อกลุ่มเซลล์มะเร็งเพิ่มจำนวนมากขึ้น ก็รบกวนความเป็นปรกติสุขของร่างกายทั้งหมด ทำให้ชีวิตร่างกายดำเนินต่อไปไม่ได้

มนุษย์และธรรมชาติทั้งหมดจะเป็นระบบเดียวกัน แต่เพราะมนุษย์มีจิตเล็กไม่เห็นความเป็นทั้งหมด คิดแบบแยกส่วนทำแบบแยกส่วน จึงเหมือนสังคมมีเซลล์มะเร็งเต็มไปหมด จึงไม่แปลกใจว่าทำไมสังคมจึงป่วย และโลกจึงป่วยรุนแรง เพราะเต็มไปด้วยคนจิตเล็กที่คิดแยกส่วนเฉพาะตัว

ไอน์สไตน์จึงกล่าวว่า “ถ้ามนุษยชาติจะอยู่รอดได้ ต้องการวิถีคิดใหม่โดยสิ้นเชิง” ลาสโล โกรฟ และรัสเซลล์ จึงกล่าวว่า มีทางเดียวเท่านั้นที่โลกจะหลุดพ้นจากวิกฤตคือ ปฏิวัติจิตสำนึก (Consciousness Revolution)

ปฏิวัติจิตสำนึกคือการเปลี่ยนแปลงจากจิตเล็กให้เป็นจิตใหญ่

จิตเล็กเห็นแบบแยกส่วน คิดแบบแยกส่วน ทำแบบแยกส่วน นำไปสู่ความติดขัด จิตใหญ่เห็นทั้งหมด คิดเพื่อทั้งหมด และทำเพื่อทั้งหมด นำไปสู่ความเป็นปรกติและราบรื่นของทั้งหมด

เมื่อมนุษย์อวกาศชื่อ เอ็ดการ์ มิตเชลล์ มองจากอวกาศเห็นความเป็นหนึ่งเดียวของโลกทั้งหมด จิตเขาเปลี่ยนโดยสิ้นเชิง หลุดพ้นจากความบีบคั้นของความคับแคบ เกิดความเป็นอิสระ มีความสุขอย่างล้นเหลือ รักเพื่อนมนุษย์ และรักธรรมชาติทั้งหมด เอ็ดการ์ มิตเชลล์ เกิดจิตสำนึกใหม่ ไปพ้นจากความมีจิตเล็กที่กักขังตัวเองอยู่ในความคับแคบ สู่ความมีจิตใหญ่ที่เข้าถึงความเป็นหนึ่งเดียวของทั้งหมด

ขณะนี้กระแสใหญ่ (Mega Trend) ของโลก คือกระแสสร้างจิตสำนึกใหม่ หนังสือที่ขายดีที่สุดในโลกคือ หนังสือในตระกูลจิตสำนึกใหม่ ซึ่งมีวิธีการและชื่อที่หลากหลายต่างๆ นานา เพราะมนุษย์ตระหนักรู้มากขึ้นเรื่อยๆ แล้วว่า จิตสำนึกใหม่หรือจิตสำนึกใหญ่ คือทางรอดของมนุษยชาติ

ประเทศไทยวิกฤตสุดๆ จนขัดแย้งรุนแรงและปริ่มๆ จะเกิดมิคสัญญีกลียุค ทำให้คนไทยจำนวนมากเกิดสำนึกว่าต้องมีการเปลี่ยนแปลงใหญ่ประเทศไทย เพื่อไปพ้นวิกฤต จะเรียกว่าปฏิรูปประเทศไทย ปฏิวัติ อภิวัติ ยกเครื่อง สังคายนา หรืออะไรก็ตามที เราแก้ปัญหาประเทศด้วยการรักษาตามอาการ ทำนองกินยาแก้ไขแก้ปวดกันมานานแล้ว แต่ไม่ได้รักษาที่สาเหตุพื้นฐานของโรค โรคประเทศไทยจึงไม่หาย แต่กำเริบและรุนแรง

การปฏิรูปประเทศไทยจึงเน้นไปที่การแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง เพราะเรามีโครงสร้างที่ไม่ถูกต้องหลายเรื่อง อันนำไปสู่การขาดความเป็นธรรม เช่นโครงสร้างทางการปกครอง โครงสร้างทางเศรษฐกิจ โครงสร้างทางการจัดสรรทรัพยากร โครงสร้างทางกฎหมาย โครงสร้างทางการศึกษา เป็นต้น

แต่ลึกที่สุดคือการปฏิรูปจิตสำนึก การปฏิรูปจิตสำนึก – การปฏิรูปโครงสร้าง จะต้องควบคู่กันไป คนไทยจะต้องออกจากการมีจิตเล็ก หรือจิตมะเร็งที่คิดแบบแยกส่วนเฉพาะตัวเอง ไปสู่จิตใหญ่หรือจิตสำนึกใหม่ ที่เข้าถึงความเป็นทั้งหมด ว่าเราคือส่วนรวม - ส่วนรวมคือเรา หรือเราคือทั้งหมด – ทั้งหมดคือเรา

จิตสำนึกใหญ่จะทำให้หลุดพ้นจากความบีบคั้น เป็นอิสระ เกิดความสุขอันล้ำลึก รักเพื่อนมนุษย์และรักธรรมชาติทั้งหมด อันเป็นไปเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์และระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ มนุษย์ต้องเปลี่ยนวัตถุประสงค์ใหม่จากมุ่งกำไรสูงสุด ไปสู่การอยู่ร่วมกันกันอย่างสูงสุด วัตถุประสงค์ใหม่ทำให้จิตใหญ่ และจิตใหญ่ทำให้เกิดวัตถุประสงค์ใหม่ การปฏิวัติจิตสำนึกจะทำให้เราไปพ้นโศกนาฏกรรมแบบตุลาคม

Back to Top