ปณิธาน ๓ ประการ ที่จะช่วยให้มนุษย์พ้นวิกฤต

โดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 8 มกราคม 2548

ในสมัยโบราณมนุษย์อยู่กันตามกระเปาะทางวัฒนธรรม (cultural pockets) ตามสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างหลากหลาย เรียกว่า มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม ความหลายหลายทางวัฒนธรรมเป็นธรรมชาติ เพราะวัฒนธรรมสัมพันธ์อยู่กับสิ่งแวดล้อมซึ่งแตกต่างกัน เช่น คนที่ขั้วโลก คนในทะเลทราย คนในเขตหนาว คนในเขตร้อน คนบนเขา คนริมทะเล ย่อมมีวิถีชีวิตที่แตกต่างกัน กลุ่มวัฒนธรรมใหญ่ๆ เรียกว่าอารยธรรม เช่น อารยธรรมเมโสโปเตเมีย อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ อารยธรรมลุ่มแม่น้ำฮวงโห เป็นต้น

เมื่อชาวยุโรปค้นพบวิทยาศาสตร์ แล้วนำวิทยาศาสตร์มาสร้างอาวุธที่มีอำนาจมาก เช่น เรือรบ ปืนใหญ่ ปืนกล ทำให้เกิดอำนาจมหาศาลอย่างที่มนุษย์ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ อารยธรรมใหญ่ๆ ที่มีอายุประมาณ ๕,๐๐๐ ปี อย่างอารยธรรมอินเดีย และอารยธรรมจีน ไม่สามารถต้านทานอำนาจการยิงอันมหึมาของชาวยุโรปได้ อำนาจอันรุนแรงของชาวยุโรปทำให้โลกมีโครงสร้างใหม่ แทนที่ความหลากหลายทางวัฒนธรรม โลกทั้งโลกถูกบังคับให้มีอารยธรรมเดียว จะเรียกว่าโลกาภิวัตน์หรืออะไรก็ตามที แต่แก่นแกนของมันคืออารยธรรมวัตถุนิยมบริโภคนิยม

อารยธรรมวัตถุนิยมบริโภคนิยมได้เข้าครอบงำโลก ทั้งในด้านโลกทัศน์และวิธีคิด การศึกษา โครงสร้างทางสังคมต่างๆ ในอารยธรรมนี้ได้เกิดขนาดเงินอันมโหฬารอย่างที่แต่ก่อนไม่มี และด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารสมัยใหม่ เงินจำนวนมหาศาลนี้วิ่งรอบโลกด้วยความเร็วของแสง เงินอันมหึมานี้ส่วนใหญ่ไม่ได้ทำหน้าที่ทางเศรษฐกิจ แต่ไปดูดเงินที่มีน้อยกว่าของส่วนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์และมีการจัดการไม่ดีเท่า เงินอันมหึมาได้เข้าทำลายคุณค่าต่างๆ เช่น ประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน วัฒนธรรม จิตวิญญาณ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

โลกที่เชื่อมโยงกันทั้งหมดก่อให้เกิดระบบซับซ้อน (complex system) ที่ขับเคลื่อนด้วยโลภจริตขนาดใหญ่ สภาพโกลาหล (chaos) และวิกฤตการณ์จึงเป็นปรากฏการณ์ถาวร

คนทั้งโลกถูกโครงสร้างโลกครอบงำ กดทับ บีบคั้น จึงเกิดความเครียด ความทุกข์ ความท้อแท้สิ้นหวัง เป็นโรคซึมเศร้า ฆ่าตัวตาย ติดยาเสพติด มีความรุนแรง ขาดอิสรภาพ ไม่สามารถใช้ศักยภาพที่ตนมีเพื่อสร้างสรรค์ได้อย่างที่ควรเป็น อารยธรรมวัตถุนิยมบริโภคนิยมกำลังพาโลกทั้งโลกไปสู่สภาวะวิกฤตอย่างยิ่ง

นักปราชญ์ตะวันตกได้มองเห็นวิกฤตการณ์ของอารยธรรมวัตถุนิยมบริโภคนิยมแล้วในขณะนี้ แต่นักปราชญ์ไทยท่านหนึ่งเห็นมาก่อนใคร ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๔๗ โน่นแล้วที่ใครๆ ยังมองไม่เห็น ท่านได้พยายามตะโกนบอกเพื่อนมนุษย์เป็นอเนกปริยายว่า "วิกฤตแล้วโว้ย" ๆ ท่านผู้นี้เป็นมหาบุรุษร่วมสมัยกับเรา คือท่านอาจารย์พุทธทาสมหาเถร แห่งสวนโมกขพลาราม ซึ่งมรณภาพไปเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๖ และจะครบ ๑ รอบศตวรรษแห่งชาตกาลในวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๔๙ นี้

ท่านอาจารย์พุทธทาสได้ฝากปณิธานไว้ ๓ ข้อ โดยความดังนี้

๑. ขอให้ศาสนิกของแต่ละศาสนาเข้าถึงหัวใจของหลักธรรมของศาสนาของตนๆ
๒. ขอให้มีความร่วมมือระหว่างศาสนา
๓. ขอให้มนุษย์ถอนตัวออกจากวัตถุนิยม


ในช่วงที่โลกก็วิกฤต ไทยก็วิกฤตไปตามโลกด้วยอย่างไม่มีทางออก และเรากำลังจะเข้าสู่ ๑ ศตวรรษแห่งชาตกาลของท่านมหาเถระ คนไทยน่าจะพากันศึกษาปณิธานทั้ง ๓ ประการกันอย่างจริงจัง อันจะทำให้พบทางออกจากวิกฤต

การคิดภายใต้ความครอบงำของสภาพที่ดำรงอยู่ไม่ทำให้พ้นวิกฤตได้ แต่มนุษย์สามารถหลุดจากมายาคติทั้งปวงไปสู่อิสรภาพและประสบความจริง ความงาม ความถูกต้องได้โดยการเข้าถึงศาสนธรรม

ปณิธาน ๓ ประการของอาจารย์พุทธทาสมหาเถระ อาจถอดออกเป็นการปฏิบัติและการสนับสนุนกรปฏิบัติได้ ๔ ประการ ดังนี้

๑. ทุกคนควรพยายามศึกษาศาสนธรรมของศาสนาที่ตนนับถือให้มากเป็นกิจวัตร จะทำให้พบอิสรภาพ ปัญญา และสันติ

๒. สำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติควรส่งเสริมการเจริญสติเป็นวิถีชีวิต โดยส่งเสริมให้มีสำนักสอนวิปัสสนากัมมัฏฐานที่ดีให้เป็นที่นิยมแพร่หลาย กับส่งเสริมให้ระบบการศึกษาทุกระดับมีหลักสูตรพัฒนาจิตภาคปฏิบัติ

๓. มหาวิทยาลัยทุกแห่งควรมีศูนย์วิจัยและพัฒนาจิตที่จะให้นิสิตนักศึกษามีการพัฒนาจิตด้วยวิธีที่แตกต่างหลากหลายอันถูกจริตของแต่ละบุคคล มหาวิทยาลัยต่างๆ ควรจะเป็นเจ้าภาพจัดให้มีการสานเสวนา
(dialogue) ระหว่างศาสนาต่างๆ และมีการเผยแพร่การเสวนานั้นให้แพร่หลาย

๔. กรมการศาสนาควรจะทำยุทธศาสตร์ส่งเสริมข้อ ๑-๓ ข้างต้น รวมทั้งให้มีการสานเสวนาระหว่างศาสนาทางวิทยุและโทรทัศน์เป็นประจำ

มนุษย์สามารถประสบความสุขและอิสรภาพจากการเข้าถึงธรรม ซึ่งเป็นความสุขอันประณีต ก็จะค่อยๆ ถอนตัวออกจากวัตถุนิยม การเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานทางจิตใจ (mental transformation) จะไปก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างทางสังคมและพฤติกรรม อันจักเป็นไปเพื่อความสุขและศานติ

Back to Top