ยาลดไข้สังคมไทย


โดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 6 ตุลาคม 2555

วันนี้วันเสาร์ที่ ๖ ตุลาคม เป็นสังเวชนียวารอีกวันหนึ่งของคนชาติไทย เพราะเมื่อ ๓๖ ปีก่อนในวันนี้ได้มีการเข่นฆ่านักศึกษาอย่างเหี้ยมโหดที่ท้องสนามหลวงกลางพระนคร การฆ่าได้ก่อให้เกิดบาดแผลในจิตใจของสังคมอย่างยากที่จะเยียวยา และส่งวิบากกรรมต่อๆ มา ความขัดแย้งทางการเมืองที่ร้าวลึกทุกวันนี้ส่วนหนึ่งเป็นวิบากกรรมของการฆ่าเมื่อ ๖ ตุลาคม ความขัดแย้งทางการเมืองจะดำรงอยู่ต่อไป แต่ไม่ควรใช้การฆ่าเพื่อนมนุษย์หรือชักนำเพื่อนมนุษย์ไปสู่ความตาย เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง เพราะเป็นบาป และก่อความยุ่งยากตามมาอย่างสางไม่ออก เช่นทุกวันนี้

ควรยอมรับว่าความหลากหลายเป็นธรรมชาติธรรมดา ผู้คนมีรากฐานและมุมมองต่างกัน จะให้คิดเหมือนกันคงจะไม่ได้ ความแตกต่างไม่ควรเป็นเหตุให้ทำร้ายหรือเข่นฆ่ากัน คนที่คิดเชิงเผด็จการเท่านั้นที่อดทนต่อความแตกต่างไม่ได้ คนที่คิดเชิงประชาธิปไตยต้องมีปัญญาเห็นธรรม (ชาติ) ตามความเป็นจริง มีความอดทนอดกลั้น หรือขันติธรรม ในโอวาทปาฏิโกมข์ประโยคแรก พระพุทธองค์ตรัสว่า “ขันตี ปรมัง ตโป ตีติกขา” หรือขันติเป็นตบะอย่างยิ่ง ขันติจะชนะทุกสิ่งทุกอย่าง

ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองในปัจจุบัน ถ้ามีปรอทวัดความเกลียดชังกันในสังคม ปรอทคงจะพุ่งปรี๊ดเหมือนเป็นไข้สูง ความเกลียดพุ่งเป้าไปที่บุคคล องค์กร และสถาบันต่างๆ กัน และมีการใช้สื่อกระพือความเกลียดชังให้กว้างขวางออกไป ไข้แห่งความเกลียดชัง (hatred fever) จึงขึ้นสูง ไข้ชนิดนี้นำไปสู่ความรุนแรงและมิคสัญญีกลียุคได้

สังคมไทยจึงควรกินยาลดไข้

ยาลดไข้อย่างหนึ่งได้พูดไปแล้วคือขันติธรรม ยาที่เป็นข้าศึกต่อความโกรธความเกลียดคือความเมตตา ความโกรธกับความเมตตาจะอยู่ที่เดียวกันไม่ได้ ที่ใดมีความโกรธที่นั่นไม่มีความเมตตา ที่ใดมีความเมตตาที่นั่นไม่มีความโกรธ ในพระไตรปิฎกจึงมีเป็นอันมากที่พระพุทธองค์ทรงสอนให้บุคคลแผ่เมตตาจิตออกไปทุกทิศทุกทาง ว่าเป็นหนทางที่ทำให้พบอิสรภาพ คนที่ถูกความโกรธครอบงำไม่มีอิสระที่จะเห็นสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง ในสังคมที่มีปัญหาซับซ้อนและยาก การไม่สามารถรู้ความจริงจะทำให้วิกฤตยิ่งขึ้นและในที่สุดเกิดมิคสัญญีกลียุค ก็ลองดูเอาเถิด สังคมที่เต็มไปด้วยความโกรธความเกลียดในปัจจุบัน แทบไม่มีพื้นที่ให้ความจริงเลย ซึ่งเป็นเรื่องที่อันตราย

ยาลดไข้ความโกรธความเกลียด ๒ ตัวแรกที่กล่าวไปคือขันติธรรม และเมตตาธรรม เปรียบเสมือนยารักษาตามอาการ ประดุจพาราเซตามอลที่มีฤทธิ์ลดไข้ แต่ไม่ได้รักษาสมุฏฐานของโรค ถ้าสมุฏฐานของโรคยังอยู่ ยารักษาตามอาการเช่น ยาลดไข้ อาจบรรเทาอาการได้ชั่วขณะ หรือไม่ได้เลย ขณะที่โรคอาจลุกลามมากขึ้น ยารักษาสมุฏฐานของโรคคือปัญญา

เบื้องต้น ปัญญาทำให้รู้เท่าทันว่าอะไรที่เกิดขึ้นก็เพราะมีเหตุปัจจัยที่ทำให้เป็นอย่างนั้น ที่เราโกรธเพราะเราอยากไม่ให้เป็นอย่างนั้น หรือให้เป็นอย่างอื่น แต่มันก็ไม่เป็นไปตามความอยากของเรา เพราะมีเหตุปัจจัยให้มันเป็นเช่นนั้นเอง มันเป็นเช่นนั้นเองเพราะมีเหตุปัจจัยให้มันเป็นเช่นนั้น แล้วเราจะไปโกรธมันทำไมที่มันเป็นเช่นนั้น การรู้เท่าทันความเป็นกระแสแห่งเหตุปัจจัย เป็นปัญญาที่ทำให้เราหลุดจากความไม่รู้หรืออวิชชา อวิชชาเป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์

แล้วเหตุปัจจัยอะไรเล่าที่นำมาซึ่งความขัดแย้ง ความโกรธ ความเกลียดอย่างรุนแรงในสังคมไทย เหตุปัจจัยนั้นคือ การรวมศูนย์อำนาจ ในระบบใดๆ ถ้ามีการรวมศูนย์อำนาจจะเกิดความเครียดในระบบ ทำให้แตกหักได้ง่าย แต่ถ้าอำนาจกระจายไปทั่วถึง ระบบก็มีความสมดุล มีความเป็นปรกติและยั่งยืน

ประเทศไทยปกครองโดยรวมศูนย์อำนาจ ผู้ที่ใช้อำนาจรวมศูนย์ไม่ว่าจะเป็นพระมหากษัตริย์ หรือทหาร หรือนักธุรกิจการเมือง จะเผชิญกับความขัดแย้งสูง การแย่งชิงอำนาจที่รวมศูนย์จะรุนแรง ทั้งโดยใช้พละกำลังและการใช้เงิน ทำให้การเมืองมีคุณภาพต่ำ คอร์รัปชั่นสูง ทำรัฐประหารง่าย หลุมดำแห่งการรวมศูนย์อำนาจทำให้เกิดวัฏฏจักรแห่งความด้อยคุณภาพและความรุนแรง ฝ่ายที่ขัดแย้งกันอยู่หาใช่ศัตรูกันไม่ แต่ต่างตกเป็นเหยื่อของระบบรวมศูนย์อำนาจด้วยกัน ที่ทำให้ต้องมาโกรธมาเกลียดมารบราฆ่าฟันกัน เหมือนไก่อยู่ในเข่งที่รอถูกนำไปเชือด แต่ยังจิกตีกันจนเลือดตกยางออก เข่งคือระบบอำนาจที่กักขังไก่ทั้งหลายไว้ ศัตรูร่วมของทุกฝ่ายที่ขัดแย้งกันคือระบบรวมศูนย์อำนาจ

จึงควรร่วมกันกระจายอำนาจไปสู่สังคมโดยทั่วถึง การกระจายอำนาจมีส่วนที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม ส่วนนามธรรมเป็นส่วนลึก และเป็นฐานให้การกระทำที่เป็นรูปธรรม นั่นคือ หนึ่ง ต้องมีการเคารพศักดิ์ศรีและคุณค่าความเป็นมนุษย์ของคนทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน โดยเฉพาะของคนเล็กคนน้อยคนยากคนจน ในสังคมไทยได้สร้างมายาคติไว้ให้คนส่วนใหญ่ที่เป็นคนเล็กคนน้อยคนยากคนจนไร้ศักดิ์ศรีและคุณค่าของความเป็นมนุษย์ จะด้วยชาติกำเนิด หรือยศถาบรรดาศักดิ์ โภคทรัพย์ การศึกษา ก็ตาม เรื่องนี้ดูเหมือนยากแต่ไม่ยาก กุญแจอยู่ที่การเข้าใจความรู้ในตัวคน ความรู้มีสองชนิด คือความรู้ในตัวคน กับความรู้ในตำรา ในตัวคนทุกคนมีความรู้ที่ได้มา จากการทำงานและประสบการณ์ชีวิต เป็นความรู้ที่มีประโยชน์อย่างยิ่ง แม่จึงเป็นครูที่ดีที่สุดของลูก ทั้งๆ ที่อาจจะไม่ได้รับการศึกษาตามระบบ ถ้าเราเคารพแต่ความรู้ในตำรา คนส่วนน้อยเท่านั้นที่มีเกียรติ คนส่วนใหญ่จะไม่มีเกียรติ แต่ถ้าเคารพความรู้ในตัวคน คนทั้งหมดจะมีเกียรติ การเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินในเวลาอันรวดเร็ว คือระบบการศึกษา แทนที่จะศึกษาแต่ความรู้ในตำรา ให้ไปเรียนรู้จากชาวบ้าน ชาวบ้านจะมีเกียรติขึ้นทันที และนักเรียนเมื่อเรียนจากใครเขาก็จะเคารพผู้นั้นว่าเป็นครู เรามีนักเรียน นิสิต นักศึกษา หลายล้านคน สามารถทำข้อมูลชาวบ้านจากทุกหมู่บ้านว่าแต่ละคนมีความรู้อะไรในตัวบ้าง ประเทศจะเปลี่ยนเพราะทำอย่างนี้ การเคารพศักดิ์ศรีและคุณค่าความเป็นมนุษย์ของคนทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน เป็นฐานของความดีงามต่างๆ เช่น ประชาธิปไตย การเคารพสิทธิมนุษยชน ความยุติธรรม ความเป็นธรรม

สอง กระจายอำนาจให้ประชาชนปกครองตนเองให้ได้มากที่สุดในรูปของชุมชนจัดการตนเอง ท้องถิ่นจัดการตนเอง จังหวัดจัดการตนเอง การจัดการตนเองได้หมายถึงความเข้มแข็ง หมายถึงสมรรถนะ หมายถึงการมีอิทธิปัญญา หรือปัญญาที่ทำให้เกิดความสำเร็จ ความสำเร็จในการพัฒนาอย่างบูรณาการ คือพัฒนา ๘ เรื่องอย่างเชื่อมโยงกัน อันได้แก่ “เศรษฐกิจ – จิตใจ – สังคม – วัฒนธรรม – สิ่งแวดล้อม – สุขภาพ – การศึกษา – ประชาธิปไตย” ชุมชนท้องถิ่นที่มีการพัฒนาอย่างบูรณาการกลายเป็นสังคมศานติสุข บางแห่งมีศานติสุขประดุจสวรรค์บนดิน

ประชาธิปไตยชุมชนเป็นประชาธิปไตยอัตถประโยชน์ และประชาธิปไตยสมาฉันท์ เพราะอำนาจกระจายไปถึงประชาชนทุกคน ทำให้สามารถรวมตัวร่วมคิดร่วมทำได้เต็มพื้นที่และในทุกเรื่อง



เรื่องการจัดการตนเองกำลังมีเสน่ห์ที่ดึงดูดใจของผู้คนเข้ามาร่วมกันมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งระดับชุมชนจัดการตนเอง ท้องถิ่นจัดการตนเอง จังหวัดจัดการตนเอง เครื่องมือสำคัญของการจัดการตนเองคือ “การเรียนรู้ร่วมกันในการปฏิบัติ (Interactive learning through action) ของทุกฝ่าย การเรียนรู้ร่วมกันในการปฏบัติทำให้เกิดความเชื่อถือไว้วางใจกัน ซึ่งเป็นทุนทางสังคมที่สำคัญที่ทำให้เกิดความสุขและความสำเร็จ

ในกระบวนการจัดการตนเองนี้ พลัง ๕ ประการหรือเบญจพละเข้ามาผนึกกัน คือ พลังทางสังคมหรือพลังความสามัคคี พลังทางปัญญา พลังทางการจัดการ พลังความถูกต้อง และพลังแห่งสันติวิธี จึงมีพลังมากเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสมดุล ปรกติสุข และยั่งยืน

อาการไข้ขึ้นสูงของสังคมไทยนั้นรักษาได้ ไม่ใช่รักษาไม่ได้ มีทั้งยารักษาตามอาการคือยาลดไข้ และยารักษาตามสมุฏฐาน คือ การกระจายอำนาจที่รวมศูนย์ไปให้ประชาชนปกครองตนเอง เมื่อประชาชนสามารถจัดการตนเองได้ในพื้นที่ คือชุมชน ท้องถิ่น และจังหวัด ประเทศจะเกิดการร่วมกันอย่างสมดุล ปรกติสุข ยั่งยืน สันติ เป็นทางแห่งสันติอันประเสริฐที่ท่านเรียกว่า สันติวรบท

Back to Top