สังคมข่าวสาร : หลุมพรางอำมหิตของเศรษฐกิจเสรีทุนนิยม



โดย ผศ.ดร.จุมพล พูลภัทรชีวิน
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2555

สังคมข่าวสารที่เอ่อล้นไปด้วยข้อมูลข่าวสาร ทั้งที่เป็นขยะข้อมูล ขยะข่าวสาร และข้อมูลข่าวสารที่มีเจตนาแฝงเร้น บิดเบือน เชือดเฉือนฝ่ายตรงกันข้าม เป็นสังคมที่เราต้องมีสติและปัญญาในการคัดกรองข้อมูลข่าวสารเป็นอย่างยิ่ง เพราะหากขาดสติ และปัญญาเมื่อไหร่ เราก็จะไหลไปตามข้อมูลข่าวสารเหล่านั้น

ที่น่าเป็นห่วงคือ การเข้าใจผิดที่คิดว่าข้อมูลข่าวสารคือความรู้ คือปัญญา

แล้วนำมาส่งต่อ ส่งผ่าน ผสมผสานจินตนาการส่วนตัว

และน่าเป็นห่วงเพิ่มขึ้นกับการเข้าใจผิดที่คิดว่า การได้ข้อมูลข่าวสารทำนองเดียวกันอย่างต่อเนื่อง คือความน่าเชื่อถือได้ของข้อมูลข่าวสาร

คนฉลาดที่ชั่วร้ายจึงอาศัยเครื่องมือ ช่องทาง และเทคโนโลยีทางการสื่อสารที่หลากหลาย โหมกระหน่ำ ตอกย้ำข้อมูลข่าวสารทางเดียวให้กับพรรคพวกและสังคมโดยรวม เพื่อบิดเบือนการรับรู้ เพื่อผลประโยชน์ส่วนตนและพรรคพวก

ผู้ที่อยู่เบื้องหลังของกระบวนการลักษณะนี้ นับว่าเป็นผู้มีจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต มีจิตเล็ก เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ญาติพี่น้องและพรรคพวก คนเหล่านี้มีความน่ากลัวตรงที่ว่า พวกเขาทำได้ทุกท่า หาโอกาสได้ทุกที่ อะไรที่ไม่ดีก็โยนให้ผู้อื่นหรือสิ่งอื่น ผลกระทบต่อส่วนรวมและประเทศชาติในทางเสียหาย ไม่สำคัญเท่าผลประโยชน์ส่วนตน

สังคมข่าวสารที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีทางการสื่อสารที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ภายใต้คนฉลาดที่ชั่วร้าย ที่ตนเองนิยมชมชอบเพราะถูกครอบความคิดด้วยระบบเศรษฐกิจเสรีทุนนิยมอย่างเช่นทุกวันนี้ ยิ่งทวีความน่ากลัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หากเราขาดสติและปํญญาที่จะรู้เท่าทันหลุมพรางอำมหิต

ลองหยุดสักนิด แล้วพิจารณาอย่างใคร่ครวญ ทบทวนเหตุการณ์ทางการเมืองที่ปรากฏ

ลองหยุดสักนิด แล้วพิจารณาอย่างใคร่ครวญ ทบทวนนักการเมืองที่เรามี

มีสักกี่เหตุการณ์ และมีสักกี่คนที่คิด และทำ เพื่อประโยชน์ส่วนรวมและประเทศชาติอย่างแท้จริง

มีแต่เหตุผลและข้ออ้าง ข้างๆ คูๆ ฟังดูดี เป็นผู้เสียสละ เป็นผู้รักประชาธิปไตย ใฝ่หาความยุติธรรม

การพยายามเข้าสู่อำนาจ เป็นการเสียสละที่ยิ่งใหญ่

การใช้อำนาจที่ได้มา ก็เป็นไปเพื่อรักษาความยุติธรรม

ฟังดูดีมีจิตใหญ่ มีใจทำงานให้กับสังคม เป็นผู้นิยมประชาธิปไตย

แต่ใช้อำนาจตัดสินใจแทนประชาชนทั้งประเทศ เพราะถือว่าได้ชัยชนะผ่านระบบประชาธิปไตยแบบคะแนนเสียงข้างมาก ห้ามสงสัยที่มาของชัยชนะว่าได้มาด้วยความบริสุทธิ์โปร่งใสหรือไม่

ที่เป็นอันตรายอย่างยิ่งก็คือ การคิดว่าอำนาจคือความถูกต้องชอบธรรม ทรัพย์สมบัติของรัฐคือทรัพย์สมบัติของรัฐบาล คือทรัพย์สมบัติของตนเอง การฉ้อราษฎร์ บังหลวง ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม จึงเต็มไปทั้งแผ่นดิน จนคนส่วนหนึ่งเห็นว่าการคอรัปชั่นเป็นเรื่องปกติ

สังคมข่าวสาร ได้ถูกนำไปเชื่อมโยงกับอีกหลายๆ เรื่องในสังคมปัจจุบัน บางเรื่องก็เชื่อมโยงแบบก้าวกระโดด เช่น ในโลกสังคมข่าวสาร ภายใต้ความก้าวหน้าของวิทยาการด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะเทคโนโลยีทางการสื่อสาร ทำให้เกิดสภาวะโลกไร้พรมแดน จึงต้องตามให้ทันเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อจะได้แข่งขันกับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความรวดเร็วจึงเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการแข่งขัน
ฟังดูดี มีเหตุ มีผล แต่ลองตั้งสติและใคร่ครวญให้ลุ่มลึกรอบด้าน

ถึงแม้เทคโนโลยีทางการสื่อสาร ภายใต้สังคมข่าวสารจะสามารถทะลุทะลวงเส้นแบ่งเขตแดนทางกายภาพของแต่ละประเทศได้ก็จริง และดูเหมือนโลกจะเชื่อมเป็นหนึ่งเดียวกันได้ภายใต้เทคโนโลยีทางการสื่อสาร แต่ก็ก่อให้เกิดการแบ่งแยกแบบใหม่ขึ้นที่เรียกว่าการแบ่งแยกทางดิจิทอล (Digital divide) ซึ่งสะท้อนความเหลื่อมส้ำที่ชัดเจนมากกว่าทางกายภาพเสียอีก

หรือลองดูอีกหนึ่งตัวอย่างที่ลัทธิทุนนิยมใช้สังคมข่าวสาร โฆษณาประชาสัมพันธ์ความสำคัญของ การค้าเสรี ตลาดเสรี การแข่งขันเสรี แล้วยัดเยียดมาตรฐานใหม่ๆ ที่ระบบเศรษฐกิจเสรีทุนนิยมนำมาเป็นคาถา และเครื่องมือ ทั้งในการทะลุทะลวงและสะกัดกั้นประเทศที่ด้อยกว่า บีบรัดและบังคับให้มาแข่งขันอย่างเสรีแบบไม่มีแต้มต่อ

มันเป็นความอำมหิตของผู้เข้มแข็งกว่า ที่ไร้มนุษยธรรมและเต็มไปด้วยความอยุติธรรมใช่หรือไม่

มีเสรีแต่ไม่มีความยุติธรรม (Free but not fair) ก็คือความอยุติธรรมที่เสรี ใช่หรือไม่ โลกภายใต้ระบบนี้จึงวุ่นวายไปทั่ว

ทั้งสองตัวอย่างบ่งบอกการให้ความสำคัญกับการแข่งขันมากกว่าการร่วมมือ

ความรวดเร็วเพื่อช่วงชิงความได้เปรียบ มากกว่าความช้าเพื่อการพิจารณาอย่างรอบด้านและรอบคอบ

วัตถุมากกว่าจิตใจ กำไรมากกว่ากำใจ ไปคนเดียวมากกว่าไปด้วยกัน

สังคมข่าวสารท่ามกลางหลุมพรางอำมหิตของระบบเศรษฐกิจเสรีทุนนิยม จึงเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย เร่งรีบ รุ่มร้อน ผ่อนส่ง แต่ละคนจึงต้องมีสติ เพื่อจะได้มีโอกาสเกิดปัญญา และรู้เท่าทันตนเอง ผู้อื่นและปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น จะได้ไม่ต้องหมกมุ่นกับการไล่ให้ทัน โดยไม่รู้เท่าทัน

สังคมข่าวสารท่ามกลางหลุมพรางอำมหิตของระบบเศรษฐกิจเสรีทุนนิยม เป็นเรื่องที่คนในวงการศึกษา และคนในวงการสื่อสารมวลชน น่าจะมีบทบาทอย่างมากในการเตือนสติ ให้สติและสร้างสติให้กับคนในสังคม ด้วยการร่วมกันสร้างและให้ความรู้และปัญญากับสังคม ไม่ใช่แค่ให้ข้อมูลข่าวสารเฉพาะจุดแคบๆ ทางเดียว ไม่ครอบคลุม ไม่รอบคอบ ไม่รอบด้าน ไม่สัมพันธ์กับชีวิต สังคม และสรรพสิ่ง

น่าเสียดายที่ระบบและคนในวงการศึกษาทุกระดับและทุกประเภท ก็ติดกับดัก และถูกครอบด้วยระบบเศรษฐกิจเสรีทุนนิยมเป็นส่วนใหญ่แบบขาดสติ ติดกับอยู่กับข้อมูลข่าวสาร หลงใหลกับการวิ่งไล่ตามข้อมูลข่าวสารเพียงเพื่อให้ทันการเปลี่ยนแปลง มากกว่าการสร้างความรู้และปัญญาเพื่อรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง การศึกษากลายเป็นธุรกิจการศึกษา อาจารย์เป็นผู้ปฏิบัติงานตามภาระงานที่ได้รับมอบหมาย ติดตำราฝรั่ง อ้างอิงฝรั่งอย่างงมงาย ถ่ายทอดลอกแบบโดยไม่ยั้งคิด ลูกศิษย์คือลูกค้าที่สถาบันการศึกษาต้องแข่งขันกันโฆษณาประชาสัมพันธ์ และพลิกแพลงกลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อดึงดูดลูกค้าให้มาเรียน มีหลักสูตรเร่งรัด หลักสูตรพิเศษมากมาย เข้าง่ายจบง่าย การศึกษาส่วนใหญ่จึงมีแต่ผู้สอนและผู้ถูกสอน ผู้สอบและผู้ถูกสอบ แต่ไม่มีผู้เรียนรู้ที่แท้จริง

วงการและคนในวงการสื่อสารมวลชนจำนวนไม่น้อย ก็คล้อยตามไปกับกระแสทุนนิยม สื่อจำนวนมากที่มีเป็นส่วนใหญ่ก็เป็นสื่อพาณิชย์ที่มุ่งเน้นผลและความอยู่รอดทางธุรกิจมากกว่าการเป็นสื่อสารมวลชนต้นแบบ ยังมีรายการบันเทิงที่ไร้สาระ ข่าวยังมีลักษณะปฏิกริยาตอบสนอง (Reactive) มากกว่าวางแผนและมองไปข้างหน้า (Proactive) ยังเร่งรีบ (ทำงานหน้าเตา) ยังวิ่งไล่ตามข่าวสาร มากกว่าการรู้เท่าทันข่าวสาร รายการต่างๆ ยังให้ความสำคัญกับการหารายได้ โดยขาดจิตสำนึกของการเป็นสื่อมวลชนต้นแบบที่ดี มีการใส่สีตีข่าว ทั้งที่สื่อมวลชนที่ดีมีคุณภาพ ต้องสร้างสรรค์รายการทุกรายการที่ไม่ทำร้ายหรือทำลายผู้ชมผู้ฟัง ไม่มอมเมาผู้ชมผู้ฟัง ไม่เจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร หรือให้ข้อมูลข่าวสารทางเดียว

ที่ร้ายไปกว่านั้นก็เป็นสื่อเฉพาะกลุ่มที่มีเป้าประสงค์เฉพาะทาง วิทยุชุมชนก็กลายพันธุ์เป็นวิทยุขายของ วิทยุโฆษณาชวนเชื่อ วิทยุปลุกระดม จิตวิญญาณของสื่อสารมวลต้นแบบเลือนหายไปกับกระแสเงินและกระแสอำนาจ

ที่พอจะมีความหวังบ้างก็คือสื่อสาธารณะแห่งแรกของไทยและของภูมิภาคนี้ ที่สร้างปรากฏการใหม่ให้วงการสื่อสารมวลชนไทย โดยเฉพาะเมื่อเกิดวิกฤต ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตทางการเมือง หรือวิกฤตน้ำท่วมใหญ่ ประชาชนให้ความไว้วางใจ เพราะมีความเป็นกลาง ไม่ลำเอียง ไม่ใส่สีตีข่าว ให้ความรู้ ให้การศึกษา ให้สติปัญญากับผู้ชมผู้ฟังอย่างรอบด้าน เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมและมีบทบาทในการดำเนินงานในหลากหลายรูปแบบ โดยถือว่าประชาชนเป็นพลเมือง ไม่ใช่เป็นลูกค้าหรือผู้บริโภค และที่สำคัญให้ความเคารพว่า ประชาชนเป็นเจ้าของ

สังคมข่าวสารท่ามกลางหลุมพรางอำมหิตของระบบเศรษฐกิจเสรีทุนนิยม เป็นความท้าทายของทุกคนทุกฝ่ายไม่ใช่เฉพาะคนวงการศึกษาและวงการสื่อสารมวลชนที่จะต้องเรียนรู้ เพื่อให้รู้เท่าทันหลุมพรางที่วางไว้ แล้วช่วยกันในทุกรูปแบบเพื่อให้คนในสังคมได้ตระหนัก มีสติ ตื่นรู้ และมีปัญญารู้เท่าทัน ไม่ตกหลุมพรางอำมหิต

Back to Top