สารจาก สึนามิ: ข้อเสนอข้อตกลงความเมตตาเสรี
(Message from Tsunami: a call for FCA)

โดย จุมพล พูลภัทรชีวิน
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2548

สึนามิ ทำให้คนจำนวนมากในหลายประเทศรวมทั้งประเทศไทยต้องเจ็บปวด ระทมกับความทุกข์เศร้า ที่ต้องสูญเสียทรัพย์สินและคนที่เป็นที่รักของเขา แต่สึนามิ ก็ช่วยทำให้คนไทยและคนทั่วโลกจำนวนมาก ได้มองเห็นความจริงของธรรมชาติของสรรพสิ่ง

ความดีของความโหดร้ายของภัยธรรมชาติ คือการช่วยกระตุ้นจิตสำนึกแห่งความดีงาม ความเมตตาและความกรุณาของมนุษย์ ให้มีพลัง มีความเข้มแข็งมากขึ้น

เราได้เห็นคลื่นของอาสาสมัคร น้ำใจสาธารณะ พลังแห่งความดีงามซึ่งแฝงอยู่และเป็นศักยภาพฝ่ายดีของมนุษย์ ผุดปรากฏอย่างโดดเด่น ท่ามกลางความสับสน บนความสูญเสีย

คลื่นยักษ์สึนามิ สร้างความหายนะมากมายก็จริง แต่คลื่นความทุกข์ของผู้คนยิ่งใหญ่กว่าคลื่นยักษ์สึนามิ มากมายหลายเท่า เพราะมันไม่ได้เกิดขึ้นและหายไปในทันทีดั่งคลื่นสึนามิ แต่คลื่นความทุกข์ของคนจะคงอยู่และต่อเนื่องไปอีกนาน

คลื่นน้ำใจที่ไหลหลั่ง ยิ่งยิ่งใหญ่กว่าอีกหลายเท่า เพราะมันหลั่งไหลมาจากทุกสารทิศ จากผู้คนหลากเชื้อชาติ ต่างศาสนาและวัฒนธรรม ทั่วโลก

จะทำอย่างไร คลื่นน้ำใจ คลื่นความดีงาม และจิตสาธารณะที่เกิดปรากฏในเหตุการณ์เลวร้ายนี้ จะดำรงอยู่อย่างยั่งยืน เพื่อมนุษยชาติ และสรรพสิ่งจะได้ดำรงอยู่อย่างมีศานติสุข

เมื่อไหร่ความเมตตาที่ยั่งยืน (Sustainable Compassion) จึงจะเป็นวาระแห่งชาติ เป็นวาระของโลก

แต่ละประเทศน่าจะมี FCA (Free Compassion Agreement) ระหว่างกัน จะดีกว่ามี FTA (Free Trade Agreement) ใหม?

เพราะ FCA ไม่มีเงื่อนไข (Unconditioned) แต่ FTA มีเงื่อนไข (Conditioned) เพราะกลัวเสียเปรียบแต่ในขณะเดียวกันอยากได้เปรียบ

FTA ตั้งอยู่บนความโลภมากกว่าความลดละ เพราะต้องการได้ (Take) มากกว่าต้องการใ ห้(Give) แต่ FCA ให้โดยไม่มีเงื่อนไข จึงไม่มีการเจรจาต่อรอง (Negotiation)

แวบแรก ผมรู้สึกโกรธ ที่รัฐบาลไทย โดยท่านนายกทักษิณ ชินวัตร ปฏิเสธความช่วยเหลือด้านการเงินจากต่างประเทศ เพราะเขาต้องการช่วยและให้คนที่ตกทุกข์ได้ยาก ไม่ได้ให้รัฐบาล แต่รัฐบาลอ้างศักดิ์ศรี และกลัวจะมีเงื่อนไขกับการเจรจาต่อรองเรื่องต่างๆ กับรัฐบาลในภายหลัง ยิ่งไปกว่านั้นยังเจรจาต่อรองกับผู้นำประเทศยุโรปบางคนเปลี่ยนจากความช่วยเหลือผู้ประสบภัยโดยตรง ไปเป็นขอให้พิจารณาลดหย่อนภาษีการค้า การนำเข้ากุ้งจากประเทศไทยสู่ยุโรป ซึ่งเป็นระดับใหญ่ (Macro) กว่าในเชิงเศรษฐกิจ

แต่พอมีสติก็คิดได้ และเข้าใจได้ว่า แต่ละคนไม่จำเป็นต้องมองและคิดเหมือนกัน รัฐบาลก็อาจมีเจตนาดีเหมือนกัน แต่วิธีคิดและวิธีทำแตกต่างกัน ในเรื่องนี้รัฐบาลอาจจะคิดและทำในระดับ Macro แต่เป็นการคิดแบบแยกส่วนและเน้นโดยเฉพาะในเชิงเศรษฐกิจ ส่วนผมคิดระดับ Micro กว่า แต่เป็นการคิดแบบเชื่อมโยงสัมพันธ์ที่เน้นน้ำใจของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

ทำนองเดียวกับที่เมื่อฟังเพลงของคุณยืนยง โอภากุล (แอ๊ด คาราบาว) ที่ออกเสียงคำว่า "สึนามิ" เป็น "ซูนามิ" และมีคำบรรยายเชิงสัญลักษณ์ ว่าท้องฟ้า "มืดมัว" แล้วประทับใจในความสามารถที่เขาถ่ายทอดอารมณ์และความรู้สึกได้อย่างยอดเยี่ยมในเวลาสั้นๆ ยิ่งรู้เบื้องหลังการถ่ายทำที่เต็มเปี่ยมไปด้วยกุศลจิตของคุณแอ๊ดและเพื่อนๆ ยิ่งประทับใจ ฟังแล้วได้อารมณ์ น้ำตาซึม แต่พอได้ฟังคำวิจารณ์ของบางคนที่วิจารณ์เกี่ยวกับภาษา โดยเฉพาะเรื่องการออกเสียงภาษาญี่ปุ่นที่ "ถูกต้อง" และ "ความเป็นจริง" ของสภาพท้องฟ้าที่ไม่ได้ "มืดมน" ในวันนั้น ก็หงุดหงิดขึ้นมาทันที

แต่เมื่อมีสติก็เข้าใจและยอมรับได้ในเจตนาที่ดีของผู้วิจารณ์

คนเราอาจจะมองเห็น รับรู้ คิดและตีความในสิ่งที่สัมผัสแตกต่างกันออกไป เพียงแต่ว่าการมองเห็นและเข้าใจสรรพสิ่งในลักษณะที่สัมพันธ์เชื่อมโยงกันเป็นองค์รวม น่าจะสมบูรณ์มากกว่าการมองแบบแยกส่วน เช่นถ้าเรามองทุกสิ่งเฉพาะแต่ในแง่ของความจริง (TheTrue-Objectivity-It) ทางวิทยาศาสตร์อย่างเดียว แต่ไม่เห็น ไม่รับรู้ ไม่ยอมรับในแง่ของความงาม (The Beautiful - Subjectivity-I) และในแง่ของความดี(TheGood-Intersubjectivity-We) ทุกอย่างก็คงแข็งกระด้าง แห้งแล้ง หรือถ้าเรามองโลกแต่ในแง่ความงามความสุนทรีย์อย่างเดียว โดยไม่พิจารณาในแง่ของความจริง และ/หรือความดี ก็อาจจะกลายเป็นความเลื่อนลอย เป็นเรื่องอารมณ์ และความรู้สึกส่วนตัวของแต่ละคน หาข้อตกลงร่วมกันไม่ได้

ทำไมไม่มองเห็นความสวยงาม และความดีในความจริง

ทำไมไม่มองเห็นความจริง ในความสวยงามและความดี

เพราะทุกสิ่งมันมีความจริง ความดีและความงาม เป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน เป็นองค์รวมและเป็นส่วนย่อยของสิ่งที่ใหม่และใหญ่กว่า ไหลเลื่อนเคลื่อนไปไม่สิ้นสุด

เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้เกิด สิ่งนี้จึงเกิด

สึนามิ น้ำท่วมฉับพลัน วาตภัย ภาวะแห้งแล้ง แผ่นดินถล่ม แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด จะเกิดจากอะไรก็ตามที่นักวิทยาศาสตร์พยายามอธิบาย (Describe) บางเรื่องทำนาย (Predict) และควบคุม (Control) ได้ แต่บางเรื่องก็ยังอธิบาย ทำนายและควบคุมไม่ได้

หรือจริงๆ แล้วปรากฏการณ์ทางธรรมชาติเหล่านั้น เป็นการสื่อสาร เป็นสัญญาณจากธรรมชาติว่ากำลังจัดระบบตนเอง (Self Regulation) จากสภาวะที่ยุ่งเหยิงและสับสน (Chaos) เพื่อให้กลับเข้าสู่สภาวะสมดุลที่เป็นพลวัต (Dynamic Equilibrium) และไหลเลื่อนเคลื่อนไป

ธรรมชาติชี้ให้เห็นความสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่างสรรพสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ระหว่างจักรวาล โลก น้ำ ฟ้า ป่า ดิน สัตว์ คน หรือความสัมพันธ์ระหว่างฝน สึนามิ ยายหอม มิสเตอร์ที ปลา แบคทีเรีย เมล็ดทราย DNA เสียงสวดมนต์ … เมื่อไหร่ที่ความสัมพันธ์สั่นคลอน มันกระทบถึงกันหมด
สึนามิ สื่อสารว่าธรรมชาติกำลังพยายามรักษาความสัมพันธ์ให้สมดุลอยู่ใช่หรือไม่

มนุษย์มีส่วนทำให้โลกขาดสมดุลมากเกินไปใช่ไหม ด้วยการเผาไม้ ทำลายป่า ด้วยการตักตวง และการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่ยั้งคิด ไม่คำนึงถึงผลกระทบระยะยาวที่จะเกิดขึ้นกับโลกใบนี้ และโดยเฉพาะกับระบบนิเวศที่มีความละเอียดอ่อนและซับซ้อนเพราะมีความเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน เมื่อเราทำร้ายหรือทำลายส่วนหนึ่งส่วนใดของระบบ มันส่งผลกระทบถึงกันทั้งระบบ

มนุษย์กำลังเอาเปรียบธรรมชาติมากเกินไปใช่หรือไม่

มนุษย์น่าจะทำ FCA กับธรรมชาติดูบ้าง

และถ้าลองคิดต่อยอดออกไป มนุษย์กำลังคิดและเดินผิดทางอยู่หรือเปล่า เรากำลังหลงติด ยึดติดอยู่กับสิ่งที่เราสร้างขึ้นมาจนถอนตัวไม่ขึ้นหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นระบบเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองที่ไม่เป็นธรรมชาติ หรือวัฒนธรรมทางความคิดที่เน้นความเร็ว ความใหญ่ เหนือความช้า ความเล็ก เน้นมูลค่ามากกว่าคุณค่า เน้นการพัฒนาทางวัตถุมากกว่าจิตใจ เน้นความเป็นหนึ่งเหนือมากกว่าความเสมอภาค และไมตรีสัมพันธ์ เน้นการทำให้ถูกต้องตามกฎหมายมากกว่าการทำสิ่งที่ถูกต้อง เน้นความเหมือนและมาตรฐาน มากกว่าความแตกต่างและความหลากหลาย…

เราจะเรียนรู้ที่จะอยู่อย่างมีสติ อย่างมีปัญญา กับโลกแห่งความเป็นจริง หรือจะอยู่อย่างขาดสติ ขาดปัญญากับโลกเสมือนจริง (Virtual World) ที่เราคิดและสร้างขึ้นจากฐานความรู้ (Knowledge Based) แต่มิได้อยู่บนฐานปัญญา (Wisdom Based) ที่รู้เท่าทันความเป็นไปของธรรมชาติและผลกระทบเชิงสัมพันธ์และสร้างสรรค์ในระยะยาว

ชีวิตคืออะไร
ชีวิต คือชีวิต
เป็นชีวิต ใช่ชีวิต
ชีวิต คล้ายชีวิต
เหมือนชีวิต อชีวิต


สึนามิ น่าจะทำให้เรามีสติ มีปัญญาเพิ่มขึ้น คิดเกี่ยวกับธรรมชาติและชีวิตมากขึ้น ยิ่งคิด ยิ่งเขียน ยิ่งพูด ยิ่งคุยเกี่ยวกับชีวิตและธรรมชาติของสรรพสิ่งมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้เข้าใจธรรมชาติและชีวิต เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างธรรมชาติกับชีวิตเพิ่มขึ้น

หรือความคิดของเราก็มีชีวิตด้วย ?

ถ้าเช่นนั้น เรามาทำ FCA กับความคิดของเราและของผู้อื่นด้วย จะดีไหม ?

Back to Top