มนุษย์จำเป็นต้องมีจิตขนาดใหญ่
เพื่อที่จะบรรจุความเมตตา ความกรุณา
อันไม่มีที่ประมาณไว้ได้
โดย ผศ.ดร.จุมพล พูลภัทรชีวิน
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 29 ตุลาคม 2554
ขอแสดงความรัก ความห่วงใยอย่างยิ่ง และขอส่งกำลังใจให้ผู้ประสบอุทกภัยทุกคนด้วยความจริงใจ
ขอแสดงความเคารพและนับถืออย่างสูง ต่ออาสาสมัคร หน่วยงานต่างๆ และประชาชนทุกคนที่ทุ่มเทกำลังกาย กำลังใจ กำลังทรัพย์ ช่วยเหลือ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ คลี่คลายความทุกข์ยากให้กับประชาชน
ขอแผ่เมตตาและความปรารถนาดีอย่างยิ่งยวด ต่อผู้มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง และผู้ที่อาศัยภาวะวิกฤตฉกฉวยแสวงหาประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้องบนความทุกข์ยากของผู้อื่น ขอให้มีความกล้าที่จะลด ละ เลิก ความคิด คำพูด และการกระทำ ที่ไม่ดี ไม่งาม มีความกล้าหาญทางคุณธรรมจริยธรรม ก้าวข้ามความขัดแย้งส่วนตัวส่วนกลุ่ม ทุ่มเทความสามารถร่วมกันฝ่าวิกฤตน้ำท่วมใหญ่ไปด้วยกัน ด้วยความรู้ ด้วยปัญญา อย่างมีสติ
วิกฤตมหาอุทกภัย ๒๕๕๔ ที่คนไทยส่วนใหญ่ของประเทศกำลังประสบ และยังต้องรับผลกระทบทางเศรษฐกิจ และโดยเฉพาะผลกระทบทางจิตใจไปอีกนาน เป็นบทเรียนราคาแสนแพงที่ผู้รับผิดชอบต้องเรียนรู้ เพื่อสร้างจิตสำนึกใหม่ที่กว้างใหญ่กว่าเดิม จิตสำนึกที่คำนึงถึงประโยชน์สุขของส่วนรวมเป็นหลัก กล้าตัดสินใจ กล้าทำในสิ่งที่ถูกต้องดีงามตามหน้าที่และความรับผิดชอบของตน เพื่อแก้หรือบรรเทาความทุกข์ร้อนของประชาชนในพื้นที่
นักการเมืองไม่ควรชิงไหวชิงพริบทางการเมือง หรือใช้อำนาจหน้าที่เพียงเพื่อประโยชน์ส่วนตนและพรรคพวก
วิกฤตครั้งนี้หากมองในแง่ดี น่าจะมีส่วนช่วยให้ผู้ลักลอบตัดไม้ ทำลายป่า รุกล้ำลำคลอง แม่น้ำ และที่สาธารณะเพื่อประโยชน์ส่วนตัว เกิดจิตสำนึกสาธารณะขึ้นมาบ้าง เมื่อเห็นความทุกข์ยากของพี่น้องประชาชนที่จมน้ำอยู่ค่อนประเทศ และหลายชีวิตสูญเสียไปกับภัยพิบัติครั้งนี้
นักการเมือง ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติบางคนก็อาจจะได้คิด และน่าจะเลิกแข่งขันกันทำความชั่ว หันมารวมตัวกันสร้างสรรค์ความดีงามให้เกิดขึ้นในสังคมไทยบ้างไม่มากก็น้อย
ประเทศไทยประสบและผ่านวิกฤตมาหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตภัยพิบัติทางธรรมชาติ วิกฤตเศรษฐกิจ วิกฤตทางสังคมและการเมือง แต่เมื่อเหตุการณ์ผ่านไป เราก็มักจะไม่สะท้อนการเรียนรู้หรือสรุปถอดบทเรียน และเตรียมการสำหรับอนาคตอย่างจริงจัง
บทเรียนที่เราไม่ค่อยจะเรียนรู้ ระหว่างและหลังการเกิดวิกฤตก็คือ การที่แต่ละฝ่ายใช้ความคิด ความเก่งและความฉลาด (การใช้ “หัว”) ในการหาหนทางและการกระทำเพื่อให้ได้ชัยชนะเหนือคู่แข่ง แบบไม่มีช่องว่างที่จะให้ “หัวใจ” แก่กันและกันในฐานะที่เป็นเพื่อนมนุษย์ที่ต่างก็มีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ต้องการการยอมรับ ต้องการการมีพื้นที่ในสังคม และที่สำคัญ ไม่มีสติและปัญญาพอที่จะ “ให้ใจ” แก่กันและกันในฐานะที่เป็นคนไทยด้วยกัน
เมื่อไม่ “เปิดใจ” ให้กัน เพราะ “ไม่เชื่อใจ” กัน จึง “ไม่ไว้ใจ” และ “ไม่ให้ใจ” กัน การร่วมมือกันด้วยความจริงใจเพื่อประโยชน์ส่วนรวมจึงไม่เกิดขึ้น
นักการเมืองและพวกพ้องจำนวนมาก ไม่เคยเรียนรู้อย่างมีสติสัมปชัญญะว่า การใช้พลังความคิด และพลังมวลชนเพื่อนำไปสู่ความพ่ายแพ้ของคู่แข่งทางการเมือง โดยลืมคิดว่าการทำให้อีกฝ่ายพ่ายแพ้ได้โดยไม่คำนึงถึงความควร ไม่ควรทางคุณธรรมจริยธรรม ไม่คำนึงถึงผลกระทบทางลบต่อประชาชนโดยรวม จะส่งผลเสียระยะยาวต่อประเทศชาติ และเกิดการแบ่งแยกแตกพวกไปทั่วแผ่นดิน
ความขัดแย้งทางสังคมส่วนใหญ่ โดยเฉพาะความขัดแย้งที่มาจากความคิด ความเชื่อ และการขัดกันทางผลประโยชน์ ไม่สามารถแก้ไขและ/หรือปรองดองได้ด้วยอำนาจ ด้วยกำลังคนหรือกำลังอาวุธที่เหนือกว่า รวมไปถึงการใช้เหตุผล/ตรรกะ (การใช้หัว) และโดยเฉพาะการใช้กฎหมายบังคับ เพราะทั้งหมดเป็นการคิดแบบแยกส่วน แบ่งแยก แพ้-ชนะ ตัดสินถูก-ผิด และเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า รอเวลาและโอกาสที่จะปะทุขึ้นมาใหม่ ด้วยความรุนแรงที่กว้างและเข้มข้นกว่าเดิม วงจรอุบาทว์ก็กลับมาอีก
ควรเลิกคิด ทำ พูด ในลักษณะเดิม ที่อุปมาเหมือนไก่จิกตีกันในเข่ง เพียงเพื่อแย่งชิงเศษอาหารที่เจ้าของเขาให้เพื่อเพิ่มน้ำหนัก จะได้ดูดีมีราคาเพิ่ม เพราะสุดท้ายก็ถูกขายยกเข่ง ถูกนำไปฆ่าทั้งหมด
ทุกครั้งที่เกิดวิกฤตที่มีผลเชื่อมโยงกับกลุ่มการเมืองแยกข้าง ผมจะนึกถึงบทกลอนที่ผมเคยเขียนไว้เสมอ วิกฤตการณ์น้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้ก็เช่น ปรากฏการณ์หน้าจอโทรทัศน์ และข่าวสารที่ปรากฏตามสื่อต่างๆ รวมทั้งข้อมูลจากเครือข่ายที่ลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัย สะท้อนระดับความคิด จิตอาสา จิตสำนึกสาธารณะ และคุณภาพทางจิตใจของบางคน บางกลุ่มได้เป็นอย่างดี
แต่ผมก็ยังเคารพและยอมรับในความแตกต่าง ยอมรับและเคารพในศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ผมยังเชื่อและมีความหวังกับคนไทยทุกคน ว่าสักวัน อีกไม่นานเกินรอ เราจะร่วมกันรังสรรค์ความสุข สงบ สันติให้เกิดขึ้นในสังคมไทย สร้างความเป็นหนึ่งบนความหลากหลาย ไม่ว่าจะมีเหตุร้ายหรือวิกฤตใดเกิดขึ้น เราจะร่วมกันฝ่าพิบัติภัย ไปด้วยกัน
ลองอ่านบทกลอน “สูงสุดยอด คือเท่าเทียม เป็นหนึ่งเดียว” แล้วลองใคร่ครวญ ทบทวนอย่างลึกซึ้งดู
แสดงความคิดเห็น