จากมะเร็งทางความคิด สู่วิปริตทางสังคมและวัฒนธรรม

โดย จุมพล พูลภัทรชีวิน
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 18 ธันวาคม 2547

ความคิดที่ผิดๆ ความคิดที่มองแบบทางเดียว ความคิดแบบแยกส่วนลดทอน ความคิดที่ติดยึด ความคิดที่ให้ความสำคัญกับสิ่งหนึ่งสิ่งใดเหนือสิ่งอื่น หรือระบบหนึ่งระบบใดเหนือระบบอื่น ภายใต้อิทธิพลของระบบคิดวิทยาศาสตร์แบบเก่า และเศรษฐกิจเสรีทุนนิยม ที่เน้นเรื่องการ “เอาชนะ” ธรรมชาติ และการแข่งขันเพื่อความ “เป็นหนึ่ง” เหนือผู้อื่น โดยขาดจิตสำนึกว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ อะไรดีอะไรไม่ดี ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น กำลังแผ่ขยายไปในวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ อย่างน่าเป็นห่วง

ความบกพร่องทางศีลธรรม และความแปลกแยกทางวัฒนธรรม เริ่มกลายเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ ภายใต้ข้ออ้างความเป็นมืออาชีพ ความเป็นนานาชาติ ความทันสมัย…

คนที่หลีกเลี่ยงกฎหมาย คนที่ทำผิดโดยที่กฎหมายลงโทษไม่ได้ เป็นคนเก่ง เป็นคนฉลาด

ครู อาจารย์ คือพนักงานกินเงินเดือน ต้องสร้างผลงานที่จับต้องได้จึงจะได้รางวัลตอบแทนด้วยเงิน ความเป็นอาจารย์และจิตวิญญาณของความเป็นครูถูกละเลย เพราะจับต้องไม่ได้

ถ้ามนุษย์ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่ประเสริฐ ไม่มีสติ ไม่มีปัญญาที่จะล้มเลิกหรือยุติความคิดที่ผิดๆดังกล่าว ความคิดเหล่านั้นจะกลายเป็นมะเร็งทางความคิด ที่นำไปสู่ความวิปริตทางการกระทำ ทั้งทางกาย วาจา ใจ ก่อให้เกิดทุกขภาวะทางจิตวิญญาณ ที่บั่นทอนศานติสุขของคน ครอบครัว ชุมชน สังคม โลก และสรรพสิ่ง สังคมนี้จะเต็มไปด้วยการแข่งขัน ชิงดี ชิงเด่น การแบ่งพรรคแบ่งพวก เอารัดเอาเปรียบ รังเกียจ เดียดฉันท์ คนต่างผิว ต่างเชื้อชาติ ต่างภาษา ต่างศาสนา ต่างวัฒนธรรม จะถูกมองว่าเป็นคู่แข่ง เป็นศัตรู เป็นผู้ต่ำต้อย เป็นพันธุ์พิเศษ...

ทั้งที่จริงควรยอมรับและให้ความเคารพในความแตกต่างและความหลากหลาย มองและปฏิบัติต่อกันในลักษณะที่เป็นเพื่อนร่วมโลก เพราะความแตกต่างช่วยทำให้เห็นความหลากหลายของสุนทรียภาพ ความหลากหลายคือหัวใจของความยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นความยั่งยืนของระบบชีวิต ระบบนิเวศ ระบบเศรษฐกิจ ระบบการเมือง และวัฒนธรรม

โดยนัยนี้ การวิจัยค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาวุธ เรื่อง GMO เรื่อง Cloning มนุษย์และสัตว์... ที่เน้นเพื่อความรู้ (แต่ขาดปัญญา) ที่มีเป้าหมายเพื่อการค้า แปลงทรัพย์สินทางปัญญาเป็นสินทรัพย์เป็นหลัก จึงไม่สมควรกระทำ

โดยนัยนี้สิทธิบัตร และสิทธิทางปัญญาที่มุ่งเพื่อประโยชน์ทางการค้ามากกว่าคุณภาพชีวิตของมวลมนุษยชาติ เน้นเศรษฐกิจโดยขาดมนุษยธรรมและความเคารพในภูมิปัญญาท้องถิ่นและถิ่นกำเนิดของแหล่งปัญญา จึงสมควรได้รับการพิจารณาอย่างจริงจังจากประชากรโลก

โดยนัยนี้ ข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ที่มุ่งเน้นเฉพาะด้านเศรษฐกิจ คอยจ้องจะเอาเปรียบ หรือหวังผลประโยชน์จากกันและกัน จึงต้องมีการทบทวนอย่างจริงจังกันใหม่

และโดยนัยนี้ การอ้างความมั่นคงทางการเมืองและเสถียรภาพของรัฐบาลเป็นเหตุผลในการจัดตั้งรัฐบาลที่มาจากพรรคการเมืองพรรคเดียว (ยกเว้นรัฐบาลแห่งชาติ) จึงสมควรถูกวิจารณ์เพ่งเล็ง เพราะความมั่นคงทางการเมืองและเสถียรภาพของรัฐบาล ไม่จำเป็นว่าจะต้องมาจากการมีรัฐบาลที่มาจากพรรคการเมืองพรรคเดียว

เป็นที่น่าเสียดายว่าประเทศต่างๆ ในโลกจำนวนมาก รวมทั้งประเทศไทย มุ่งเน้นการพัฒนาประเทศโดยให้ความสำคัญกับความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นตัวนำ แต่ขาดสติปัญญาที่จะคำนึงถึงความสูญเสียของระบบอื่นๆ ที่จะตามมา ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นระบบครอบครัว ระบบนิเวศ วัฒนธรรม คุณธรรมและศีลธรรมจรรยา ยิ่งไปกว่านั้นยังมีความเชื่อแบบผิดๆ ที่ว่า ถ้าเรารวย มีความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ ระบบอื่นๆ จะดีตามมาเอง หรือสามารถใช้เงินซื้อและสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวได้ ใช้เงินซื้อและฟื้นฟูระบบนิเวศได้ ใช้เงินซื้อและทำนุบำรุงรักษาวัฒนธรรมให้คงอยู่ได้ ใช้เงินซื้อและสร้างคุณธรรม ศีลธรรมจรรยาได้ เงินคือพระเจ้าบันดาลได้ทุกสิ่ง

ตัวอย่างมะเร็งทางความคิดในสังคมไทยก็มีหลายเรื่อง ที่เห็นได้ชัดเจนคือเรื่อง “หวยบนดิน” และที่กำลังจะตามมาคือ “ซ่อง” และ “บ่อน” ถูกกฎหมาย และถ้าจะคิดเลยเถิดต่อไปก็อาจจะมีโรงยาเสพติดถูกกฎหมาย โรงอบายมุขทุกชนิดถูกกฎหมาย... โดยมีข้ออ้างเรื่องการบริหารจัดการและการจัดสรรรายได้ส่วนหนึ่งกลับคืนสู่สังคม

ดารา และนางแบบบางคนเต็มใจ และตั้งใจเปิดเผยอวัยวะและร่างกายบางส่วนหรือทั้งหมด โดยอ้างว่าเป็นงาน อ้างความเป็นมืออาชีพ รวมไปถึงความเป็นอินเตอร์ ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของมะเร็งทางความคิด

การมีและการสนับสนุนส่งเสริมให้มีการพนัน มีซ่อง มีกิจกรรมและกิจการที่ไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมที่ดีทั้งหลายอย่างถูกกฎหมาย ไม่สามารถเปลี่ยนหรือฟอกสิ่งไม่ดีให้ดีได้ ซ้ำร้ายยังเป็นการปลูกฝังและสร้างค่านิยมที่ผิดๆ ให้แก่คนในสังคม โดยเฉพาะเยาวชนรุ่นหลังว่า การพนัน ซ่อง บ่อน การเปิดเผยอวัยวะและร่างกายในการประกอบอาชีพ เป็นสิ่งถูกกฎหมาย จึงทำได้และควรทำ เพราะประเทศที่เจริญแล้ว (ทางวัตถุ) เขาก็ทำกัน แถมยังมีรายได้ส่วนหนึ่งไปช่วยเหลือสังคมได้ด้วย

แต่อย่างที่เกริ่นไว้ในตอนต้น นี่เป็นวิธีคิดที่ผิด มันเป็นมะเร็งทางความคิด ก่อให้เกิดความวิปริตทางการกระทำ นำไปสู่ความวิปริตทางสังคมและวัฒนธรรม ซึ่งมีคุณค่ามากกว่ามูลค่าที่เป็นตัวเงินมากมาย

ประสิทธิภาพทางการบริหารจัดการ ความเป็นมืออาชีพ รวมไปถึงความเป็นสากล ควรเป็นเรื่องที่สร้างสรรค์ และมีความหมายไปในทางที่ดี ไม่ใช่นำมาเป็นข้ออ้างในการทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องดีงาม

การทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ที่ขาดจิตสำนึกแห่งความดีความงามทางคุณธรรมและจริยธรรม ให้ถูกต้องตามกฎหมาย เป็นสิ่งที่ไม่สมควรกระทำ ไม่สมควรคิด เพราะกฎหมายโดยสาระสำคัญ ควรมีขึ้นเพื่อรักษาความเป็นระเบียบ ความดีงาม ความถูกต้อง และความสมานฉันท์ของคนในสังคม ไม่ใช่การรับรองความไม่ถูกต้อง ความไม่ดีไม่งาม ของคนบางคนในสังคม

การทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่สมควร ให้ถูกกฎหมาย เป็นการพยายามแยกความดี ความงาม และความถูกต้องทางจริยธรรม คุณธรรม รวมถึงวัฒนธรรม ออกจากความถูกต้องทางกฎหมาย ทั้งที่ทั้งหมดนี้ควรจะไปด้วยกัน ไม่แยกออกจากกัน กฏหมายควรเป็นส่วนหนึ่งของความดีความงา ที่สะท้อนวัฒนธรรมของสังคม

ผู้บริหารที่ดีและเก่ง จึงควรทำและส่งเสริมในสิ่งที่ถูกต้อง (Doing the right things) ไม่ใช่เก่งเฉพาะ Doing things right. (ทำสิ่งต่างๆ (ที่อาจไม่ถูกต้อง) ให้กลายเป็นเรื่องถูกต้อง)

ขอให้เราเริ่มต้นด้วยความคิดที่ถูกต้อง จะได้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง มะเร็งทางความคิดก็จะไม่เกิด ความวิปริตทางการกระทำก็จะไม่มี สังคมนี้ก็จะมีศานติสุข มีสันติวัฒนธรรม

Back to Top